ปิดฉากอย่างงดงาม สำหรับนิทรรศการภาพถ่าย “อลังการ ช้าง กูย และคนรักช้าง” หนึ่งในกิจกรรมของโครงการผลิตสื่อเพื่อการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ องค์ความรู้และเทิดทูนคุณค่าช้างไทยและชาวชาติพันธุ์กูย ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจาก กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เล่าถึงแนวคิดในการให้ทุนครั้งนี้ว่า ช้างเป็นสัตว์สัญลักษณ์สำคัญของชาติไทย มีคุณูปการใหญ่หลวงในประวัติศาสตร์การสร้างชาติ การใช้แรงงานช้างยังทรงคุณค่ายิ่งทั้งทางด้าน สังคม เศรษฐกิจ แม้ในวันนี้ ช้างจะลดบทบาทในสถานะเดิมที่เคยเป็นลงไปแล้ว แต่ช้างก็ยังเป็นแม่เหล็กสำคัญให้กับการท่องเที่ยวไทย “ช้างเป็น Mascot หรือตราสัญลักษณ์สำคัญในการท่องเที่ยว และกิจกรรมระหว่างประเทศที่หลากหลาย ช่วยจุดประกายการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ทำให้เกิดการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทย เกิดการใช้จ่ายนำเงินตราต่างประเทศเข้าสู่ไทยได้เป็นจำนวนมาก การให้ทุนเพื่อสื่อความหมายเรื่องช้างจึงเป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญ” ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์บอก สำหรับโครงการนิทรรศการภาพถ่าย “อลังการ ช้าง กูย และคนรักช้าง” มี อภินันท์ บัวหภักดี อดีตบรรณาธิการฝ่ายภาพนิตยสาร อสท. เป็นหัวหน้าโครงการ โดยภาพรวมของโครงการนี้ ต้องการที่จะเล่าเรื่องช้างในหลากหลายแง่มุม เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทยเข้าใจปัญหาช้าง เกิดความรัก และมีใจพร้อมจะช่วยเหลือแก้ปัญหาช้างไทยในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้ชาวกูยสามารถสืบทอด คชศาสตร์ชาวกูย มรดกภูมิปัญญาของชาติไทยไว้ได้ต่อไป ผ่านการจัดทำ E-Book คชศาสตร์ชาวกูย, Facebook Page ศูนย์รวมข่าวช้างไทย และสื่อ Social Media ต่างๆของโครงการ และการจัดนิทรรศการภาพถ่าย ไฮไลต์สำคัญของงานนอกจากการเล่าเรื่องช้างผ่านภาพถ่ายที่มีชีวิตแล้ว ยังมีบุคคลที่มีส่วนสำคัญในการสืบทอดวิถีคน วิถีช้างของชาวกูย อย่างตาบุญมา แสนดี หมอสะเดียงอาวุโส ผู้มีศักดิ์สูงสุดของบรรดาหมอช้างในปัจจุบัน ซึ่งเล่าว่า โตมากับช้าง เพราะครอบครัวเลี้ยงช้าง พ่อเป็นหมอช้าง มีช้างเลี้ยงเยอะถึง 30-40 กว่าเชือก เริ่มเป็นควาญช้างตั้งแต่อายุ 14 โดยเข้าป่ากับพ่อ และได้รับการทำพิธีปะชิเลื่อนขั้นจากควาญช้างเป็นหมอช้างตอนอายุ 15 “ผมก็เข้าป่าคล้องช้างได้ด้วยตัวเองตั้งแต่อายุ 15 คล้องช้างป่ามาฝึก มาเลี้ยงจนเชื่อง บางเชือกก็ขายออกไปให้ปางไม้ สมัยเมื่อ 60 กว่าปีก่อนราคาช้างเชือกหนึ่งประมาณ 4,000-5,000 บาท ส่วนใหญ่เข้าไปคล้องตามชายแดนไทย- กัมพูชา แถบแนวเทือกเขาพนมดงรัก เข้าไปครั้งหนึ่งนาน 2-3 เดือน สามารถจับช้างได้ครั้งหนึ่ง 2-3 เชือก และเคยได้สูงสุด 6 เชือก” ตาบุญมาเล่าเรื่องราวผ่านเพจ Elephants and the wisdom of Kuy ช้าง กูย และคนรักช้าง ซึ่งหมอช้างอาวุโสบอกว่า ทั้งชีวิตสามารถคล้องช้างป่ามาได้มากกว่า 50 เชือก จนได้รับตำแหน่งครูบาใหญ่ คือ เป็นหมอปะกำช้างลำดับสูงสุด ซึ่งในแต่ละชุมชนแต่ละหมู่บ้านจะมีได้เพียงคนเดียวที่สามารถประกอบพิธีกรรมทุกๆอย่างในนามของพระครูปะกำได้ ซึ่งพ่อใหญ่บุญมา ถือได้ว่าเป็นผู้นำควาญช้างทำพิธีต่างๆ ทั้งเซ่นไหว้ศาลปะกำ พิธีปะชิหมอช้าง งานบวชนาคช้าง งานช้างประจำปีของจังหวัด และพิธีตัดงาช้าง สิ่งสำคัญที่สุดที่พ่อใหญ่บุญมาบอกก็คือ เวลาที่ช้างได้กลับบ้าน กลับมาอยู่ที่ กระโพ ท่าตูม ไม่ต้องถูกใช้แรงงาน ไม่ต้องทำงานหนัก ถูกทรมาน เขาจะรู้สึกได้เลยว่าเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ อยู่อย่างสบายใจ มีความสุขที่สุดอีกคนที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เห็นจะเป็นคุณยายแมว 1 ใน 2 ของผู้หญิงเลี้ยงช้าง ที่ภาพถ่ายของยายเป็นหนึ่งในภาพที่มีคนสนใจมากที่สุดเป็นภาพที่ยายแมวถ่ายกับย่าทองคำ ช้างป่าเชือกสุดท้ายที่ถูก (ควาญช้าง) จับออกมาจากป่าตั้งแต่ตอนเป็นลูกช้างเพื่อนำมาฝึก ครอบครัวยายแมวเป็นชาวกูยจับช้าง ตอนที่คุณยายเป็นเด็กได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เลี้ยงลูกช้างที่จับมาได้จากป่า ซึ่งก็คือช้างป่าพังทองคำ ยายแมวและย่าทองคำเติบโตมาด้วยกัน วันนี้ยายแมวอายุ 90 ขณะที่ย่าทองคำ 80 กว่า ถ้าเป็นคน สองคนนี้ก็คงเหมือนเพื่อนที่รู้ใจกันมาทั้งชีวิตในวันที่สถานการณ์ช้าง ซึ่งเป็นสัตว์คู่บ้าน คู่เมืองกำลังมีปัญหา ทั้งปัญหาช้างในธรรมชาติ การลดจำนวนลงของประชากรช้าง การผสมพันธุ์เลือดชิด การออกมาทำลายพืชไร่พืชสวนของช้างป่า และปัญหาของช้างบ้าน เช่น ปัญหาการโจมตีจากต่างประเทศเรื่องการใช้ช้างทำงานด้วยวิธีการทารุณ เช่น การผ่าจ้าน การใช้ตะขอสับ การล่ามโซ่ รวมกับการขาดแคลนผู้สืบทอดความรู้โบราณเรื่องการฝึกช้างทำงาน และการดูแลสุขภาพช้าง ก็เป็นปัญหาอันอาจส่งผลให้ภูมิปัญญาไทยโบราณสูญหายไปได้โครงการเล็กๆของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยสร้างสรรค์ ที่ จ.สุรินทร์ อาจเป็นเพียงการต่อลมหายใจเล็กๆที่ทำให้เรื่องราวของช้างมีคนรับรู้มากขึ้นผ่านการสื่อสารที่หลากหลายเพื่อที่จะรู้จักช้างไม่ใช่เพียงแค่เป็นช้าง แต่รู้จักช้างในสิ่งที่ช้างเป็น เพื่อที่จะทำให้ความผูกพัน และความสัมพันธ์ระหว่างคนกับช้างและธรรมชาติคงอยู่ร่วมกันตลอดไป.