การตัดสินใจของแอสตร้าเซนเนก้า บริษัทผู้ผลิตชีวภัณฑ์ชั้นนำสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน ที่แสดงเจตจำนง (Letter of Intent) ให้ประเทศไทยเป็นฐานในการผลิตและจัดสรรวัคซีนวิจัยป้องกันโควิด-19 AZD1222 ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด นับเป็นข่าวดีที่สุดในรอบปี ภายหลังการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ นานกว่า 9 เดือนโครงการดังกล่าวผลักดันโดยกระทรวงสาธารณสุข มี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข เป็นผู้ลงนามร่วมกับ มร.เจมส์ ทีก ประธานแอสตร้าเซนเนก้า ประจำประเทศไทย ผ่านการประชุมออนไลน์จากกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร โดยให้ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เป็นผู้ดำเนินการผลิต หนังสือแสดงเจตจำนงดังกล่าว ระบุว่า ทุกฝ่ายตกลงจะทำงานร่วมกัน เพื่อเสริมศักยภาพด้านกำลังการผลิตของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ให้พร้อมรองรับการผลิตวัคซีนจำนวนมาก เพื่อให้ประเทศไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียมและทันเวลา โดยแอสตร้าเซนเนก้าจะจัดสรรวัคซีนวิจัยดังกล่าวโดยไม่มุ่งหวังผลกำไรในช่วงแพร่ระบาดของโควิด-19 พร้อมกันนี้จะถ่ายทอดเทคโนโลยีและร่วมมือกับสยามไบโอไซเอนซ์ ในการติดตั้งกระบวนการผลิตด้วยแต่เป้าหมายที่มากกว่านั้น ก็คือ การจัดสรรวัคซีนสำหรับประชาชนชาวไทยให้ได้ภายในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564!นายอนุทิน บอกว่า รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่แอสตร้าเซนเนก้า เลือกประเทศไทยเป็นหนึ่งในฐานการผลิตของโลกผ่านบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ การลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงแสดงถึงความคืบหน้าไปอีกขั้นในการจัดหาวัคซีนวิจัยมาใช้ในประเทศ ซึ่งจะเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ รัฐบาลยังสนับสนุนการกระจายวัคซีนวิจัยไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้ทั้งภูมิภาคกลับมาเป็นปกติได้โดยเร็วด้วยขณะที่ พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ประธานกรรมการ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เปิด เผยว่า ศูนย์การผลิตของบริษัท มีเครื่องจักรที่เป็นเทคโนโลยีชั้นสูงสำหรับผลิตยารักษาโรคมะเร็งและโรคภูมิ คุ้มกันทำลายตนเอง เครื่องจักรดังกล่าวสามารถประยุกต์ใช้ผลิตวัคซีนวิจัย AZD1222 ได้ทันที ภายหลังการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากแอสตร้าเซนเนก้ารวมทั้งขั้นตอนขอขึ้นทะเบียนกับ อย. “คาดว่าวัคซีนชุดแรกจะพร้อมใช้ในกลางปีหน้า ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ผลิตวัคซีนดังกล่าวได้สำเร็จ ซึ่งทางสยามไบโอไซเอนซ์จะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้คนไทยและประชาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ใช้วัคซีนเร็วที่สุด” พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ ยืนยันความมั่นใจขณะที่ มิส โจ เฟง รองประธานอาวุโสประจำภูมิภาคเอเชียของแอสตร้าเซนเนก้า บอกว่า การเปิดกว้างให้คนจำนวนมากสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียมและทันเวลา เป็นปัจจัยสำคัญแห่งความสำเร็จ ซึ่งในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญสู่เป้าหมายดังกล่าว ความเป็นผู้นำและการสนับสนุนของรัฐบาลไทย และความเชี่ยวชาญด้านการผลิตระดับโลกของสยามไบโอไซเอนซ์ สร้างความเชื่อมั่นว่าจะสามารถผลิตวัคซีน AZD1222 รองรับทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนแบบนี้เป็นทางเดียวที่จะยับยั้งการแพร่ระบาดได้ซึ่งนอกจากสยามไบโอไซเอนซ์ จะเป็นผู้ผลิตวัคซีน AZD1222 แล้ว ความสำเร็จครั้งนี้ยังเกิดจากการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ของบริษัทเอสซีจี ซึ่งเป็นพันธมิตรร่วมงานด้านงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดมาอย่างยาวนาน นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี บอกว่า เชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ประเทศไทยได้ใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 เร็วขึ้น รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะช่วยในการส่งเสริมให้เศรษฐกิจ และสังคมไทยและอาเซียนฟื้นกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง โดยนอกจากประสานความร่วมมือแล้ว มูลนิธิเอสซีจียังได้ร่วมสมทบทุนวิจัยพัฒนาวัคซีนในประเทศครั้งนี้อีกเป็นเงิน 100 ล้านบาทสำหรับหนังสือแสดงเจตจำนงดังกล่าว นอกจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดจะให้สิทธิประเทศไทยในการเป็นฐานการผลิตแล้ว ยังให้สิทธิคนไทยได้รับวัคซีนเป็นประเทศแรกๆของโลก และจัดจำหน่ายวัคซีนให้แก่ประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยสำหรับวัคซีน AZD1222 เดิมเรียกว่า ChAdOx1 nCoV-19 เป็นวัคซีนที่พัฒนาจากไวรัส ChAdOx1 ซึ่งเป็นไวรัสไข้หวัดทั่วไปที่อ่อนแอลง และทำให้เกิดการติดเชื้อในลิงชิมแปนซี โดยได้รับการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมให้ไม่สามารถเติบโตได้ในมนุษย์ และนำสารพันธุกรรมดังกล่าวเพิ่มเข้าไปในโครงสร้าง ChAdOx1 ที่มีส่วนสำคัญต่อการสร้างสไปค์ไกลโคโปรตีน ที่พบบนพื้นผิวของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2)การฉีดวัคซีน AZD1222 จะทำให้ร่างกายรับรู้และพัฒนาการตอบสนองภูมิคุ้มกันต่อสไปค์ไกลโคโปรตีนซึ่งจะช่วยหยุดไวรัสโควิด-19 ไม่ให้เข้าสู่เซลล์ของมนุษย์และป้องกันการติดเชื้อได้.