สมมติว่า...มีงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 400,000 ล้านบาท มีแผนการใช้เงินโดยมีตัวชี้วัดที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจว่า จะช่วยลดการติดลบของ GPP ได้ 7% เพื่อทดแทน GDP ที่คาดว่าจะหายไป
แล้วจะช่วยดูดซับแรงงานที่จะตกงานได้ 10 ล้านคน อย่างแรกที่ต้องทำคือ ให้เงินกระตุ้นนี้หมุนให้ได้ 3 รอบ โดยให้เกิดการใช้จ่ายและลงทุนรวม 1.2 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับ 7.5% ของ GDP ประมาณ 16 ล้านล้านบาท
“เงิน”...ทุกบาททุกสตางค์ต้องส่งตรงเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยการส่งให้แรงงาน 10 ล้านคนโดยตรง เท่ากับ 40,000 บาทต่อคน แล้วต้องนำไปใช้และลงทุนให้ออกมาหมุนเวียนในระบบทั้งหมด ไม่ถูกตัดตอนไป หรือตกหล่นอยู่ตามขั้นตอนต่างๆ โดยยังมีเป้าหมายชัดเจนว่าเราจะร่วมกันเพื่อปรับทิศทางประเทศ...
ให้เข้าสู่ความเป็น Well being Thailand...อย่างแท้จริงและยังเป็นการฟื้นฟูความหวัง...กำลังใจของคนตกงานว่า เขาคือคนที่มีคุณค่าที่จะร่วมกันปลุกอนาคตใหม่ให้ตนเอง ประเทศชาติไปด้วยกันเป็นการเติมความมั่นใจ...ให้เกิดพลังบวกกับแรงงาน 10 ล้านคนพร้อมกัน ซึ่งจะส่งผลถึงความมั่นใจในระบบสังคมและเศรษฐกิจโดยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนคือ หนึ่ง...Reskill man power ให้เกิดทักษะใหม่เพื่อการยังชีพ หรือเริ่มอาชีพใหม่
โดยแบ่งจ่ายให้คนละ 10,000 บาทแรก เพื่อใช้จ่ายในการอบรมบ่มเพาะและฝึกฝนเรียนรู้
และอีก 10,000 บาทต่อคน เป็นค่าใช้จ่ายและการลงทุนเพื่อการยังชีพ ...เริ่มอาชีพใหม่ในท้องถิ่น หรือที่บ้านของตนเอง โดยเริ่มจากการปรับกระบวนการทางความคิด (mind set) เพิ่มทักษะให้ปลูกอยู่ปลูกกิน เพื่อประกันว่าพึ่งตนเองได้จริงจากตัวอย่างความสำเร็จของโครงการที่ส่งเสริมให้คนคืนถิ่นต่างๆ
เช่น โครงการทายาทเกษตรกร 1 ไร่ 1 แสน, คนกล้าคืนถิ่น ฯลฯ
ดร.สุมิท แช่มประสิทธิ์ ประธานกรรมการมูลนิธิส่งเสริมการออกแบบอนาคตประเทศไทย บอกว่า โครงการที่ว่านี้ได้พิสูจน์แล้วว่าคนที่ไม่มีประสบการณ์ ถ้าเริ่มทำให้ถูกต้องภายใน 5-6 เดือน เริ่มพึ่งตนเอง อยู่ได้จริง
แต่เพื่อให้เกิดประสิทธิผลของการใช้งบประมาณ จึงควรมีมาตรฐานในการจัดอบรม แล้วต้องติดตามให้ทำได้จริง ไม่ใช่แค่การอบรมแบบมาครบจบแน่?
การใช้งบราว 20,000 บาทต่อคน จึงควรเป็นการจ่ายตรงให้แรงงาน 10 ล้านคน เพื่อไปเลือกอบรมเรียนรู้ตามจริต ตามความต้องการ ตามความเหมาะสมกับภูมิหลัง ความรู้ความถนัด และบริบทในพื้นที่ตนเอง 10,000 บาทต่อคน หลังจากนั้น...ก็จะ “ใช้จ่าย” และ “ลงทุน” ให้ตนเองเริ่มต้นได้สำเร็จอีก 10,000 บาทต่อคน
สอง...Restart New Growth Engine จุดสตาร์ตเครื่องยนต์ใหม่ทางเศรษฐกิจ หลังจาก 10 ล้านคนที่เป็นศักยภาพใหม่คืนถิ่นแล้วอยู่ได้จริง มีหลักประกันว่ามีอยู่มีกิน จากนั้นก็เป็นเวลาสร้างผู้ประกอบการจากฐานวิถีเกษตรกรยั่งยืน โดยทุกคนคือองค์ประกอบ เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศใหม่ของประเทศไทย
ด้วยกองทุนที่ทุกคนมีสิทธิ์ใช้เท่ากัน 20,000 บาทต่อคน จะทำเองหรือจะรวมกลุ่ม ร่วมทุนกี่คนก็ได้เพื่อจัดตั้งวิสาหกิจประเภทต่างๆ โดยต่อยอดภูมิปัญญาไทย เพิ่มมูลค่า ตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้าที่มีเป้าหมายเฉพาะ จากจุดแข็งทุกอย่างในท้องถิ่นผสมผสานกับการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อกระตุ้นให้เกิดเอสเอ็มอีนับล้านภายในระบบ...
เป็นผู้ประกอบการที่ต่อยอดจากฐานวิถีในชุมชน ทางด้านสุขภาพ อาหารและการบริการอย่างหลากหลาย เกิดเป็น “เครื่องยนต์ใหม่ทางเศรษฐกิจ” จากการวัดอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยผลผลิตรวมในประเทศหรือทางวิชาการประกอบด้วย...C = ซึ่งมีสัดส่วนการบริโภค การจับจ่ายใช้สอย การท่องเที่ยว, I = การลงทุนภาคเอกชน, G = การใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐ, X = การส่งออกลบด้วยการนำเข้า
พลิกแฟ้มดูตัวเลข GDP ปี 2561 จะพบว่าตัว C มากสุดเกือบ 50% I = ประมาณ 23% ทั้งสองตัวนี้รวมกันเกือบ 3 ใน 4 ขณะที่มีความเชื่อว่าการส่งออกมีสัดส่วนเกือบ 70% เท่ากับ 67% ในปี 2561 เป็นการดูด้านเดียว แต่การนำตัวเลขมาคิด GDP ต้องหักด้วยตัวเลขการนำเข้าซึ่งสูงกว่า 56% จะเห็นว่ามีสัดส่วนจริงเพียง 11% ของ GDP
และที่เหลืออีก 16% เป็นการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ
ย้ำว่า...การสร้างผู้ประกอบการเกษตรด้วยวิธีการนี้ ตัวเลขการใช้จ่ายและการลงทุนก็จะถูกนับรวมใน GDP อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะถ้าเปรียบเทียบกับภาคอุตสาหกรรม แปลงเกษตรก็คือ โรงงานผลิต การลงทุน ในแปลง เช่น โรงเรือน, เตาเผาถ่าน, สระหรือบ่อน้ำ, ยุ้งฉาง, ระบบน้ำ, ระบบไฟ จะถูกนับรวมใน “I”
แม้แต่ “หนึ่งอิ่ม” ของชาวบ้านที่ทำกินเองก็ควรจะมีค่าเท่ากับหนึ่งอิ่ม ที่ไปกินในร้านอาหาร ซึ่งอยู่ในตัว C ของ GDP และยิ่งพัฒนาต่อยอดให้แปรรูปจนค้าขายออนไลน์ส่งออกไปต่างประเทศได้ แม้ตัวเลขส่งออกจะไม่สูงเท่าปัจจุบัน แต่เมื่อไม่ต้องหักการนำเข้า ยอดสุทธิเป็นตัว X ก็มีโอกาสสูงกว่าที่เคยได้ไม่ยากนัก
สาม...Reform for Well being Ecology จากการที่มีศักยภาพใหม่นับ 10 ล้านคนกลับไปปฏิรูประบบนิเวศย่อยๆในพื้นที่ตนเอง (Micro Ecology Reform) นับสิบล้านจุดทั่วประเทศ ทำให้เกิดการเชื่อมต่อความ หลากหลายทางธรรมชาติและพันธุกรรม ส่งผลให้เกิดการปฏิรูประบบนิเวศของประเทศในเชิงพื้นที่
เมื่อเกิดกิจกรรมทางด้าน “เศรษฐกิจ” เพื่อตอบสนอง “วิถีชีวิต” แบบ “สุขสบายองค์รวม” อย่างหลากหลายทั่วประเทศ ระบบนิเวศประเทศไทยก็จะได้รับการปฏิรูป มีจุดยืนใหม่ที่มั่นคงเป็นเซฟเฮาส์ของโลก
ถึงตรงนี้หลายๆคนคงมีคำถามสำคัญว่า แล้วเราๆ ท่านๆ จะทำอะไรได้บ้าง? อย่างไร?
ดร.สุมิท บอกอีกว่า ประเทศไทยมีความหลากหลายทางธรรมชาติและพันธุกรรมสูงมากของโลก การดึงศักยภาพใหม่จากคนที่ผ่านประสบการณ์ที่หลากหลายในระบบเศรษฐกิจกลับสู่ท้องถิ่นจะก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ มากมาย ที่สามารถต่อยอดขยายผลสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติและบริบทสังคม
รูปธรรมความสำเร็จที่โดดเด่นที่เกิดขึ้นแล้วมากมาย ดูได้จากผลวิจัยเพื่อศึกษาผลกระทบของคนรุ่นใหม่กลับคืนถิ่น ในโครงการทายาทเกษตรกร “ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์” และ...“คนกล้าคืนถิ่น” พบว่า
“คนที่ไม่เคยทำเกษตรมาก่อน หลังจากผ่านกระบวนการอบรมบ่มเพาะจนเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวคิดให้สามารถเริ่มต้นได้อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติและบริบทสังคม จนเป็นผู้ประกอบการเกษตรที่ผสมผสานการใช้เทคโนโลยีอย่างเข้าใจธรรมชาติ เพื่อป้องกันการซ้ำเติมเกษตรกรเดิมๆจาก 10 ล้านคนที่กลับไปปลูกอนาคตจึงไม่อาจกลับไปทำแบบเดิมๆ เป็นการทำการเกษตรแค่เป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่การเกษตร...ผลผลิตเป็นแค่สินค้าโภคภัณฑ์ เพราะเท่ากับไปเพิ่มแค่อุปทานเดิมที่เกินความต้องการอยู่แล้ว เป็นการ...ซ้ำเติมเกษตรกรเดิมให้มีปัญหามากขึ้น
ตรงกันข้าม...ศักยภาพใหม่เหล่านี้ จะเพิ่มผู้ประกอบการที่สร้าง ความโดดเด่นได้อย่างเฉพาะเจาะจง บนพื้นฐานของแต่ละชุมชน และการกำหนดทิศทางใหม่ร่วมกัน”
วิกฤติรอบด้านในวันนี้ คิดบวกคือโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ไม่รู้อีกกี่ร้อยปีจะเกิดขึ้นได้อีก หลังวิกฤติโควิด-19 ทุกฝ่ายเชื่อว่าจะมีคนตกงานมากมาย บางสำนักวิเคราะห์ว่าจะสูงถึง 14 ล้านคน และยังมีเด็กจบใหม่ไม่มีงานทำอีกปีละ 5 แสนคน...เราจึงมีพลังมหาศาลจากทรัพยากรบุคคล ที่มีความสามารถ และประสบการณ์ที่แตกต่างหลากหลาย
หาก “สานพลัง” กันและช่วยกัน “ขับเคลื่อน” ประเทศไทยไปสู่ทิศทางที่สดใสในอนาคตได้ เปลี่ยนจากปัญหาการตกงานจะกลายเป็นโอกาสสร้างมวล ...เปลี่ยนวิกฤติที่จะช่วยกันปรับทิศทางใหม่ของประเทศ
เรารู้ซึ้งกันแล้วถึงความไม่แน่นอนของอนาคต แต่เราสามารถสร้างเซฟเฮาส์ของชีวิตได้หากเราสามารถปรับจุดยืนประเทศไทยให้ชัดเจนในสายตาชาวโลกว่า เราคือ “Well being safe house of the world” หรือ “บ้านปลอดภัยสุขสบายของชาวโลก”...คิดดูว่าประเทศไทยจะเป็นที่หมายปองมากแค่ไหน.