อยากลอง “บินเดี่ยว” เพื่อค้นหาตัวตน สำหรับ ดิว-อรุณพงศ์ ชัยวินิตย์ นักร้องเสียงนุ่มมากความสามารถ หลังจากหมดสัญญาจากจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ไม่เคยทิ้งความฝัน ไม่หยุดทำในสิ่งที่รัก ล่าสุด ส่งซิงเกิลใหม่ “ไอ้บ้าเอ๊ย” แต่งเพลงเอง ร้องเองแต่มีรุ่นพี่อย่าง พอยท์ วงเคลียร์ และพี่เม่น นีออนทีม เป็นโปรดิวเซอร์ ช่วยประกอบจนเป็นรูปเป็นร่างได้ผลงานที่กลมกล่อม “คนดังนั่งคุย” คว้าหนุ่มดิว มาเปิดใจกับเรื่องราวงานเบื้องหน้า เบื้องหลังกลายเป็นคน “แต่งเพลง” เต็มตัว จนถึงขั้นตั้งธงไว้ในใจอยากแต่งเพลงให้ครบ 100 เพลง ...งานรุ่งพุ่งแรง ยกเว้นความรักที่ หนุ่มดิว ยังไม่นิ่งถึงขั้นดูดวงเนื้อคู่ก็ได้ความว่าให้ “รอ” ไปก่อน!!
เพลง ไอ้บ้าเอ๊ย กระแสเป็นยังไงบ้าง
“ต้องบอกว่า หายใจไม่ค่อยทั่วท้องเท่าไหร่เพราะผมตื่นเต้นกับการปล่อยเพลงนี้เหมือนกันเพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันใหม่หมดเลย ฐานกลุ่มคนฟังของผมหรือแม้กระทั่งตัวผมเอง มันเหมือนเป็นเพลงที่เรามีไอเดียใส่ไปหมดเลยมีท่อนแร็ป มีเสียงหัวเราะ มีความบ้าคลั่ง เสียงพูดในหัวที่มันตีกันคาดหวังว่าคนฟังจะเข้าใจในสิ่งที่เราทำได้ ถามทำไมต้องรวมทุกสิ่งทุกอย่างเยอะแยะมารวมอยู่ในเพลงนี้เพลงเดียวเลย คือเพลงนี้ย้อนกลับไปเมื่อสองปีที่แล้ว เป็นเพลงแรกที่เราเริ่มต้นเขียนเพลงอย่างจริงจัง การเริ่มต้นของเพลงนี้ มันไหลออกมาหมดเลยทำให้เรารู้สึก มันสด ณ ตอนนั้น ทุกอย่างจับวางไปหมด”
พอผลงานที่ออกมาได้ตอบโจทย์ตัวเองแฮปปี้ขนาดไหน “ผมพึงพอใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลย และเพลงนี้เป็นจุดเริ่มต้นให้ผมแต่งเพลงอีกหลายๆ เพลง เมื่อสองปีก่อนผมแต่งเพลงนี้ขึ้นมาเป็นเพลงแรก ได้รับโอกาสได้เขียนเพลงซีรีส์เรื่องต่างๆ ละครต่างๆ ที่เข้ามา เพลงนี้ทำให้ผมเจอ นีออนทีม ได้เจอพี่เม่น พี่พอยท์ หลังจากเพลงนี้มีผู้กำกับซีรีส์มาถามว่า พี่ดิว รับทำเพลงละครมั้ย ผมเลยถามทีมว่ารับทำเพลงมั้ยทีมก็บอกเอาสิ ทำเพลงด้วยกันก็เลยได้เริ่มต้นทำเพลงซีรีส์ บังเอิญรัก หลังจากซีรีส์ออกไปกระแสตอบรับค่อนข้างดี ได้เพลงต่อๆมา เขียนเพลงละครให้ช่องวัน เขียนเพลงให้กัน นภัทร ร้อง น้องโดมร้องในซีรีส์อีกเรื่องนึง ค่อยๆได้ทำมาเรื่อยๆ ในระยะเวลาสองปี”
...
จากคนข้างหน้าร้องเพลงตอนนี้กลายเป็นคนเขียนเพลง
“มันเป็นความท้าทายมากๆ พอผมเริ่มเขียนเพลงแล้วทำให้ผมรู้สึกเลยว่ากว่าจะได้เพลงเพลงนึงขึ้นมามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ตอนแรกอยู่ในเวย์นักร้องมาตลอด แล้วเพลงที่เราได้ร้องออกมา ตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว ทุกเพลงเป็นเพลงที่เพราะหมดเลย แต่กว่าจะเป็นเพลงออกมาได้ขนาดนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พอเรามาทำเพลงเองก็ต้องพัฒนาไปอีกๆ”
ความแตกต่างที่เขียนเพลงให้ตัวเองร้องเพลงกับเขียนให้นักร้องท่านอื่นๆร้องล่ะ “มันมองคนละมุม ถ้าเขียนให้ตัวเองร้องเราแค่คิดว่าเราจะพูดอะไร เราจะบอกอะไรสื่อสารอะไร แต่ถ้าเขียนให้คนอื่นร้องส่วนใหญ่ผมจะเขียนเป็นเพลงประกอบละคร ซีรีส์ เราก็ต้องอ่านเรื่องย่อก่อนประมาณไหน และสิ่งที่เค้าต้องการให้พูดคือพูดถึงตัวละครในมุมไหน เราต้องถ่ายทอดมุมนี้ออกมาแล้วนักร้องเป็นใคร ถ้าเป็นกัน สบาย เค้าเก่ง เป็นเพลงประกอบละครลูกกรุง ผมจะใช้คำค่อนข้างโบราณหน่อย ภาษาสละสลวย มีคำสัมผัสต่างๆขึ้นมาหน่อยที่ไม่ใช่ภาษาปัจจุบัน ผมรู้ว่าใส่ไปรู้ว่ากันร้องจะเข้าปากเค้าและเค้าเป็นคนร้องเพลงลูกกรุงเพราะมากๆอยู่แล้ว”
หลังจากปล่อยเพลง ไอ้บ้าเอ๊ย มีคนมาเล่าประสบการณ์แปลกๆให้เราฟังบ้างมั้ย
“มีนะครับ จะเป็นคอมเมนต์ในยูทูบ ในลิงก์ต่างๆที่เพลงนี้ไปปรากฏอยู่ บางคนแอบรักคนนี้มากี่ปีๆ เค้าไม่เคยรักตอบ บางคนโปรยมาเป็นคำ เค้าเขียนมาว่า คนที่เค้าไม่รัก ต่อให้เราไปบังกระสุนให้เค้าก็ได้แค่คำว่าขอบคุณ ไม่ใช่คำว่ารัก คนจะอินจะเขียนโค้ดอะไรแบบนี้ อ่านแล้วมีความสุขนะ คนเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังจะพูด”
เพลงนี้เป็นความแปลกใหม่ที่คนเปิดใจรับได้แต่มันจะเป็นบรรทัดฐานให้กับเพลงต่อๆไปของเรามาตรฐานต่ำกว่านี้ไม่ได้นะ “อันนี้ก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน จริงๆ สำหรับเราจะต้องเป็นอย่างนั้น เพลงนี้ปล่อยมาในคอนเทนต์แบบนี้ มีมุมมองแบบนี้มีคำที่มันใหม่สำหรับเราแบบนี้ เพลงต่อไปจะมาดรอปกว่านี้ไม่ได้อยู่แล้ว”
ได้ยินว่าทุกวันนี้ไปไหนคุณแม่ยังขับรถให้อยู่เลยเพราะอะไร
“ใช่ครับ อันนี้เป็นความไม่ดีของตัวเอง ไม่ชอบเลยกับการขับรถ ถ้าแม่ไม่ได้ไปด้วยผมเลือกที่จะไม่ขับรถเอง ผมไม่ชอบขับรถแล้วยิ่งช่วงโควิด สิ่งนึงที่เป็นแม่ห่วงและแม่ไม่ยอม ไม่ให้ขึ้นรถประจำทาง จริงๆผมชอบขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า นั่งแท็กซี่ก็เจอรถติดอีก ผมไม่ชอบรถติดเลย ไม่ชอบอยู่นานๆ จะนั่งรถไฟฟ้ากับวินมอเตอร์ไซค์ไปเลยมากกว่าเพราะเป็นคนชอบให้เวลาพอดีๆ ไม่ชอบให้เหลือเวลาทิ้งไว้ แม่ด่าผมประจำว่าทำอะไรชอบบีบตลอดเวลา แต่ผมเป็นคนชอบใช้เวลาทุกวินาทีให้มันคุ้มค่าที่สุด คือแม่รับส่งผมตั้งแต่ผมเริ่มทำงาน 10 ปีแล้วครับ เราพอมีรายได้ ที่ดูแลเค้าได้ก็ให้เค้าหยุดเลย จนหน้าที่ของเค้า จะนึกตลอดเวลาฉันจะต้องดูแลลูกให้ดีที่สุด กลับบ้านมาลูกจะต้องกินข้าวแต่จะอารมณ์เสียมาก ตอนเช้าไม่ได้กินกับข้าวที่เค้าทำไว้ให้หรือไปไหนไม่บอก”
...
โลกส่วนตัวของดิวยังสูงอยู่มั้ย
“มากๆ เลยครับ”
อายุที่มากขึ้นไม่ได้มีผลทำให้โลกส่วนตัวเราแคบลงๆเหรอ “มันก็มีนะครับ ด้วยความที่ผมเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงมานานแล้วแต่พอทำงานในวงการบันเทิงเราต้องแบ่งให้ชัดเจน เวลาทำงานเราจะเป็นคนโลกส่วนตัวสูงไม่ได้ บนเวทีคุยกับคนโน้นนี่ก็ต้องเปิด เปิดอย่างมีความสุข พอกลับมาพื้นที่ส่วนตัวอันนี้คือ คอมฟอร์ตโซน อันนี้เราหวงมากขออยู่คนเดียว เข้าห้องแล้วไม่ออกครับ เป็นพื้นที่หวงห้ามเลย”
ทุกวันนี้แม่บ่นดิวเรื่องอะไรเยอะสุด “เรื่องเวลานี่แหละ (หัวเราะ) แม่ผมไม่ชอบทำอะไรพอดี ต้องมีเวลาเผื่อนิดนึง ไม่ต้องรีบไม่รนอะไรแต่ส่วนตัวเราไม่ได้คิดว่ารีบอะไร มันมีเวลาทำอย่างอื่นได้ อะไรแบบนี้และบ่นเรื่องสุขภาพเพราะดิวนอนดึก มันก็ยากเพราะเวลาเขียนเพลง ไอเดียมันจะมาช่วงดึกๆ เริ่มแล้วต้องทำให้จบ”
สิบปีลุคเปลี่ยนไปเยอะ จำภาพแรกตอนที่เข้ามาประกวดได้มั้ย
“จำได้ครับ ทุกคนจำได้ เป็นอาถรรพณ์อย่างนึงเหมือนกัน ดิว เดอะสตาร์ เดดล็อกมาก่อนเลย ซึ่งทุกวันนี้นึกถึงดิวทุกคนก็ยังนึกถึงภาพนั้นอยู่เหมือนกัน เรากลับไปทำทรงนั้นไม่ได้แล้วแหละจริงๆ เพราะว่ามันไม่ไหวแล้วสำหรับผมเพราะว่าเดดล็อก ผมจะเสียและถูกดึงจนผมบางลงๆ ทำให้กลางกระหม่อมบางเลย หายไปเลย เราชอบมากทำเดดล็อกกลับไปทำอีกรอบ ซึ่งผมบางลงไปอีก เราก็ต้องหยุด บ๊ายบายถาวรเพราะไม่อย่างนั้นเราจะกลายเป็นไข่ดาวแล้ว (หัวล้าน) เราไม่ไหวแล้วจริงๆ เลยจำเป็นต้องเปลี่ยนทรงไป ทรงล่าสุดเพิ่งไว้อยากกลับมาไว้ทรงเดียวที่แม่ตัดให้ตอนเด็กๆ เป็นทรงวินเทจเลย ข้างบนสั้น ข้างล่างหางเต่า เหมือนทรงสมัยก่อน ยุค 70-80 อย่างน้อยเรากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง แม่ตัดผมให้ พอเริ่มแก่ตัวลงความง่ายจะเข้ามาแทนที่มากขึ้น เซตง่าย ดูแลง่าย ไปไหนง่ายๆ”
...
ความรักล่ะยังไง
“หลายๆคนอาจจะคิดว่าดิวไม่ใช่คนหรือเปล่า คุยไม่รู้เรื่องหรือเปล่า อะไรยังไง ด้วยความเราไหว้พระ มีความเชื่อผมก็รู้สึกมันคงยังไม่ถึงเวลาของเรา หรือดวงเรามันไม่ใช่ ผมก็สายดูดวงเหมือนกัน เชื่อหลายอย่างเลยไม่เชื่อดูสิ (ถกแขนเสื้อให้ดูสร้อยข้อมือล้วนแต่เป็นเครื่องราง) บุคลิก หน้าตาไม่น่าไหว้พระอะไรแบบนี้แต่จริงๆ ผมศรัทธาพระพุทธศาสนามากๆ และเชื่ออยู่อย่างนึงว่าคนเราเจอกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญและเหตุที่เราไม่เจอใครสักคน ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีกเหมือนกัน อาจจะรออะไรบางอย่าง อาจจะหาช่วงเวลาที่เหมาะสมอยู่”
เหมือนความรักที่เราตามหางั้นเหรอ “ใช่ครับ แต่ตอนนี้ก็เลิกตามแล้วครับ มันเหมือนกับ ที่ผ่านมาเวลาคุยกับใคร มันจะมีความรู้สึกทันทีว่าไม่ใช่ปุ๊บ มีเซ้นส์อย่างรุนแรงว่าไม่ใช่ แม้แต่คนคนนั้นไม่ใช่แยกออกไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นแบบนี้มาตลอด แสดงว่ายังมาไม่ถึง” ไม่มีแฟนมานานขนาดไหน “หูย ก็เกือบ 10ปีแล้วนะ ไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแต่ที่ผ่านมาก็มีคุยแบบประปรายเรื่อยๆ แต่นั่นแหละเป็นเหตุผลอย่างนึงว่าไม่คลิก มันก็นะหายไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งผมเป็นคนที่คลิกกับคนยากเพราะว่าเป็นคนที่ภาวะชีวิตปัจจุบันการใช้ชีวิตจะขัดอะไรกับคนที่เข้ามาตลอดเวลา”
...
เท่าที่ดูดวงเนื้อคู่ทายยังไงบ้าง
“รอไปก่อนครับ (หัวเราะ) เค้าก็บอกว่ามีปกตินั่นแหละแต่ตอนนี้ยังไม่เห็น ยังไม่มาหรอก ถามว่าเชื่อมั้ย (ยิ้ม) ก็ประมาณนึงแต่ผมเชื่อความรู้สึกของตัวเองตรงที่ว่าเกิดคนมันจะใช่ คลิกกันทุกอย่างมันจะง่าย ตอนนี้เลิกตามหาโฟกัสกับงานก่อน ด้วยความที่เราแก่ตัวเรื่อยๆ เริ่มรู้สึกไม่อยากเหนื่อย คบแล้วเลิก ไม่อยากเริ่มต้นใหม่ก็เลย ถ้าเกิดไม่ใช่ก็รีบดีดตัวออกมา”
ส่วนนึงเพราะเราโลกส่วนตัวสูง “ใช่ครับ เราหวงพื้นที่ส่วนตัวเพราะว่าถ้าเกิดใครก็ตามแต่ที่เข้ามาแล้วทำให้ผมรู้สึกอึดอัดกับพื้นที่ส่วนตัวผมก็จะดีดออกมาเลย มีคนที่เป็นแบบเดียวกับผม ดีดผมออกมาเลยก็มีเหมือนกันซึ่งตรงนี้เราเข้าใจมากๆเลย คนเราอยู่ด้วยกันจะเหมือนเป็นวงกลมที่มีส่วนหนึ่งคอนเนกต์กันพอดี ถ้าชิดไปก็อึดอัด เอาง่ายๆ บางทีเราดีกับคนนี้ ในขณะที่เราทำแบบนี้กับคนอีกคนนึงเราอาจจะแย่ไปเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ดีไปทั้งหมดหรอก กาลเวลาจะสแกนคนให้อยู่แล้ว”
เป้าหมายชีวิตที่วางไว้
“ส่วนใหญ่จะเป็นงาน อยากแต่งเพลงให้ได้ 100 เพลง อยากแต่งเพลงให้ได้ใช้จริง 100 เพลง เป็น 100 เพลงของอรุณพงศ์ ใช้เวลากี่ปีไม่ทราบแต่ผ่านมา 2 ปี แต่งไปแล้ว 14-15 เพลงแล้ว” ไม่น่าเกิน 10 ปีน่าจะสำเร็จเพราะตอนนี้เราก็กลายเป็นเจ้าพ่อเพลงประกอบละครไปแล้ว “ไม่รู้ยังไง ก่อนหน้านี้ก็จะร้องเพลงประกอบละครมาตลอด พอจะมาเขียนเพลงก็เขียนเพลงละคร ทั้งๆที่ละครแทบไม่ได้เล่นเลย หรือว่าอาจจะเสียงเรา อารมณ์เราได้แบบนั้น หรือว่าผมจะไปเกาหลี ทำหน้าให้เป็นแบบนั้นไปด้วยดีมั้ย”
โถๆๆๆ อยู่ดีๆ ก็อยากมีโมเมนต์โอปป้ากับเค้าด้วย น่าเอ็นดูแท้ทรู ฮ่า!!!