ท้าทายฝีมือนักแสดงหนุ่ม “เจเจ–กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม” อีกครั้ง กับบทบาท “คล้าว” ชายหนุ่มผิวเผือกผู้มีจิตใจอ่อนโยนที่ได้มาพบกับกระสือ “สาว” รับบทโดย นิ้ง–ชัญญา แม็คคลอรี่ย์ ใน “แสงกระสือ 2” ภาพยนตร์โรแมนติก-ทริลเลอร์ โดยเนรมิตรหนังฟิล์ม และ ทรานส์ฟอร์เมชั่น ฟิล์ม ร่วมสร้าง จัดจำหน่ายโดย ฉายแสง แอด.เวนเจอร์ กำกับโดยผู้กำกับ ดี้–ปภังกร ปุณจันทรักษ์ ที่กำลังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ เรื่องราวเมื่อ 2 คน ที่แตกต่างเติบโตอย่างโดดเดี่ยวมาเจอกันกลายเป็นความรักต่างสายพันธุ์ แต่ในชีวิตจริงความรัก “ต้าเหนิง–กัญญาวีร์ สองเมือง” ก็เติบโตมา 7 ปีเคียงข้างกัน เลยชวนหนุ่ม “เจเจ–กฤษณภูมิ” มาพูดคุยถามถึงการทำงานใน “แสงกระสือ 2” เป็นยังไงบ้าง?“ตื่นเต้นมากเพราะหนังแสงกระสือภาคแรกประสบความสำเร็จมาก พอมาภาคสองเลยตื่นเต้นที่จะได้เป็นส่วนหนึ่ง ตอนเริ่มการถ่ายทำก็ยากพอสมควร เพราะคาแรกเตอร์ “คล้าว” ต่างจากตัวจริงของผมคนละเรื่อง คาแรกเตอร์ของคล้าวเค้าจะค่อนข้าง Introvert เก็บตัว ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม ทุกคนมองเค้าว่าประหลาดเพราะเป็นคนผิวเผือกและในยุคนั้นมันดูแปลก ก็ยากช่วงการทำคาแรกเตอร์เราต้องพัฒนาตัวละคร มีความเก็บอะไรบางอย่าง บรรยากาศในการถ่ายทำ ส่วนใหญ่ถ่ายในป่าลึก การไปถึงโลเกชันต้องนั่งรถโฟร์วีลข้ามน้ำตกไป 2 คลอง ส่วนการแต่งผิวเผือก ใช้เวลา 3 ชม. ต้องทาตัว ย้อมผม ย้อมคิ้ว แต่เวลาตรงโคนเริ่มขึ้นจะเห็นชัด ต้องเอาสีมาฉีดผมกับคิ้ว ขนตา ตอนนั้น ย้อมผม 2-3 เดือนเลย” อะไรทำให้ตัดสินใจรับเล่น?“คงเป็นเรื่องคาแรกเตอร์และมุมมองของ พี่ดี้-ปภังกร ผู้กำกับ ตอนแรกที่ติดต่อมาผมก็สนใจ พอได้คุยบทและลองมาแคสต์เลยมีโอกาสได้คุยกับพี่ดี้ เล่าเรื่องให้ฟังว่าจะเป็นไปในทิศทางไหน และความท้าทายคืออย่างที่บอกคือว่าพอคาแรกเตอร์มันไกลจากตัวมากแบบที่เรียกว่าไม่มีจุดไหนเชื่อมกับเรา ด้วยความที่คาแรกเตอร์คล้าวมีความแปลก ไปเจอกับสาวที่แปลกเหมือนกัน มีจุดนี้เชื่อมโยงมันเลยเกิดเป็นเคมีความรักความโรแมนติก และตัวคล้าวเองก็มีอะไรให้ค้นหา”ทำงานกับผู้กำกับ ดี้–ปภังกร ผู้กำกับโฆษณาที่คว้ารางวัลต่างๆเป็นยังไงบ้าง? “ก็ชิลกว่าที่คิดครับ เราก็เตรียมตัวเองให้ดีที่สุด เวลาเวิร์กเรื่องการแสดงผมจะชอบเวิร์กกับผู้กำกับและหาภาพตรงกลาง ซึ่งพี่ดี้เป็นผู้กำกับที่ภาพค่อนข้างชัดเลยทำให้การทำงานไหลลื่นและเราไว้ใจพี่ดี้ได้ เรื่องนี้แตกต่างจากกระสือภาคอื่นๆ ด้วยความที่เป็นกระสือเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความเชื่อเป็นผีไทย แต่เวอร์ชันนี้พี่ดี้หยิบมาเล่าในมุมที่จับต้องได้มากขึ้น เล่นกับการแพทย์ วิทยาศาสตร์ มีเหตุผลว่าทำไมกระสือถึงเป็นอย่างนั้น ผมว่าหนังเรื่องนี้มีความอาร์ตสูง ไม่ว่าจะเป็นบท อาร์ตไดเรกชั่น คนที่ดูหนังก็จะชอบ คนดูเอาสนุกก็จะชอบ” ทำงานร่วมกับ “นิ้ง” เป็นยังไงบ้าง?“กับพี่นิ้งรู้จักกันอยู่แล้ว แต่เพิ่งเคยร่วมงานกันเป็นครั้งแรก พอพี่นิ้งเค้ามีความเป็นนักแสดงมากๆ เลยทำให้การทำงานค่อนข้างดี ถามว่าช่วยเหลือกันยังไงเรารับผิดชอบในส่วนพาร์ตการแสดงของเรา เราก็ส่งให้เค้า แล้วเรื่องนี้เรานักแสดงเจ้าบทบาทสายการแสดง พี่น้อย วงพรู พี่ปีเตอร์ นพชัย พี่เอม ภูมิภัทร เราก็ชื่นชม ผมชอบดูเค้าเล่น รู้สึกว่าเค้าเล่นดีกันมากๆ”ประสบการณ์ที่ได้รับจากการเล่นบทนี้? “คงเป็นเรื่องการทำคาแรกเตอร์และการใช้ร่างกาย ด้วยบทบาทการแสดงงานที่ผ่านมาเราไปโฟกัสที่อินเนอร์มากกว่า แต่พอมาเป็นคล้าว มันมีอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เรานอกจากโฟกัสอินเนอร์ และโฟกัสร่างกายด้วย หลังถ่ายแสงกระสือผมได้ไปเล่นอีกโปรเจกต์นึงก็เอาไปใช้ได้ด้วย”การรับบทคล้าว ได้อะไรเอามาปรับใช้ในการใช้ชีวิตบ้าง?“ผมว่ามันเป็นเรื่องการยอมรับตัวตนของตัวเอง ตัวละครในเรื่องจะมีความไม่ยอมรับตัวเอง ไม่ยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็น ซึ่งผมว่ามันมีความใกล้เคียงกับคนในปัจจุบันที่พอสื่อโซเชียลมันกว้าง ทุกคนเลยชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบคนอื่น อยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มั่นใจในตัวเอง ด้อยค่าตัวเอง แต่จริงๆผมรู้สึกว่าทุกคนมีความพิเศษของตัวเอง ไม่มีใครเหมือนกัน 100% การเป็นตัวเองของเรานี่ล่ะดีที่สุดแล้ว” ถามถึงการมาทำบริษัท QOW Enter tainment เองเป็นไงบ้าง?“มันก็มีอะไรหลายอย่างให้ต้องโฟกัสมากขึ้น ก็ค่อยๆเรียนรู้ไป มันยากเรื่องการตัดสินใจ พอเราประสบการณ์ยังไม่มากพอ มันทำให้การตัดสินใจบางอย่างของเรายังไม่คม แต่ก็ดีที่มี ต้าเหนิง–กัญญาวี พี่วุธ–อนุวัติ โฟร์โนล็อค ที่เป็นพาร์ตเนอร์ และพี่ๆใน QOW ช่วยกัน ตอนนี้งานหลักๆก็ยังคงเป็นงานของผมกับต้าเหนิง เรื่องพาร์ตงานส่วนตัวก็ช่วยกันดู งานพาร์ตโปรดักชันก็ช่วยกัน ก็เหนื่อยขึ้นแต่การจัดการต่างๆมันก็ง่าย ขึ้นถือเป็นข้อดี ทุกอย่างมันผ่านตาเราหมด เรารู้ทุกดีเทล” ปีที่แล้วบริษัททำรายได้ 70 ล้าน ปีนี้ตั้งเป้าแค่ไหน? “ก็พยายามให้เติบโตอีก 10-20%” หลายคนมองว่าการทำบริษัทเองเป็นความรับผิดชอบที่ใหญ่? “ก็จริงครับ ทุกวันนี้ก็ยังไม่ชิน ก็ค่อยๆเรียนรู้ไป ด้วยความที่บริษัทมันยังใหม่ มันก็ยังพลาดได้ ถามว่าตอนนี้งานแน่นมั้ยก็แน่นแต่ก็ยังมีเวลาให้ได้หายใจบ้าง ตลอดเวลาที่ผมทำงานมา ผมเพิ่งได้สโลว์ดาวน์ลงเมื่อปีที่แล้วกับงานในวงการ ได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นบ้าง”พอมีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ทบทวนตัวเองบ้างหรือมองเป้าหมายตัวเองมั้ย? “ณ ทุกวันนี้ถ้าถามว่าเป้าหมายของผมคืออะไรก็ยังไม่รู้นะ เราก็ทำทุกๆวันให้ดีและในบริษัทเราก็พยายามต่อยอดไป ปีที่แล้วเราเพิ่งเปิดและรันบทบาทเป็นเอเจนซี ทำโปรดักชันโฆษณา ตอนนี้รับเพื่อนมาอีกคนคือ จิงจิง ยู ทีมงานก็ค่อนข้างโตขึ้นเรื่อยๆ ปีนี้เราขยับไปในเรื่องการทำอีเวนต์ในส่วนของศิลปินก็ไม่ได้เป็นศิลปินแค่นักร้องหรือนักแสดง” เวลาเปิดโหมดคุยงานจริงจังกับต้าเหนิง เป็นยังไง? “แล้วแต่เลยครับ บางทีก็จริงจัง บางทีก็ตะโกนใส่กัน เถียงกัน (ยิ้ม) จริงๆเวลาคุยงานก็เป็นเหตุและผล”ใครละเอียดกว่ากัน? “เค้าละเอียดกว่าผม”อยากชื่นชมอะไรต้าเหนิงในเรื่องการทำงาน? “ผมว่าเค้าเป็นคนเพอร์เฟกต์ (ยิ้ม) หมายถึงในวิธีการทำงาน” แล้วจุดเด่นน่าชื่นชมในการทำงานของเราล่ะ? “เน้นเอนเตอร์เทนครับ (หัวเราะ)” เป็นแฟนกันทำธุรกิจด้วยกันทะเลาะกันมั้ย? “ก็ทะเลาะกันเหมือนเวลาทะเลาะเรื่องอื่นปกติ ตีกันปกติ”มองตัวเองเติบโตแค่ไหนในวงการ 11 ปี จากวันที่เข้ามาตามฝันกับวันนี้?“ผมว่ามันก็ใกล้เคียงกันนะ วันที่เราเข้ามาไม่ได้มีความฝันที่ชัดเจนว่าอยากจะเป็นนักแสดงหรือเป็นนักร้อง เราแค่โชคดีที่เราได้โอกาสและเราก็รับโอกาสนั้นมา เราก็ทำมันให้ดีที่สุด จนผู้ใหญ่อาจจะเห็นและให้โอกาสให้งานเราเพิ่ม ผมว่ามันเป็นแนวนั้นและเราก็ทำมันไปเรื่อยๆ มันก็พาเรามาเรื่อยๆ”เคยคิดมาก่อนมั้ยว่าจะได้ร่วมงานระดับโลก? “ไม่เคยครับ ทุกอย่างมันก็เป็นไปตามโชคชะตา”ทุกวันนี้เราจัดการบาลานซ์เวลาชีวิตตัวเองยังไง? “จริงๆก็ไม่ได้ถึงกับจัด เราก็ดูงานที่ติดต่อมา ถ้ามีเวลาและเหมาะสม เราก็ทำ แต่ช่วงนี้ก็เบาลง จัดสรรเวลาได้มากขึ้น”แพชชันวันนั้นกับวันนี้ เด็กคนนั้นโตขึ้นเยอะมั้ย? “ก็ไม่มาก ยังตื่นเต้นอยู่ ทุกวันนี้เวลาไปแคสต์ยังตื่นเต้นอยู่เลย ใจเต้นตุ้บๆตลอด”แพชชันด้านงานเพลงล่ะ? “กำลังทำครับ แต่ยังไม่มีเวลา เราประชุมคอนเซปต์ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ช่วงนี้ก็จะลุยงานเพลงเลย”ที่ผ่านมาคนจำในภาพศิลปินได้แล้ว? “ใช่ครับ แต่พอเพลงเรายังไม่ได้มีเยอะมาก ภาพยังอาจจะยังไม่ชัดเรื่องสไตล์และเพลง แต่น่าจะเป็นแนวฮิปฮอป อาร์แอนด์บี อยู่ในช่วงพัฒนาผลงาน ปีนี้ก็จะไปโฟกัสที่เพลงจะเป็นศิลปินเบอร์แรกของ QOW” คบกับ “ต้าเหนิง–กัญญาวี” ต้าเหนิง 7 ปีเป็นยังไงบ้าง? “ผมว่ามันดีนะ เราเห็นการเติบโตของกันและกัน โตไปด้วยกันและเรียนรู้กันไปตลอดเวลา และในขณะเดียวกันทุกคนก็เห็นเราเติบโต”คบกันนานเติมเต็มความสัมพันธ์กันอย่างไร? “เราก็ไม่ได้เติมอะไรขนาดนั้น ทุกวันนี้ผมกับเหนิงก็ยังเหมือนวันแรกที่คบกัน ผมรู้สึกว่าด้วยความที่เราเจอกันตลอด ใช้เวลาอยู่ด้วยกันบ่อย เป็นเพื่อนกันด้วย”คู่เราเวลางอนหรือมีปัญหากันที แฟนๆก็รับรู้ทั้งประเทศและเชียร์ให้ดีกัน? “จริงๆมันก็มีเรื่อย ทะเลาะกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็จะเคลียร์กัน ด้วยความที่อย่างที่บอกว่าเราโตมาด้วยกันและทั้งคู่ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เลยเกิดการเรียนรู้กันตลอดเวลา พอเราโตขึ้นอายุเท่านี้เราอาจจะผิดพลาดเรื่องนี้ พอเราโตอีกอายุเท่านี้เราอาจจะผิดพลาดอีกเรื่อง พอมันได้ทะเลาะกัน และปรับความเข้าใจกัน มันก็เลยยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น”ทั้งคู่เป็นหนุ่มสาวฮอต มีกลัวว่าวันนึงอีกคนจะไปเจอใครใหม่มั้ย? “ไม่นะครับ ผมรู้สึกว่าถ้ามันถึงจุดที่ใครคนใดคนหนึ่งไปเจอคนที่ดีกว่า มันก็ไม่แปลกกับการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง เราเคยคุยกันตั้งแต่แรก ถ้าวันไหนเจอใครที่โอเคกว่าจะไปได้ แต่ก็ต้องมีข้อตกลงกันที่เข้าใจได้ เช่น ถ้าคบกับใครคนต่อไปต้องโอเคกับต้าเหนิง” แปลว่ามีการเผื่ออนาคตที่ไม่แน่นอน? “ใช่ครับ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไม่วางอนาคตของเรานะครับ เราก็แค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดแต่ก็มองภาพที่เรามีด้วยกันด้วย”อะไรทำให้รักของเรามั่นคง? “ผมว่าคงเป็นเรื่องทะเลาะนี่ล่ะครับ แล้วปรับความเข้าใจ”รู้สึกยังไงที่เป็น เจเจ–ต้าเหนิง เป็นคู่ที่คนชื่นชอบทั้งคู่? “ก็ขอบคุณมากครับ ด้วยความที่วันที่เราตั้งใจเปิด เราไม่อยากโกหกคนที่ติดตามเรา ก็ขอบคุณคนที่สนับสนุนเราทั้งคู่”เปรียบต้าเหนิงเป็นอะไรในชีวิต? “เป็นเพื่อน เป็นพาร์ตเนอร์ และเป็นทุกอย่างครับ”.