ความมุ่งมั่นผลิตข้าวออร์แกนิกอย่างจริงจังของพี่น้องสองสาวเกษตรกรรุ่นใหม่ ดร.เชษฐกานต์ และ ดร.ขวัญชนก เหล่าสุนทร เจ้าของ แมคนีน่าฟาร์ม จ.เชียงราย หลังจากลงทุนลงแรงมาพักใหญ่ ในที่สุดได้ผลลัพธ์ดั่งใจหวัง ...ได้ใบรับรอง USDA ตรารับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนที่แล้วเป็นยังสมาร์ทฟาร์เมอร์ผู้ผลิตข้าวอินทรีย์กลุ่มแรกของไทยที่ได้ตรารับรองนี้“เราทำข้าวออร์แกนิกมาแล้ว 6 ปี ผ่านเข้าสู่ปีที่ 7 ที่ผ่านมาเรามีแต่ใบรับรองออร์แกนิกไทยแลนด์ ตลาดพอไปได้ ขายต่างประเทศผ่านโลกโซเชียลได้บ้าง ส่งไปสิงคโปร์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น แต่ได้แค่ครั้งละ 10-20 กก. เพราะไม่ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกที่มีกระบวนการขั้นตอนยุ่งยากประกอบกับเรานำข้าวออร์แกนิกไปโชว์ตามงานแสดงสินค้าตามที่ต่างๆ ลูกค้าต่างประเทศไม่ค่อยยอมรับตรารับรองออร์แกนิกไทยแลนด์ เราจึงตั้งเป้าจะทำให้ทั้งโลกยอมรับข้าวอินทรีย์ไทยมากขึ้น และใบรับรองออร์แกนิกสูงสุด ที่ต่างประเทศให้การยอมรับมากที่สุด คือ USDA” ดร.เชษฐกานต์ และ ดร.ขวัญชนก เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการไขว่คว้าใบรับรอง USDA...ที่ใช้เวลาในการปรับปรุงพื้นที่และกระบวนการผลิตนานถึง 5 ปี และต้องเสียค่าใช้จ่ายให้เจ้าของมาตรฐาน USDA มาตรวจรับรองครั้งละไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนบาทในขณะที่ใบรับรองของยุโรป ที่เรียกกันว่า IFOAM ใช้เวลาแค่ 3 ปี มีค่าใช้จ่ายแค่ 20,000 บาท“แม้จะใช้เวลานาน ค่าใช้จ่ายแพงที่สุด เราต้องทำเพื่อศักดิ์ศรีข้าวไทย ข้าวดีที่สุดในโลก ขั้นตอนกว่าจะได้ใบรับรองมายากมาก กฎระเบียบตรวจเข้ม ดูกันตั้งแต่เรื่องน้ำมีการปนเปื้อนสารเคมีมั้ย แปลงนาต้องมีแนวต้นไม้เป็นกันชน ไม่ให้สารเคมีจากแปลงอื่นเข้ามา ปุ๋ยใส่ได้เฉพาะปุ๋ยอินทรีย์และใส่ได้เฉพาะตอนเตรียมดิน หลังจากปลูกไปแล้วห้ามใส่ปุ๋ยเด็ดขาด การกำจัดโรคแมลง ให้ใช้ได้เฉพาะเชื้อราบิวเวอเรีย กับไตรโคเดอร์มา เท่านั้นจอบเสียม รถเกี่ยวข้าว ที่นำมาใช้ในนา ต้องล้างทำความสะอาด และต้องบอกด้วยว่า ล้างด้วยน้ำอะไร ข้าวเก็บเกี่ยวเสร็จส่งไปสีที่ไหน ขายให้ใคร ข้าวที่เหลือสต๊อกเก็บแบบไหน ต้องทำบัญชีบอกรายละเอียดหมดทุกอย่าง และเมื่อเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ ถามอะไรเราต้องตอบได้หมด และมีเอกสารให้ตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกเรื่อง ต่างกับออร์แกนิกไทยแลนด์ลิบลับ บอกได้เลยว่า รายการจดบันทึกของ USDA แต่ละครอปมีมากถึง 300 หน้า ส่วนมาตรฐานไทยทำแค่ 11 หน้าเอง”นั่นเป็นเพียงบางส่วนของเบื้องหลังความสำเร็จที่เกษตรกรรุ่นใหม่คิดทำ...ฝันขั้นแรก พึ่งน้ำพักน้ำแรงและความพยายามของตัวเองและพี่น้องชาวนาให้เครือข่ายร่วมกันทำ ผ่านไปได้ด้วยดีฝันขั้นต่อไปจะนำข้าวหอมมะลิอินทรีย์ ไรซ์เบอร์รีอินทรีย์ มาตรฐาน USDA ไปขายในตลาดโลกที่กว้างกว่าเดิม ฝันขั้นนี้ ต้องพึ่งพากฎระเบียบภาครัฐและราชการ ยากจะเป็นจริง เพราะจะให้ขายทีละ 10–20 กก.เหมือนเดิม ไม่มีทางจะได้ทุนค่าใบรับรองคืนแน่...ครั้นจะขายทีละ 1,000 กก. นอกจากต้องขอใบอนุญาตส่งออกที่ยุ่งยากมาก ขั้นตอนค่าใช้จ่ายสูงเป็นแสนแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องโควตาส่งออกข้าวอีกต่างหากจะส่งข้าวไปขายได้ต้องมีโควตา ถ้าไม่มีโควตาต้องไปขอซื้อโควตาจากบริษัทใหญ่ หรือส่งขายไปในนามบริษัทที่มีโควตามันเลยเกิดคำถาม โควตานี่มาจากไหน ทำไมอยู่แต่ในมือพ่อค้ารายใหญ่...ทำไมคนทำนากับมือ ถึงไม่มีโควตา เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่ ชาวนาไทยถึงได้จนดักดานกระทรวงพาณิชย์ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ช่วยหาคำตอบให้ชาวนาหายคาใจได้มั้ย.ชาติชาย ศิริพัฒน์