แทบทุกครั้งเวลาเกิดเหตุความรุนแรงของวัยรุ่น จะต้องมีใครสักคน พยายามเชื่อมโยงว่า การเล่น “เกม” เป็นต้นตอของปัญหา

เนื่องด้วยทุกวันนี้ เกมที่ถูกผลิตออกวางจำหน่ายมีภาพกราฟิกที่สวยงามและสมจริง ยิงปืนกันเลือดสาด ไส้แตก สมองไหล ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ภาพเป็นพิกเซลแตกๆแยกไม่ค่อยออกนัก

เหมือนที่สหรัฐฯ เมื่อต้นเดือน ส.ค. วงการเกมถูกรุมชำแหละยับ จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ ส.ว.รีพับลิกัน หลังเกิดเหตุโศกนาฏกรรมกราดยิง โดยระบุว่าเกมเป็นการส่งเสริมการใช้ความรุนแรงในสังคม และสมควรที่จะต้องหยุดยั้ง หรืออย่างในประเทศไทย ก็เคยจำได้ว่า มีเหตุการณ์ที่ทำให้เกมถูกมองเป็นผู้ร้าย เพราะเนื้อหาของบางเกม มีสิ่งที่ไม่เหมาะสม เช่นการฆ่ากันตาย การลักขโมย หรือการเกี่ยวข้องกับยาเสพติด

ยกตัวอย่างเกมแกรนด์ เธฟต์ ออโต (Grand Theft Auto-ซึ่งอยู่ระหว่างการสร้างภาค 6) ที่ผู้เล่นจะได้สวมบทบาทของตัวเอกในเกม ตะลุยเรื่องราวละครชีวิตในภาคนั้นๆ ไม่ว่าวัยรุ่นในสลัมผิวสี ผู้อพยพหนีสงคราม ไปจนถึงโจรหนีคดี ทำให้ต้องพัวพันกับสิ่งผิดกฎหมายและอิทธิพลมาเฟีย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมจริง ที่ผู้สร้างเกมพยายามสะท้อนออกมา มิต่างอะไรกับเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ ฮอลลีวูดคว้ารางวัลตุ๊กตาทอง

...

มักจะมีการตั้งคำถามว่า ให้เด็กเล่นเกมเยี่ยงนี้ จะเหมาะสมหรือไม่ เป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องหรือเปล่า แต่บอกได้เลยว่า เกมแบบนี้ให้เด็กเล่นไปก็ไม่รู้เรื่อง แถมมีโอกาสสูงที่จะเบื่อ เลิกไปเอง ไม่ว่าด้วยเหตุผลทางทักษะภาษา ไม่เข้าใจว่าภารกิจในเกมต้องทำอะไร หรือเรื่องทักษะทางร่างกาย กดบังคับซ้ายขวาหลบหลีกไม่คล่อง จนเล่นวนอยู่กับที่เพราะพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

จึงเหมือนกับผู้สร้าง ตั้งโจทย์มาเรียบร้อยว่า เกมระดับนี้คนที่จะเล่นได้จนจบ จำเป็นต้องอยู่ในวัยที่เหมาะสม รวมทั้งได้รับการศึกษามากพอ เพื่อที่จะได้เข้าใจว่าจริงๆแล้วเกมต้องการจะสื่ออะไร ซึ่งการศึกษาในที่นี้ย่อมรวมถึงการถูกอบรมจากผู้ปกครองและโรงเรียน เรื่องการแยกแยะผิดชอบชั่วดีอยู่ในตัว

แน่นอนว่าหลักการของเกม ถูกออกแบบโดยยึดถือจุดประสงค์หลักอยู่เสมอ คือให้ผู้เล่นได้รู้สึกภาคภูมิใจในความสำเร็จจากชัยชนะ ซึ่งหากเป็นเกมสงครามไม่ว่า คอลออฟดิวตี้ (Call of Duty) แบทเทิลฟิลด์ (Battlefield) ย่อมต้องมีการยิงปะทะ ฆ่าศัตรู ทั้งในรูปแบบผู้เล่นสู้กันเองหรือแข่งกับศัตรูปัญญาประดิษฐ์–เอไอ หรือกระทั่งเกมสายแฟนตาซีต่างๆที่ศัตรูไม่ใช่มนุษย์ เป็นมารหรือปีศาจ สุดท้ายแล้วก็จบที่การสังหารอยู่ดี

ย้อนกลับไปช่วงปี พ.ศ.2533 เกมแนวบุกตะลุยยิงแหลกเลือดสาด อย่างเกมไล่สังหารนาซีวูล์ฟเฟนสไตน์ (Wolfenstein) หรือเกมฆ่าปีศาจอสุรกาย ดูม (Doom) ได้ตกเป็นเป้าโจมตีอย่างมาก ว่ากระตุ้นให้เยาวชนใช้ความรุนแรง อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้ซึ่งเวลาผ่านไปเกือบสามทศวรรษแล้ว ก็ยังไม่มีผลการวิจัยใดๆออกมายืนยันว่า “เกม” ส่งผลให้เกิดความรุนแรงในกลุ่มเยาวชน แม้แต่ชิ้นเดียว

เกมจึงตกเป็นเป้าการโจมตีอยู่เสมอ แม้จะเข้าใจและรับรู้กันดีว่า สถาบันครอบครัวที่ไม่เข้มแข็ง ขาดความอบอุ่น เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดปัญหาแก่เด็กวัยรุ่น หรืออย่างในสหรัฐฯเอง การเกิดเหตุกราดยิงก็โทษว่าเป็นเพราะเกม ทั้งที่ปืนซื้อง่ายขายคล่องเต็มเมือง

ในความเป็นจริงแล้ว เกมในโลกนี้มีหลายประเภทมากมาย ไม่แตกต่างกับการเล่นกีฬา ที่ใครชอบอะไรก็เล่นอันนั้น ไม่ว่าจะเป็นเกมประเภทแก้ปริศนาหรือพัซเซิล เช่น เกมตัวต่อ เตตริส (Tetris) เกมสลับสีไพ่โซลิแตร์ (Solitaire) เกมเรียงสีลูกกวาดในเฟซบุ๊ก แคนดีครัช (CandyCrush)

หรือบางคนไม่อยากใช้ทักษะการเล่น แต่ชอบคิดใช้สมอง ก็ยังมีเกมประเภทจำลองซิมูเลชัน หรือประเภทวางแผน มาตอบโจทย์ อย่างเกมสร้างเมืองสุดคลาสสิก ซิมซิตี (Sim City) เกมจำลองชีวิต เดอะ ซิมส์ (The Sims) เกมสร้างอาณาจักรและอารยธรรม ซิวิไลเซชัน (Civilization)

...

นอกจากนี้ วงการเกมในปัจจุบันยังได้รับการยอมรับให้เป็นกีฬาอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีสปอร์ต (E–Sport) โดยมีการจัดแข่งขันในระดับนานาชาติ อย่างเกมดีเฟนเดอร์ ออฟ ดิ แอนเชียนต์ หรือที่เรียกสั้นๆว่า โดต้า ภาค 2 (Dota 2) ก็เพิ่งมีการจัดงานไปที่นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ในช่วงปลายเดือน ส.ค.

งานนี้มีเยาวชนไทยเข้าร่วมแข่งขันด้วยแต่ยังไม่ถึงฝัน ชัยชนะตกเป็นของทีม OG จากยุโรป สมาชิก 5 คน คว้าเงินรางวัลไปคนละ 3.12 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคนละเกือบ 94 ล้านบาท

ถึงเวลารึยังหนา ที่จะเปลี่ยนกรอบความคิดเดิมๆ และเปิดใจมองวงการเกมในมุมใหม่ๆ กันบ้าง หรือแท้ที่จริงแล้ว การโบ้ยให้ เกมเป็นแพะรับบาป มันสะดวกกว่าการแก้ปัญหาในครอบครัว หรือปัญหาสังคมอย่างจริงจัง!?


พจน์ พลวัต