เราเคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไม? สีของปัสสาวะจึงต้องเป็นสีเหลือง และถ้ามันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีอื่น แปลว่าเรากำลังป่วยหรือมีโรคร้ายคุกคามใช่หรือไม่

ดูเหมือนจะเป็นคำถามง่ายๆ และหลายคนก็คงคิดว่าเรื่องนี้น่าจะอธิบายได้ในทางวิทยาศาสตร์ แต่จริงๆแล้ว การค้นพบกลไกของการที่ทำให้ปัสสาวะของเราเป็นสีเหลืองนั้น เพิ่งมีการค้นพบอย่างแน่ชัดเมื่อไม่นานมานี้เอง

ผลการค้นพบล่าสุด ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Microbiology ฉบับวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยทีมนักชีววิทยาระดับโมเลกุลจากมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ และจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ของสหรัฐฯ ระบุถึงกลไกของการเกิดสีเหลืองในปัสสาวะว่า เกิดจากกลไกที่เอนไซม์ “บิลิรูบิน รีดักเทส” (bilirubin reductase) ที่เกิดจากแบคทีเรียในลำไส้คือ สาเหตุที่ทำให้ปัสสาวะมีสีเหลืองทองอย่างที่คุ้นเคยกัน

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์ทราบเพียงว่าสีเหลืองของปัสสาวะเกิดจากกระบวนการขจัดเซลล์เม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ ซึ่งเป็นวงจรที่จะเกิดขึ้นทุก 120 วัน โดยเซลล์เม็ดเลือดแดงจะถูกทำลายในตับ ทำให้เกิดสารสีส้มสดใสชื่อว่า “บิลิรูบิน” (bilirubin) เป็นสารที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วตับจะขับออกไปสู่ลำไส้

...

จากนั้นเหล่าแบคทีเรียที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบ “ไมโครไบโอม” ของลำไส้ (gut micro biome) จะเปลี่ยนมันให้เป็นสารไร้สีชื่อว่า “ยูโรบิลิโนเจน” (urobilinogen) ซึ่งต่อมาจะเสื่อมสภาพลงจนกลายเป็นสาร “ยูโรบิลิน” (urobilin) ซึ่งก็คือเม็ดสีที่ทำให้ปัสสาวะมีสีเหลืองในที่สุด

เรียกว่า ความลับของสารสีเหลืองในปัสสาวะ.. อยู่ตรงนี้นี่เอง

ซึ่งโดยปกติ ปัสสาวะมักเป็นสีเหลืองใสขึ้นอยู่กับอาหารและปริมาณน้ำที่ดื่ม หากดื่มน้ำน้อยปัสสาวะจะมีสีเข้มขึ้น ดังนั้น หากพบว่าปัสสาวะสีเหลืองเข้มควรดื่มน้ำให้มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อน หรือหลังออกกำลังกาย โดยดื่มจนกว่าปัสสาวะจะมีสีอ่อนลง ในทางกลับกันหากปัสสาวะใสเหมือนน้ำอาจหมายถึงการดื่มน้ำมากเกินไปจนเกลือแร่ ในร่างกายเจือจาง

ทีนี้...มาว่าด้วยเรื่องของสีปัสสาวะที่หากไม่ใช่สีเหลืองจะหมายถึงการผิดปกติหรือภาวะความเจ็บป่วยหรือไม่ เริ่มต้นจาก สีแดง นอกจากจะเกิดจากการรับประทานอาหารบางชนิด เช่น บีทรูท กระเจี๊ยบแดง หรืออาจเกิดจากการมีเลือดปน ซึ่งเป็นได้ตั้งแต่สีแดงจางๆ ไปจนถึงแดงเข้ม ขึ้นอยู่กับปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้น

เลือดที่ปนในปัสสาวะอาจเกิดจากการติดเชื้อ หรือนิ่วในไต ท่อไต หรือกระเพาะปัสสาวะ รวมถึงเนื้องอกที่ไม่อันตรายไปจนถึงมะเร็งในไต กระเพาะปัสสาวะ หรือท่อปัสสาวะ ซึ่งพบได้บ่อยในผู้สูงอายุทั้งหญิงและชาย

แต่ก็อาจพบในผู้มีอายุน้อยที่สูบบุหรี่จัด บ่อยครั้งที่พบว่าปัสสาวะมีเลือดปนเนื่องจากมีเนื้องอกหรือมะเร็งมักไม่มีอาการหรือความเจ็บปวดใดๆ

นอกจากนี้ อาจเกิดจากการขยายตัวของต่อมลูกหมากที่ไม่เป็นมะเร็งในผู้ชายก็สามารถทำให้มีเลือดปนในปัสสาวะได้เช่นกัน

สีม่วง...แม้จะเป็นสีที่พบได้ไม่บ่อย แต่ก็พบได้ในถุงระบายน้ำปัสสาวะของผู้ป่วยสูงอายุที่ใส่ท่อสวนปัสสาวะ ซึ่งปัสสาวะสีม่วงเกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างแบคทีเรียกับถุงระบายน้ำปัสสาวะที่เป็นพลาสติก

สีน้ำตาล...คล้ายสีชาเกิดจากการสลายตัวของกล้ามเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการดื่มแอลกอฮอล์หรือเสพยาเสพติด ทั้งนี้ ยังอาจเกิดจาก ปัญหาตับอักเสบ มีระดับบิลิรูบิน (bilirubin) สูง จนขับออกทางปัสสาวะ

สีขาวขุ่น...อาจเกิดจากมีหนองปน ส่วนใหญ่มักเกิดในผู้ป่วยที่ใส่สายสวนปัสสาวะทิ้งไว้เป็นเวลานาน หรือมีน้ำเหลืองในปัสสาวะ

...

สีส้ม...อาจเกิดจากการรับประทานวิตามินหรือยาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่ใช้รักษาการติดเชื้อต่างๆ

สีฟ้าหรือสีเขียว...ส่วนใหญ่มักมาจากยาที่ช่วยลดการระคายเคืองจากการติดเชื้อหรือยารักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบ รวมถึงการได้รับยาชาบางชนิด การรับประทานหน่อไม้ฝรั่งก็อาจทำให้ปัสสาวะมีสีเขียวอ่อนได้

นอกจากสีของปัสสาวะแล้ว ความขุ่นใส ปัสสาวะเป็นฟอง หรือกลิ่นที่เปลี่ยนไปก็บอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้ เราจึงควรหมั่นสังเกตสีของปัสสาวะที่อาจเปลี่ยนแปลงไป หากพบความไม่ปกติที่ว่า ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย เพื่อจะได้รักษาภาวะของโรคที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น.

อ่าน "สมาร์ทไลฟ์" ทั้งหมดที่นี่