นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบใช้เงินกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อการพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 16,100 ล้านบาท เพื่อเพิ่มทุนให้กับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และเมื่อรวมกับการเพิ่มทุนจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกระทรวงการคลังอีก 2,000 ล้านบาท รวมเป็น 18,100 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังในธนาคารอิสลามอยู่ที่ 99.71% พร้อมกันนี้ ครม.ให้ธนาคารอิสลามเร่งหาพันธมิตรเข้าร่วมลงทุน โดยเมื่อได้พันธมิตรแล้วกระทรวงการคลังจะค่อยๆ ลดสัดส่วนการถือหุ้นลง ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลังเข้าถือหุ้นเกิน 49% ได้เสนอขอ ครม.อนุมัติตั้งแต่ 30 พ.ค.2560 “หลังการเพิ่มทุนจะทำให้ธนาคารอิสลามกลับมามีกำไรได้ โดยประมาณการกำไรปี 2561 ไว้ 828 ล้านบาท ปี 2562 ไว้ 1,299 ล้านบาท ปี 2563 ไว้ 1,996 ล้านบาท ปี 2564 ไว้ 2,869 ล้านบาท และปี 2565 มีกำไร 3,904 ล้านบาท ทำให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 8.50% เมื่อเทียบกับผลประกอบการในอดีตมีการขาดทุนต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2557 ขาดทุน 9,545 ล้านบาท ปี 2558 ที่ 4,644 ล้านบาท ปี 2559 ที่ 3,524 ล้านบาท และปี 2560 ที่ 2,926 ล้านบาท มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงติดลบ 52.83%”
สำหรับสถานะของเงินกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อการพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ณ สิ้นเดือน ก.ค.2561 มีวงเงินอยู่ 21,890 ล้านบาท โดยที่ประชุม ครม.ครั้งนี้ยังอนุมัติให้นำเงินของกองทุนฯมาใช้อีก 2 เรื่อง คือ ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์นำไปให้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ใช้เพื่อพัฒนาฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์มือสอง 31.1 ล้านบาท และให้มูลนิธิเพื่อพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจดำเนินโครงการจัดตั้งสถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงิน (InFinIT) 650 ล้านบาท รวมแล้ว ครม.ครั้งนี้อนุมัติใช้เงินกองทุนฯ 16,781.1 ล้านบาท “ต่อไปจะมีระบบฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์มือสองและอสังหาริมทรัพย์รอการขายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทุกแห่ง เพื่อเป็นตลาดกลางการซื้อ-ขายในรูปแบบตลาดดิจิทัล”.