ช็อกไปเลย!! เมื่อได้ยินมหาเศรษฐีนักธุรกิจใหญ่ระดับประเทศ บอกกับลูกชายตัวเองว่า “ความจน” ไม่ใช่บาป แต่เป็น “เชื้อโรค” ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม!! เรียกว่าถ้าเกิดมาในครอบครัวจนๆ ก็หมดสิทธิ์จะลืมตาอ้าปากพลิกชะตาชีวิตขึ้นมาเทียบชั้นเหล่าลูกหลานทายาทตระกูลดัง
โชคดีที่มันเป็นแค่ฉากหนึ่งในซีรีส์เกาหลี “The Golden Spoon” ซึ่งไม่ได้หลุดออกมาจากปากเจ้าสัวรายใดของเมืองไทย และถึงแม้ประเทศไทยจะเผชิญวิกฤติรุมเร้ารอบด้าน ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ, สังคม, การเมือง และความเหลื่อมล้ำ แต่อย่างน้อยเมืองไทยก็ยังเป็นเมืองแห่งความหวังที่เต็มไปด้วยโอกาส...สุกสกาวบ้าง ริบหรี่บ้าง ตามแต่มือใครยาวจะไขว่คว้ามาได้
ถามหน่อยว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่สังคมต้องตื่นจากฝันร้ายซ้ำๆ...เศรษฐกิจต้องฟื้นจากความบอบช้ำต่อเนื่องหลายปี เพื่อมุ่งสู่ความฝันที่อยากเห็นคนไทยกินอิ่มนอนหลับและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างถ้วนหน้า ไม่ใช่รวยกระจุกอยู่ในมือคนแค่ 1% ส่วนคนไทยที่เหลือล้วนจนกระจาย!!

ในบรรดามหาเศรษฐีระดับท็อปของไทย คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “เศรษฐา ทวีสิน” ว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย เป็นหนึ่งในกระบอกเสียงสำคัญที่ต่อสู้เรื่องการลดความเหลื่อมล้ำในสังคมมาตลอด เพื่อสร้างความหวังใหม่ให้คนรุ่นหลัง
...
“ผมฝันว่าสังคมไทยจะไม่มีความเหลื่อมล้ำ ปัญหาปากท้องของประชาชนจะต้องได้รับการแก้ไข สำหรับผมความมั่งคั่งแลกมาด้วยความเหนื่อยยาก การแบ่งปันจึงเป็นทางเลือก ไม่มีกฎกติกาบังคับ แต่ผมเลือกที่จะช่วยครับ!! ผมว่านักธุรกิจหลายๆคนมีความสามารถ การช่วยเหลือประเทศชาติมีหลายบทบาทครับ ประเทศไทยเป็นของทุกคน และเราเป็นหุ้นส่วนของประเทศที่ต้องมีส่วนช่วยเหลือสังคมคนละไม้คนละมือ ผมว่าคนรุ่นใหม่เขาแสดงความคิด และเข้ามามีส่วนร่วมอย่างชัดเจนว่าอยากเห็นสังคมและบ้านเมืองเป็นอย่างไร พวกเราเองก็ต้องฟังเสียงคนรุ่นใหม่ด้วย เพราะความหลากหลายทางความคิดเป็นสิ่งสำคัญในสังคมยุคนี้”

ด้าน “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล มองความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยว่าฝังลึก 4-5 ชั้น ทางเดียวที่จะแก้ ปัญหานี้ได้คือ รัฐสวัสดิการและการปฏิรูปภาษี
“ความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยอันแรกคือ “เหลื่อมล้ำทางรายได้” รายได้ไม่เท่ากัน, “เหลื่อมล้ำทางทรัพย์สิน” ที่ดินมีไม่เท่ากัน, “เหลื่อมล้ำทางอำนาจ” แต่ละจังหวัดมีอำนาจต่อรองไม่เท่ากัน, “เหลื่อมล้ำทางทรัพยากร” ตอนโควิดซีทีสแกน 1 เครื่อง ดูแลคนกรุงเทพฯ 4,000 คน แต่ทางอีสาน ดูแลคน 14,000 คน เหลื่อมล้ำกัน 3 เท่า อันนี้เป็นความเหลื่อมล้ำที่เป็นขนมชั้น 4 ชั้น ตอนนี้ยังมีความเหลื่อมล้ำที่ 4 ชั้นมารวมกัน กลายเป็น “ความเหลื่อมล้ำข้ามรุ่นไปสู่รุ่นลูกเรา” เราลำบากยากเย็นมาตลอดในรุ่นของเราที่ต้องเจอความเหลื่อมล้ำทั้ง 4 ชั้น มันจะส่งต่อไปหาลูกเรา ที่พอเกิดมาในครอบครัวยากจนการศึกษาก็เข้าไม่ถึง การคมนาคมและสาธารณสุขก็เข้าไม่ถึง แล้วเขาเลยมีโอกาสน้อยกว่าคนอื่น ไม่สามารถเติบโตได้ เราจะทำยังไงให้การเติบโตและการลดความเหลื่อมล้ำเป็นเรื่องเดียวกัน ที่ผ่านมาประเทศไทยโต แต่ความเหลื่อมล้ำไม่ได้สนใจ ใครที่ร่ำรวยก็ร่ำรวยไป คนที่ประสบความสำเร็จคงมองไม่เห็นว่าระบบแบบนี้มันแย่แค่ไหน เพราะคุณคือ 1% ที่ประสบความสำเร็จในระบบนี้ แต่มีคนอีก 99% ที่ยังปากกัดตีนถีบอยู่ตลอดเวลา”
ถามว่าจะแก้ปัญหาฝังรากลึกนี้ยังไง ได้รับคำตอบจากหัวหน้าพรรคก้าวไกลว่า “สิ่งที่จะแก้ปัญหาพวกนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรมคือ รัฐสวัสดิการและการปฏิรูปภาษี เช่น มีเบี้ยผู้สูงอายุ, เบี้ยเด็กเกิดใหม่ และเบี้ยผู้ป่วยติดเตียง สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นสังคมสงเคราะห์นะครับ แต่เป็นการช่วยทั้งครอบครัวให้สามารถมีตาข่ายทางสังคม และกลับมาได้ เมื่อมีคนดูแลพ่อแม่ผม มีคนดูแลลูกของผม มีคนดูแลยายผมที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง ทำให้ผมมีกำลังวังชาออกไปเสี่ยงไปสร้างเศรษฐกิจใหม่ๆ ยิ่งรัฐบาลสนับสนุนให้ผมเป็นผู้ประกอบการลองผิดลองถูก ผมยิ่งกล้าที่จะทำ แต่ถ้าระบบรัฐสวัสดิการไม่มีในประเทศไทย ผมไม่กล้าทำอะไร ก็คงขอเป็นพนักงานออฟฟิศที่ปลอดภัย ไม่กล้าที่จะคิดไม่กล้าฝันไม่กล้าเสี่ยงอะไรทั้งสิ้น อันที่สองคือ “การปฏิรูปภาษี” เรามีความจำเป็นต้องขยายฐานภาษีให้ครอบคลุมคนให้มากขึ้น ต้องยกเลิกการลดหย่อนภาษีที่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มรายได้สูง และกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการลดหย่อนภาษีที่มีรายได้ปานกลางและรายได้น้อย การจะขยายฐานภาษีได้ก็ต้องขยายเศรษฐกิจจากล่างขึ้นบน ไม่ใช่บนลงล่าง และจะขยายเศรษฐกิจได้ก็ต้องขยายโอกาส ต้องไม่ให้กระจุกอยู่แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง”

...
ขณะที่ “ธนา เธียรอัจฉริยะ” นักการตลาดและนักบริหารมือทองที่ประสบความสำเร็จในการปลุกปั้นธุรกิจมาแล้วมากมาย แสดงทัศนะให้ฉุกคิด
“เราเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำติดท็อปโลก ความเหลื่อมล้ำไม่ใช่แค่ความยากลำบาก แต่นำไปสู่ปัญหาภาคสังคมด้วย เกิดความไม่พอใจระหว่างคนรวยกับคนจน จะเกิดความวุ่นวายทางสังคมได้ง่าย จริงๆแล้ววิธีการที่ประเทศอื่นเขาทำกันคือ ต้องมีผู้นำรัฐบาลที่เข้มแข็ง แล้วเห็นว่ามันเป็นปัญหาจริงๆ ของเราส่วนใหญ่เวลามีรัฐบาลจะชอบทำอะไรที่เร็วๆ คือเน้นประชานิยม ไม่มีใครแก้รากฐาน เช่น ควรเก็บภาษีให้เป็นธรรมกว่านี้ ตอนนี้ภาษีที่เราจ่ายเยอะๆ คือภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งมันรวมทุกคนเลยนะ และควรเก็บภาษีที่ดินกับภาษีมรดกเพิ่ม หรือเก็บภาษีพิเศษจากธุรกิจที่ได้กำไรเยอะๆ เช่น ธุรกิจพลังงาน การแก้โครงสร้างพวกนี้ไม่ง่ายต้องรื้อกฎหมายเยอะมาก และต้องอาศัยเจตนารมณ์ที่มุ่งมั่นจริงๆของรัฐบาล ซึ่งความหวังก็ไม่เยอะ!! ผมหวังว่าจะมีคนเห็นปัญหานี้จริงๆและทำจริงๆครับ เดี๋ยวนี้ปัญหามันซับซ้อนกว่าปกติมาก การตัดสินใจของรัฐบาลยุคใหม่ ถ้าใช้คนไม่รู้เรื่องมาทำงานจะเอาไม่รอด ผมฝันว่ารัฐบาลยุคใหม่ควรผสมสัดส่วนกันระหว่างนักการเมืองกับมืออาชีพเก่งๆในแต่ละสาขา เพื่อมาแก้ปัญหายากๆได้ ก็หวังว่าเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีคนเห็นปัญหาลึกกว่าแค่ประชานิยม กล้าใช้คนเก่งๆ และสามารถจัดการบริหารงานการเมืองได้พอที่จะเอาคนเก่งๆเข้ามาทำงาน พยายามใช้คนเก่งๆและเชื่อคนเก่งๆเถอะครับ รัฐบาลไม่ว่าใครจะขึ้นมาก็ต้องยอมรับว่าตัวเองไม่ได้เก่งทุกอย่างหรอก ถ้าคิดว่าตัวเองเก่งทุกอย่างก็ตายแล้ว หวังว่ารัฐบาลสมัยหน้าจะรวบรวมคนเก่ง แล้วมีปัญหาอะไรมาคนที่มีความรู้ความสามารถก็จะสามารถแก้ปัญหานั้นๆได้ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าปัญหาจะมายังไงบ้าง แต่ปัญหาแน่ๆที่เกิดขึ้นคือปัญหาความเหลื่อมล้ำ และปัญหาเศรษฐกิจ ทำยังไงให้ประคองตัวได้ โดยเฉพาะคนตัวเล็ก เอสเอ็มอีประเทศไทยเหนื่อยจะตายกันหมดแล้ว”


นี่แค่โหมโรงเบาะๆเท่านั้น อยากฟังเวอร์ชันใหญ่แบบจัดเต็มไม่มีกั๊ก ขอชวนร่วมวงเสวนาแห่งปี “THAIRATH FORUM 2022” ที่จะจัดทัพใหญ่เชิญเจ้ายุทธจักรจากหลากหลายวงการ นำโดย “บรรยง พงษ์พานิช” ผู้ก่อตั้งเกียรตินาคินภัทร, “รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร, “ม.ล.ชโยทิต กฤดากร” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี, “เศรษฐา ทวีสิน”, “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”, “ธนา เธียรอัจฉริยะ” และ “ไดอาน่า จงจินตนาการ” มาตั้งวงเสวนาเข้มข้นครบทุกรส เพื่อปลุกประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน ภายใต้หัวข้อ “ตื่น ฟื้น ฝัน : สังคมต้องตื่น เศรษฐกิจต้องฟื้น การเมืองในฝัน” ในวันพุธที่ 19 ตุลาคม 2022 เวลา 14.00 น. ที่โรงแรมนิกโก้ กรุงเทพฯ โดยจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปร่วมรับฟังกันแบบสดๆทางเฟซบุ๊ก Thairath TV, Thairath Online และ Youtube ช่อง Thairath Online
...
ท่ามกลางความยากลำบากของประชาชนคนไทย ที่ต้องเผชิญกับปัญหารุมเร้ารอบด้านมาอย่างต่อเนื่อง เหมือนโดนกระทืบซ้ำแล้วซ้ำอีก เชื่อเถอะว่ายังคงมี “ความหวัง” ซึ่งเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์รอคอยอยู่เสมอ...มาร่วมด้วยช่วยกันค้นหาทางออกให้ประเทศไทยอย่างสร้างสรรค์!!


ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ