จากวัด “กุฎีดาว” ตำนาน “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” วัดเก่าแก่แห่งยุคอโยธยา...หัวหน้าทีมซอกแซกในฐานะนักเรียนประวัติศาสตร์ “รุ่นคละ” (หมายถึงอายุคละกัน...สูงสุดอายุ 81 ปี ตํ่าสุดอายุ 15 ปี) ของท่านศาสตราจารย์ ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ ก็ออกเดินทางไปพร้อมกับคณะนักเรียนสู่จุดที่ 2 เพื่อการเรียนในชั่วโมงที่ 2 ของคณะนักเรียนพิเศษชุดนี้ได้แก่ “วัดพนัญเชิงวรวิหาร” ซึ่งเป็นวัดโด่งดังมากแห่งหนึ่งของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และของประเทศไทยเราด้วย เพราะเป็นวัดที่ได้รับความเคารพนับถือจากพี่น้องชาวไทยทั่วทุกภาคในปัจจุบันนี้ท่านอาจารย์สุเนตรให้เหตุผลสำหรับการไปเยือนวัดพนัญเชิงว่า...นอกจากจะไปกราบคารวะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด “พระพุทธไตรรัตนนายก” ที่คนไทยนิยมเรียกว่า “หลวงพ่อโต” และคนจีนเรียกว่า “หลวงพ่อซำปอกง”...รวมทั้งการสักการะศาล “เจ้าแม่สร้อยดอกหมาก” ตำนานแห่งความรักระหว่างธิดาพระเจ้ากรุงจีน กับ เจ้าชายสายนํ้าผึ้ง แล้วท่านยังมีความประสงค์จะให้พวกเราซึมซับกับบรรยากาศแห่งความรุ่งเรืองของยุค “อโยธยา” อีกคำรบหนึ่งการไปเยือน วัดกุฎีดาว แม้จะได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของอโยธยาอยู่ไม่น้อย...แต่ที่ “วัดพนัญเชิง” และบริเวณโดยรอบ...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ณ บริเวณจุดตัดของ แม่นํ้าเจ้าพระยา กับ แม่นํ้าป่าสัก นั้น เราจะได้เห็นร่องรอยแห่งความรุ่งเรืองของบริเวณดังกล่าว ย้อนหลังไปไม่ตํ่ากว่า 700 ปีท่านอาจารย์เล่าว่า เฉพาะองค์ “หลวงพ่อโต” ก็มีหลักฐานแล้วว่ามีการสร้างขึ้นก่อน พระเจ้าอู่ทอง ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีถึง 26 ปีหากเรานับจากปีสถาปนากรุงศรีฯ อันได้แก่ พ.ศ.1893 มาถึงปัจจุบันนี้ พ.ศ.2565 ก็ราวๆ 672 ปีเข้าไปแล้ว...เมื่อบวกกับ 26 ปี ที่มีการบันทึกไว้เข้าไปด้วย ก็เท่ากับว่าหลวงพ่อโต แห่งวัดพนัญเชิง จะมีอายุถึง 698 ปีครั้นเมื่อนับห้วงเวลาแห่งตำนานของ “เจ้าแม่สร้อยดอกหมาก” ที่บันทึกไว้โดยพระราชพงศาวดารเหนือเข้าไปอีกก็ยิ่งชัดเจนว่า อาณาบริเวณที่อยู่รอบๆวัดพนัญเชิงน่าจะมีอายุเกิน 700 ปี อย่างแน่นอนที่สำคัญตำนาน “เจ้าแม่สร้อยดอกหมาก” และ “เจ้าชายสายนํ้าผึ้ง” นี้เองที่เป็นจุดเริ่มของการบันทึกความรุ่งเรืองของอาณาจักรอโยธยา ว่าน่าจะมีมาแต่โบราณกาลโน่นแล้ว ด้วยความสัมพันธ์อันดียิ่งกับ พระเจ้ากรุงจีน ถึงขั้นทรง เชิญเจ้าชายสายนํ้าผึ้งเสด็จไปเมืองจีนทางทะเลและเมื่อกลับสู่อโยธยาก็ได้พระราชทานพระธิดาบุญธรรมของพระองค์ อันได้แก่ เจ้าหญิงสร้อยดอกหมาก มาเป็นมเหสีเจ้าชายด้วยเราคงทราบกันดีแล้วว่า ความรักระหว่างเจ้าชายสายนํ้าผึ้งกับเจ้าหญิงสร้อยดอกหมากจบลงอย่างโศกนาฏกรรม...เมื่อเจ้าชายทรงให้เจ้าหญิงรออยู่ในเรือพระที่นั่งที่มาจอด ณ บริเวณปากนํ้าแม่เบี้ย ใกล้ๆแหลมบางกะจะหน้าวัดพนัญเชิง ปัจจุบันนี้โดยพระองค์ขอเสด็จเข้าเมืองก่อนแล้วจะมารับในวันหลัง ต่อมาก็หลงลืมจนเจ้าหญิงน้อยพระทัยและเมื่อเสด็จมารับแล้วก็ยังมีการพูดจาหยอกล้อที่ทำให้เจ้าหญิงเสียพระทัยมากขึ้น อีกจึงกลั้นพระหฤทัยถึงแก่ทิวงคตบนเรือสำเภาพระที่นั่งดังกล่าวเป็นที่มาของชื่อวัดนี้ว่า “พแนงเชิง” ซึ่งแปลว่า “พระนางผู้มีความแง่งอน” แล้วแผลงเป็น “พนัญเชิง” ในภายหลัง...และเป็นที่มาของศาล เจ้าแม่สร้อยดอกหมาก ที่สร้างขึ้นเป็นศาลเจ้าแบบจีน เป็นที่เคารพสักการะสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันท่านอาจารย์สุเนตรนำพาคณะนักเรียนรุ่นพิเศษของท่านไปนั่งบ้างยืนบ้าง เพื่อฟังท่านบรรยาย ณ บริเวณท่าน้ำของวัด ซึ่งมองออกไปจะเห็น แม่น้ำเจ้าพระยา ไหลมาบรรจบกับ แม่น้ำป่าสัก อยู่ข้างหน้าหัวหน้าทีมซอกแซกขออนุญาตลงภาพถ่ายที่ได้มาจาก วิกิพีเดีย ประกอบคอลัมน์วันนี้เพื่อให้เห็นทัศนียภาพมุมสูงของ วัดพนัญเชิง ที่ตั้งอยู่ ณ “สามเหลี่ยม” บริเวณที่แม่น้ำ 2 สายตัดกันอย่างชัดเจนมากขึ้นอาจดูไม่ใหญ่โตกว้างขวางมากนักในปัจจุบันนี้ แต่นึกย้อนไปเมื่อ 700 กว่าปีซึ่งยังไม่มีบ้านเรือน มีแต่แม่น้ำกับต้นไม้ที่ขึ้นหนาทึบ อยู่ริมแม่นํ้า ก็พอจะจินตนาการได้ว่า บริเวณนี้ ในสายตาของคนยุคโน้นน่าจะใหญ่โตกว้างขวางไม่น้อยเลยสามารถเป็นที่จอด “เรือสำเภา” ของเจ้าหญิงสร้อยดอกหมาก และเรือสำเภาค้าขายอื่นๆที่เดินทางทางทะเลเข้าสู่อ่าวไทย เข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ผ่าน “บางกอก” ขึ้นเหนือไปเรื่อยๆจนไปจอดทอดสมอ ณ บริเวณหน้า วัดพนัญเชิง ดังกล่าวจากหลักฐาน “สมอเรือ” ที่ใหญ่โตมากที่ขุดค้นพบภายหลัง และหลักฐานอื่นๆอีกหลายชิ้นทำให้สรุปได้ว่า บริเวณนี้เองที่เปรียบเสมือน ท่าเรือกรุงเทพ หรือ ท่าเรือคลองเตย อันเป็นประตูสู่โลกกว้างของประเทศไทยเรา เมื่อ 70-80 ปีที่แล้วยังมีการค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับบ้านเรือน ที่อยู่อาศัยของชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะชาว โปรตุเกส และชาวจีนที่มากับเรือสำเภาแล้วปักหลักปักฐานอยู่แถวๆนั้น รวมทั้งยังมีร่องรอยของสำนักโสเภณีโบราณเพื่อบริการลูกเรือและกะลาสีต่างๆด้วยเราจบหลักสูตร “ชั่วโมงที่ 2” ด้วยการแยกย้ายกันไปกราบสักการะทั้ง พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ “หลวงพ่อโต” และ “ศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก” ตามอัธยาศัยสำหรับหัวหน้าทีมเอง ยังถือโอกาสไปยืนดูจุดแม่น้ำเจ้าพระยาบรรจบกับแม่น้ำป่าสักที่เห็นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลอีกครั้งก่อนกลับพร้อมกับจินตนาการไปตามประสาแฟนนวนิยายและ ละครโทรทัศน์ เรื่อง “บุพเพสันนิวาส” คนหนึ่ง...ว่าเมื่อตอนที่ออกขุนศรีวิสารวาจา ราชทูตหนุ่ม เดินทางไปฝรั่งเศส กับพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เมื่อ พ.ศ.2229 นั้นพระเอกของเราอาจจะมาขึ้นเรือสำเภาแถวนี้ด้วยกระมัง?“ชูม”