ละครก็คือละคร ประวัติศาสตร์ก็คือประวัติศาสตร์ แต่ผู้จัดละครทางโทรทัศน์นิยมที่จะสร้างละครอิงประวัติศาสตร์ และที่นิยมยิ่งคือสร้างแนวข้ามภพข้ามชาติ ตัดสลับไปมา ระหว่างภพปัจจุบันกับภพมโนย้อนยุค
ละครแนวพีเรียดแบบนี้มีบ่อย มุกเก่า มุกเดิม ผู้จัด ผู้เขียนบท อาจไม่ทราบหรือลืมไปว่า เราเดินมาถึงยุค AEC กันแล้วนะ บทละครประเภทยกตนข่มท่าน หรืออวยตนเองจนเกินเหตุ
ขณะเดียวกันก็เสียดสีเพื่อนบ้านกลายเป็นผู้ร้าย ผู้รุกราน ซึ่งในข้อประวัติศาสตร์จริงๆ มีบันทึกไว้เป็นสากล เป็นหลักฐานหรือไม่ ก็ไม่มีใครกล้ายืนยัน
เมื่อจนมุมต่อพยานหลักฐานในแต่ละคราว ก็แถไถไปว่า นี่มันเป็นละคร ไม่ใช่เรื่องจริง!!
แต่ถ้าจะสร้างให้มันเนียนและสมจริงก็ไม่น่าจะยากเกินมโน แต่นี่ตั้งเป้าอวยและหลอกตนเองจนชิน แล้วกลายเป็นเชื่อ!!
หลายหนครับ ที่ละครอิงประวัติศาสตร์ (ฝ่ายเดียว) จำพวกนี้ สร้างความร้าวฉาน
หลายครั้ง...ที่เพื่อนบ้าน ซึ่งถูกอ้างอิงในละครลุกฮือกันประท้วง จนจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว แทบทำลายสัมพันธไมตรี
ก็แถแท่ดๆๆ อ้างว่า มันเป็นนิยายนะ จะเอาสาระอะไรกันนักหนา!!
เป็นนิยายจริง...แต่ชื่อเมือง ชื่อผู้นำในอดีตของเพื่อนบ้าน มันมีปรากฏถึงปัจจุบันในชาติของเขา และเรานำมากล่าวถึงในละครนั้นๆครับ
จะปิดปากปิดสมอง มิให้เขาแค้นเคืองแทนบรรพชนเขาหรือไร??
ประวัติศาสตร์ที่เขาเรียน คนคนนั้นอาจไม่โลซก ดั่งที่เขียนในพงศาวดารของเราก็ได้
โดยสรุป...วันนี้คือยุค AEC สังคมเปลี่ยนไป การสื่อสารไร้พรมแดน ละครจากบ้านเราได้รับความนิยมจากเพื่อนบ้าน เหมือนเรานิยมหนังหรือละครจากเกาหลีในวันนี้
ถ้าเกาหลีสร้างละครหรือภาพยนตร์ แล้วอ้างอิงไปถึงประเทศเราแบบผิดๆ คนไทยส่วนใหญ่ในอารมณ์แรก ก็คงจะแอนตี้
...
ฉันใดก็ฉันนั้นครับ อย่าอวยกันเองมากไป จนเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว เหมือนดั่งที่เคยเป็น...
“สันติพงษ์ นาคประดา”
‘‘แจ๋วริมจอ’’
jaewrimjor@gmail.com