“อภัยภูเบศร” เตือนรับประทานสมุนไพร “ป่าช้าเหงา” หรือ “หนานเฉาเหว่ย” ในปริมาณมากหวังคุมภาวะเบาหวานกลับเสี่ยงอันตรายถึงตายได้ หลังพบผู้ป่วยซดน้ำป่าช้าเหงาแล้วช็อก ญาติหามส่งโรงพยาบาลจ้าละหวั่น พบภาวะน้ำตาลตก หน้ามืด ใจสั่น อ่อนแรง หวิดได้ไปนอนในป่าช้าจริงคนชอบกินสมุนไพรหวังรักษาโรคต่างๆพึงระวัง โดยเมื่อวันที่ 24 ก.ย. ภญ.อาสาฬา เชาวน์เจริญ เภสัชกรชำนาญการศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวเตือนประชาชนถึงการ รับประทานสมุนไพรที่ชื่อว่า ป่าช้าเหงา หรือ หนานเฉาเหว่ย เพื่อหวังลดปริมาณน้ำตาลในเลือดว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร พบผู้ป่วยเพศชายอายุ 64 ปี มีโรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวาน ความดัน ไขมัน หัวใจ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลด้วยอาการน้ำตาลตก เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดเหลือเพียง 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จากเดิมที่เคยมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 400 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ส่งผลให้ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยผู้ป่วยมาด้วยอาการหน้ามืด เหนื่อยมากขึ้น เหงื่อออก ใจสั่น อ่อนแรง แต่ยังไม่หมดสติ จากการสอบถามพบว่าผู้ป่วยได้รับประทานสมุนไพรป่าช้าเหงา จากคำแนะนำของเพื่อนว่าป่าช้าเหงาช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือด แต่ไม่รู้วิธีการรับประทานภญ.อาสาฬากล่าวอีกว่า ผู้ป่วยรายดังกล่าวได้นำใบป่าช้าเหงาจำนวน 10 ใบต้มกับน้ำ 1 กาในปริมาณ 1 ลิตรและใช้เวลาในการเคี่ยวประมาณ 1 ชั่วโมง และเริ่มรับประทานเมื่อต้นเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา เป็นเวลา 7 วัน โดยรับประทานครั้งละ 1 แก้ว เช้าและเย็น และหยุดรับประทาน 7 วัน หลังจากนั้นก็เริ่มดื่มอีกครั้งในวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยในวันที่เกิดเหตุผู้ป่วยได้ฉีดยาเบาหวานมื้อเช้า พร้อมทั้งรับประทานยาเบาหวานก่อนอาหาร ร่วมกับจิบน้ำป่าช้าเหงาไปประมาณ 3 แก้วกาแฟ และกินข้าวเช้าตามปกติ หลังจากนั้นเวลาประมาณเที่ยงกว่า ผู้ป่วยเริ่มมีอาการน้ำตาลตก จึงเรียกญาติที่มาพบเหตุการณ์ให้ช่วยนำส่ง รพ. ซึ่งช่วงที่รับประทานสมุนไพร ผู้ป่วยปัสสาวะบ่อย ขาที่เคยบวมยุบลง ค่าความดันโลหิตตัวบน ปกติจะอยู่ประมาณ 170 มิลลิเมตรปรอท ก็เหลือเพียง 110 มิลลิเมตรปรอทเท่านั้นภญ.อาสาฬากล่าวว่า ขอฝากเตือนผู้ป่วยโรคเรื้อรัง อย่างความดัน เบาหวาน ควรใช้ยาตามแพทย์สั่งเป็นหลัก ผู้ป่วยควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนรับประทานสมุนไพร เนื่องจากปัจจัยในแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน ส่วนขนาดรับประทานป่าช้าเหงาที่แนะนำ เช่น ใช้เป็นอาหารโดยรองกระทงห่อหมกแทนใบยอ ยำดอกขจรใส่ดอกป่าช้าเหงา ซึ่งคนพื้นบ้านนิยมกินช่วงเปลี่ยนฤดู ปลายฝนต้นหนาว เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันไม่ให้เจ็บป่วย โดยจะนำใบป่าช้าเหงา มาลวกน้ำร้อนก่อนรับประทาน เพื่อลดความขมและลดฤทธิ์ยา กรณีกินเป็นยา เช่น เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือกินบำรุงร่างกาย แนะนำกินวันละ 1-2 ใบ 2-3 วันกินที ไม่แนะนำให้กินทุกวันหรือกินต่อเนื่อง เพราะเป็นยาเย็น อาจทำให้ตับเย็น ร่างกายเย็น ซึ่งส่งผลต่อระบบย่อยอาหาร ทำให้ท้องอืดง่าย มือเท้าเย็น อ่อนเปลี้ยเพลียแรง และห้ามใช้ในผู้ป่วยที่กินยาละลายลิ่มเลือด ชื่อวาร์ฟาริน เพราะอาจเสริมฤทธิ์ยา ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ หรือ วางแผนจะตั้งครรภ์ ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีปัญหาการทำงานของตับและไต เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลยืนยันความปลอดภัยในการใช้ในกลุ่มผู้ป่วยดังกล่าว สำหรับผู้ป่วยที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมความดันโลหิตได้ดีอยู่แล้วด้วยยาแผนปัจจุบัน ไม่แนะนำให้กินป่าช้าเหงา เพราะสมุนไพรไม่ได้ทำให้โรคดังกล่าวหายขาดและอาจเสริมฤทธิ์ยาแผนปัจจุบันจนเกิดอันตรายรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้