วันแม่ปีนี้ ดร.แอนนี่–วรรณศิริ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีเคเอส เคมิคอล (ประเทศไทย) ได้พบเรื่องบังเอิญที่แสนจะอิ่มเอิบใจ เพราะได้นำของใช้ของคุณแม่ เพ็ญประภา ผู้ล่วงลับ ไปมอบให้พ่อแม่เพื่อนใช้ประโยชน์ต่อ หลังเก็บอยู่ในห้องเก็บของมาปีกว่า คือวีลแชร์สำหรับติดตั้งในรถ ซึ่งช่วยให้สะดวกในเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมาก เพราะสามารถยกวีลแชร์พร้อมคนนั่ง ขึ้นรถลงรถได้เลย และปรับเอนนอนได้ด้วย ซึ่งตอนคุณแม่ เพ็ญประภา ยังมีชีวิตอยู่ ใช้วีลแชร์ตัวนี้ไม่นาน ก็จากไป คุณแอนนี่ จึงมองหามาตลอด ว่าควรจะนำไปให้ใครใช้ ปรากฏ เจอเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทกัน เล่าโดยไม่ตั้งใจว่า ช่วงนี้ ต้องพาคุณพ่อไป รพ.แทบทุกวัน ต้องอุ้มลงจากเตียง ขึ้นรถ อุ้มลงรถขึ้นไปพบหมอ พอตรวจเสร็จ ก็อุ้มขึ้นรถ กลับบ้านก็อุ้มขึ้นเตียงอีก คุณแอนนี่ จึงถามว่า ใช้รถอะไร พอทราบว่าเป็นอัลพาร์ดรุ่นใหม่ ที่สามารถติดตั้งวีลแชร์ได้พอดี คุณแอนนี่ จึงนำรถคันละ 3 แสนกว่าไปให้อย่างดีใจ ที่ได้สร้างกุศลต่อคุณแม่ ในวันแม่และวันสารทจีนพอดี

ตอนส่งวีลแชร์ไปให้ คุณแอนนี่ เล่าถึงการดูแลคุณแม่ตอนไม่สบาย เพื่อให้เพื่อนดูแลพ่อแม่ให้สุดๆไปเลย เหมือนที่ คุณแอนนี่ ดูแลตอน คุณแม่ป่วยเป็นมะเร็งตับ ซึ่งหมอบอกว่าจะอยู่ได้อีก 6 เดือน แต่ คุณแอนนี่ ไม่ยอมแพ้ ทุ่มเททุกหนทาง จนคุณแม่อยู่ได้อีก 12 ปี ซึ่งทุกคนบอกว่า สิ่งสำคัญที่ทำให้คุณแม่มีกำลังใจอยู่สู้ต่อด้วยกันคือ ความรักสุดซึ้งของ คุณแอนนี่ และครอบครัว ที่ทำทุกวิถีทาง เพื่อซื้อเวลาให้คุณแม่อยู่นานๆ จนจากไปเมื่อพฤษภาคม 2564 ซึ่งหลังจากนั้น คุณแอนนี่ จึงนำเงินที่บริษัทจัดสรรเพื่อกิจกรรมเพื่อสังคม และเงินทำบุญงานศพทุกบาท ไปบริจาคให้โรงพยาบาลต่างๆ เพื่อเจริญ รอยตามคุณแม่ ซึ่งบริจาคเพื่อสาธารณกุศลตลอด เพื่อให้ดวงวิญญาณ คุณแม่เพ็ญประภา ที่ได้รับยกย่องเป็น “ผู้หญิงเก่ง หัวใจนักสู้” คนหนึ่งของเมืองไทย สงบสุข
...
วันแม่ปีนี้ เพื่อนที่ได้ฟังเรื่อง แม่นักสู้ พากันน้ำตาซึม เมื่อ คุณแอนนี่ เล่าว่า คุณแม่เสียสละทุกอย่างเพื่อครอบครัว ทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ ให้กับน้องๆทั้ง 5 คน เพราะพ่อแม่ถูกฆาตกรรม ซึ่งวันที่ทราบข่าวร้าย คุณแม่อายุเพิ่ง 15 ปี ได้แต่ตะลึง ว่าจะจัดการชีวิตตัวเองและน้องๆอย่างไร ซึ่งด้วยหัวใจอันแกร่ง ก็สามารถสานต่อธุรกิจได้ ไม่ว่าจะปลอมตัวเพื่อขับรถบรรทุกไปส่งไม้ เรียนการใช้ลูกคิด เพื่อทำบัญชี ขายของ ตรากตรำทำงานหนัก นอกจากงานหลักที่ต้องหาเงินใช้จ่ายในครอบครัว คุณแม่จะใช้เวลาที่เหลือดูแลน้องๆ เพื่อไม่ให้น้องมีปมด้อย ถูกใครว่าเป็นลูกไม่มีพ่อแม่

พอแต่งงานกับ คุณพ่อ ประเสริฐ ตั้งคารวคุณ และช่วยสามีทำงาน จึงต้องทำงานสองที่ และหาเงินส่งน้องๆไปด้วย จนเปิดบริษัทเล็กๆ สร้าง แบรนด์ตราปลาเบ็ด แต่มรสุมชีวิต ยังไม่หมด เพราะอีก 2 ปี คุณพ่อก็เป็นมะเร็งทางสมอง คุณแม่จึงต้องเป็นผู้นำครอบครัวและบริษัทฯ ซึ่งชีวิตช่วงนี้ลำบาก หนักที่สุด เพราะหลังคุณพ่อผ่าตัดแต่ไม่ดีขึ้น จึงพาไปรักษาแผนโบราณที่หัวหิน คุณแม่ต้องขับรถไปหัวหิน ไปเช้าเย็นกลับทุกวัน เพราะต้องทำงานด้วย จนคุณพ่อเสีย ตอนแรกคุณแม่คิดจะฆ่าตัวตาย แต่ด้วยความรักลูก และคิดถึงตัวเอง ที่เคยเป็นเด็กกำพร้า และลูกคนโตอายุเพียง 14 ปี ที่เหลือก็ยังเล็กอยู่ คุณแม่จึงเปลี่ยนใจ ไม่มีทางให้ลูกเป็นอย่างตัวเอง จึงลุยธุรกิจเต็มกำลังและลำพัง ซึ่งสมัยนั้นโลกธุรกิจเป็นโลกของผู้ชาย นักธุรกิจหญิงมีแทบจะนับคนได้ และยิ่งธุรกิจฮาร์ดแวร์ ยิ่งไม่มีผู้หญิง แต่ด้วยความเป็นนักสู้ ในที่สุด วงการธุรกิจ จึงรู้จัก “หยี่ซ้อ” และตั้งสมญานามแม่ว่า “เจ้าแม่ทินเนอร์” เป็นผู้บุกเบิกการก่อร่างสร้างตัวและการพัฒนาของอุตสาห กรรมเคมีอย่างแท้จริง เป็นหนึ่งในผู้นำการผลิตกลุ่มสารระเหย (ทินเนอร์ น้ำมันทาบ้าน น้ำมันทาไม้ น้ำมันผสมสี น้ำมันสน) กลุ่มสารยึดเกาะ (กาวลาเท็กซ์ กาวยาง) สีทาอาคาร บริการทาสีและงานทำความสะอาด
ด้านครอบครัวที่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมาตั้งแต่อายุ 30 เป็นทั้งพ่อและแม่ให้ลูก 6 คน และเติมเต็มทุกอย่างให้ลูก ด้วยความที่ความรู้น้อย จึงตั้งใจให้ลูกๆได้เรียนโรงเรียนที่ดี เรียนสูง ที่สุด คุณแม่จึงทำงานหนัก จนไม่มีเวลาให้ตัวเอง ตื่นตี 5 ดูรายงานจะส่งของที่ไหน ขายดีรึเปล่า เก็บเงินลูกค้าเป็นอย่างไร วนอยู่อย่างนี้ ในสมองมีแต่คำว่าต้องหาเงินให้มากที่สุด เพื่อให้ลูกๆทุกคนได้ไปเรียนต่างประเทศ เหนื่อยมากแบบนี้ จนกิจการมั่นคง คุณแม่ก็หันไปทำงานสังคมสงเคราะห์ โดยเป็นสมาชิกในองค์กรต่างๆ ซึ่งได้รับเลือกเป็นผู้นำหลายแห่ง เช่น นายกสมาคมสตรีสัมพันธ์ นายกสโมสร โรตารีกรุงเทพ พระราม 3 และได้รับรางวัลจากหน่วยงานต่างๆ--แต่รางวัลที่ภาคภูมิใจ ที่สุดคือ รางวัลแม่ดีเด่น พ.ศ.2543 ประเภท แม่ผู้มีความอดทน ขยัน หมั่นเพียร--ซึ่งทุกคนบอกว่า ในอนาคต คุณแอนนี่ น่าจะได้รางวัลเหมือนกัน เพราะรับความเป็นแม่ที่ทุ่มเทเพื่อลูก จาก คุณแม่เพ็ญประภา มาเต็มๆ.

โสมชบา