เยือน "จอร์แดน" ประเทศเล็กกลางความขัดแย้งตะวันออกกลาง ไร้น้ำมัน-ทางออกทะเล บ้านหลังใหญ่ของคนไทย 700 ชีวิต  

เมื่อกล่าวถึง “จอร์แดน” ผู้อ่านมีภาพของประเทศนี้ในหัวอย่างไร

หลายคนอาจนึกถึงดินแดนทะเลทราย นครเพตรา ทะเลเดดซี หรือบางคนอาจจะสับสนประเทศชื่อคล้ายอย่างจอร์เจีย ก็เป็นได้ 

การรับรู้ของคนไทยต่อประเทศจอร์แดนอาจไม่มากนัก หากเทียบกับชาติมหาอำนาจ บรรดาประเทศใหญ่ๆ หรือประเทศที่เป็นจุดหมายท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวไทย โดยข้อมูลเมื่อปี 2021 พบว่ามีคนไทยเดินทางมาเที่ยวจอร์แดนปีละประมาณ 5,000 คนเท่านั้น

ขณะเดียวกันประเทศแห่งนี้มีคนไทยอาศัยอยู่ราว 700 ชีวิต ซึ่งอาจเป็นตัวเลขที่น้อยหากเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างอิสราเอลที่มีคนไทยมากกว่า 5 หมื่นคน และถ้าเจาะจงไปกว่านั้นเกินครึ่งของ 700 คน เป็น “เด็กไทย” ที่เดินทางมาเรียนต่อ และส่วนที่เหลือซึ่งเป็นวัยทำงาน ส่วนใหญ่เป็น “แอร์โฮสเตส” เป็นการประกอบร่างของกลุ่มชาวไทยที่แตกต่างไม่เหมือนประเทศไหนในโลก

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสเดินทางไปพูดคุยกับพวกเขา ที่กรุงอัมมาน เมืองหลวง ถึงการใช้ชีวิตในประเทศแห่งนี้

...

ประเทศเล็กวางตัวเป็นกลาง

จอร์แดน หรือ ราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน ตั้งอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง เป็นประเทศเล็กๆ ขนาดประมาณ 89,000 ตร.กม. หรือเล็กกว่าประเทศไทยเกือบ 6 เท่า มีประชากร 11.5 ล้านคน ภูมิประเทศเป็น "แลนด์ล็อค" (Landlock) ไม่มีทางออกสู่ทะเล ทางตะวันตกติดเขตเวสต์แบงก์และอิสราเอล ตอนเหนือติดซีเรีย ตะวันออกเฉียงเหนือติดอิรัก และตะวันออกยาวไปถึงตอนใต้ติดกับซาอุดีอาระเบีย

ในหมู่เพื่อนบ้าน จอร์แดน อาจจะเรียกได้ว่า “โชคร้าย” เพราะเป็นประเทศเดียวที่ไม่มีทรัพยากรน้ำมันหรือแก๊สธรรมชาติ แต่ขณะเดียวกันก็มีเสถียรภาพทางการเมืองมากที่สุด ไม่มีข้อพิพาทรุนแรงที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน โดยวางตัวเป็นกลาง ไม่ขัดแย้งกับใคร

อุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้ให้จอร์แดน คือภาคบริการ การท่องเที่ยว การศึกษา คิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของ GDP ด้วยภูมิประเทศที่เป็นทะเลทราย เนินเขาสลับซับซ้อน มีสถานที่ท่องเที่ยวโด่งดัง อย่าง “เพตรา” เมืองโบราณกลางทะเลทราย 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก “เดดซี” ทะเลสาบที่เค็มที่สุดในโลก และอีกหลายแห่งที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก บวกกับสภาพสังคมที่เป็นประเทศมุสลิมสายกลาง มีความร่วมสมัยและเปิดรับชาวต่างชาติสูง 

นครเพตรา (Zhe Ji/Getty Images)
นครเพตรา (Zhe Ji/Getty Images)

อย่างไรก็ดีแม้จะไม่เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร แต่สงครามในประเทศเพื่อนบ้านกลับส่งผลกระทบกับจอร์แดนอยู่เสมอ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและปัญหาผู้อพยพ

หลังการระบาดของโควิด-19 การท่องเที่ยวของจอร์แดนฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ในปี 2022 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเยือนจอร์แดน 5 ล้านคนใกล้เคียงกับตัวเลขปี 2019 ช่วงก่อนโควิดที่ 5.3 ล้านคน จากนั้นทำนิวไฮในปี 2023 ที่ 6.3 ล้านคน ก่อนจะลดลงเหลือ 6 ล้านคนในปี 2024 หลังเกิดสงครามในกาซา 

“เมื่อเกิดความขัดแย้งในภูมิภาค นักท่องเที่ยวก็กังวลเรื่องความปลอดภัย ยกเลิกไม่เดินทางมาเที่ยว กระทบเป็นลูกโซ่ ทั้งโรงแรม ทัวร์ ร้านอาหาร บางครั้งก็มีการปิดเส้นทางขนส่งสินค้า ทั้งทางเรือ ทางบก บางครั้งก็ปิดน่านฟ้าชั่วคราว ทำให้กระแสการไหลเวียนของสินค้าและบริการหยุดชะงักได้ ซึ่งความไม่แน่นอนเหล่านี้ส่งผลให้ต้นทุนในการประกอบการสูงขึ้น ท้ายที่สุดก็ส่งผลกระทบกับ GDP จอร์แดนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ”

ท่านทูตสุภาค โปร่งธุระ เอกอัครราชทูต ณ กรุงอัมมาน เปิดเผยกับทีมข่าว ซึ่งทางสถานทูตฯ ไม่เพียงแต่เป็นผู้แทนไทยในจอร์แดนเท่านั้น แต่มีอาณาเขตดูแลอิรักและปาเลสไตน์ด้วย

สุภาค โปร่งธุระ เอกอัครราชทูต ณ กรุงอัมมาน
สุภาค โปร่งธุระ เอกอัครราชทูต ณ กรุงอัมมาน

...

ในความเป็น "อาหรับ" ประชาชนในจอร์แดนสนับสนุนชาวอาหรับด้วยกัน แต่ในจุดยืนระดับนานาชาติ จอร์แดนวางตัวเป็นกลาง สนับสนุนการเจรจาด้วยสันติวิธี ยึดหลักมนุษยธรรม ในอดีตมีการเปิดรับผู้อพยพขนานใหญ่หลายครั้งทั้งชาวปาเลสไตน์ ชาวซีเรีย และอิรัก แต่ช่วงหลังเข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากต้องแบกรับภาระการช่วยเหลือ รวมถึงยึดหลักการ “ไม่ยอมรับการบังคับย้ายถิ่นฐานโดยไม่สมัครใจ”

ในช่วงสงคราม 12 วันระหว่างอิสราเอลและอิหร่านเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จอร์แดนถูกใช้เป็นเส้นทางในการอพยพแรงงานไทยในอิสราเอลเนื่องจากน่านฟ้าปิด โดยประสานข้ามแดนทางบก ก่อนขึ้นเครื่องบินกลับไทยจากจอร์แดน

เปิดชีวิตคนไทยในจอร์แดน

คนไทยในจอร์แดน ปัจจุบันมีอยู่ 723 คน กว่าครึ่งเป็นนักศึกษา ตามมาด้วยพนักงานสายการบิน แรงงานภาคการเกษตร ช่างทอง พนักงานสปา นักธุรกิจ รวมถึงกลุ่มข้าราชการผู้ที่ทำงานในสถานทูต

แม้ไม่ใช่ชุมชนขนาดใหญ่มากแต่ก็มีความเหนียวแน่น ติดต่อนัดรวมตัวกันอยู่เสมอ ทีมข่าวได้ร่วมงานพบปะเลี้ยงอาหารค่ำชุมชนคนไทยที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอัมมาน ที่มีผู้ร่วมงานเกือบ 200 คน ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงมาก

...

“นักศึกษา” เป็นคนไทยกลุ่มใหญ่ที่สุด 360 คน มากติดอันดับท็อป 3 ในภูมิภาคอาหรับ เนื่องจากจอร์แดนถือเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการศึกษาเป็นลำดับต้นๆ อีกทั้งค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก นักศึกษาส่วนใหญ่มาเรียนด้วยทุนของตัวเอง ศึกษาใน 3 สาขาหลัก คืออิสลามศึกษา กฎหมายอิสลาม และภาษาอาหรับ

“จากการเจรจาของ อว.ไทย ทำให้นักศึกษาไทยจ่ายค่าเทอมในเรทปกติเท่านักศึกษาชาวจอร์แดนในสาขาเหล่านี้ ซึ่งทางสถานทูตก็กำลังเจรจาขอขยายไปยังสาขาอื่นๆ ด้วย เช่น ไอที วิทยาศาสตร์ การแพทย์ ทางรัฐมนตรีอุดมศึกษาของจอร์แดนก็รับไปพิจารณา หวังว่าจะมีข่าวดีในเร็วๆ นี้” ท่านทูตสุภาค กล่าว

ชนิกา ลักษณ์สุวิมล นักศึกษา
ชนิกา ลักษณ์สุวิมล นักศึกษา


ชนิกา ลักษณ์สุวิมล เด็กสาวจากชุมชนมุสลิมใน จ.พระนครศรีอยุธยา นักศึกษาปี 4 คณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาอาหรับและวรรณกรรม มหาวิทยาลัยในกรุงอัมมาน เผยจุดเริ่มต้นการเดินทางมาเรียนที่นี่เพราะมีความตั้งใจจะเรียนภาษาอาหรับอยู่แล้ว และเห็นว่าการศึกษาของจอร์แดนอยู่ลำดับต้นๆ ของภูมิภาค เปิดรับนักศึกษาต่างชาติจำนวนมาก รวมถึงใช้ภาษาอาหรับและอังกฤษควบคู่กันไป

...

นอกจากนี้สภาพความเป็นอยู่ค่อนข้างดี ผู้คนเป็นมิตร ค่าครองชีพไม่ต่างกับไทยมากนัก ชนิกา จ่ายค่าเทอมสูงสุดที่เทอมละ 17,000 บาท เธอหารบ้านเช่าในกรุงอัมมานร่วมกับเพื่อนนักศึกษาชาวไทยคนอื่นๆ คิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อเดือนรวมทั้งค่ากินค่าอยู่ เฉลี่ยอยู่ที่ 1 หมื่นบาท ซึ่งหากเป็นมหาวิทยาลัยนอกเมืองหลวงค่าครองชีพก็จะต่ำกว่านี้

อนุชา ทองทา หนุ่มชาวสมุทรปราการ นักศึกษาปี 4 สาขากฎหมายอิสลาม มหาวิทยาลัยในเมืองอิรบิด ทางตอนเหนือของประเทศ ซึ่งมีนักศึกษาไทยอยู่มากที่สุดราว 300 คน โดยพี่ชายของอนุชาก็จบการศึกษาจากจอร์แดน ทำให้เขาตามรอยมาเรียนที่นี่บ้าง โดยเลือกเรียนในสาขากฎหมายอิสลามเพราะครอบครัวสนับสนุนและตนก็สนใจ รวมถึงอยากศึกษาภาษาอาหรับอยู่แล้ว เพราะมีความฝันอยากเป็นครูหรือล่าม 

อนุชา ทองทา นักศึกษา
อนุชา ทองทา นักศึกษา

“ในประเทศไทยยังต้องการคนรู้ภาษาอาหรับ เพราะมีชาวมุสลิมอยู่ราว 10% ทำให้ทุกๆ ชุมชนมุสลิมต้องการการเรียนการสอนทั้งในภาคของศาสนาและภาษา รวมถึงการเป็นล่าม เช่น ตามโรงพยาบาล” ชนิกา กล่าวถึงเส้นทางอาชีพของเหล่านักศึกษาหลังเรียนจบ ซึ่งเธอเองก็วางแผนอนาคตไว้หลายทาง ทั้งการเป็นอาจารย์หรือเป็นล่าม

ขณะที่คนไทยอีกกว่า 350 คนที่เหลือ มากที่สุดคือ "ลูกเรือ" ประจำสายการบินแห่งชาติจอร์แดน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 160 คน นับเป็นกลุ่มพนักงานชาวต่างชาติที่มีจำนวนมากที่สุดเป็นรองเพียงพนักงานชาวจอร์แดนเท่านั้น โดยถือเป็นแรงงานกลุ่มรายได้สูงเดือนละ 80,000 - 100,000 บาท

อารยา สิงหชงค์ ลูกเรืออาวุโส (Senior Cabin Crew) ที่ทำงานกับสายการบินมากว่า 16 ปี เผยว่าสายการบินเก่าแก่กว่า 60 ปีแห่งนี้มีพนักงานไทยมาตั้งแต่ยุคก่อตั้ง เมื่อครั้งที่ตนเริ่มเข้ามาทำงานก็มีพนักงานไทยหลักร้อยคนอยู่แล้ว

ต่อมาในช่วงการระบาดโควิด-19 มีการลดจำนวนพนักงานลง แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มฟื้นตัวกลับมารับคนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงปีที่ผ่านมาได้เดินทางไปเปิดรับสมัครพนักงานที่ประเทศไทยถึง 3 ครั้ง แต่ละครั้งได้พนักงานชุดใหม่ 40-60 คน โดย อารายาก็เป็น 1 ในทีมคัดเลือกด้วย

เมื่อถามว่าอะไรทำให้สายการบินชื่นชอบพนักงานชาวไทย อารายา ให้คำตอบว่าเป็นเพราะเอกลักษณ์ของคนไทยที่มีจิตบริการ ยิ้มแย้ม ทำงานดี

“หลังจากโควิด เราไม่ได้รับสมัครพนักงานไทยเลย พอมีการรับสมัครครั้งแรกและได้เห็นศักยภาพ ผลงานการทำงานที่ดี ทำให้บริษัทเล็งเห็นความสามารถและต้องการพนักงานคนไทยเพิ่มอีก กลายเป็นว่าไปรับสมัครถึง 3 รอบ มากกว่าสายการบินอื่นๆ”

อารายา เผยด้วยว่า สังคมลูกเรือไทยอยู่กันอย่างครอบครัว คอยช่วยเหลือกันและกัน เช่นเดียวกับชุมชนคนไทยในจอร์แดนที่อบอุ่น มีการพบปะกันบ่อยครั้งผ่านการจัดงานของสถานทูตฯ หรือตามร้านอาหารไทย

“ร้านอาหารไทยในจอร์แดนจะเป็นจุดรวมพล เวลามีเทศกาลอาหาร หรืองานพบปะพี่น้องคนไทย ในบางครั้งพี่ๆ ชาวสวน ช่างทอง ก็จะมาฝากของขายบ้าง เราก็จะได้เจอกันตามงานเหล่านี้”

อารยา สิงหชงค์ ลูกเรือ
อารยา สิงหชงค์ ลูกเรือ

ร้านอาหารไทยในจอร์แดนมีอยู่หลายแห่งและเป็นได้รับความนิยม อย่างร้าน Thai Smile Cuisine ของ ปิยนาถ เลขผสม หญิงชาวเชียงรายวัย 42 ปี เล่าว่า เธอเปิดร้านอาหารไทยมากว่า 6 ปีแล้ว และได้รับการตอบรับที่ดีมากจากคนท้องถิ่น รวมถึงชาวต่างชาติประเทศอื่นๆ

ปิยนาถ เดินทางมาอยู่ที่จอร์แดนได้ 13 ปี เริ่มต้นจากการทำงานในโรงแรม และเห็นว่าไม่ค่อยมีร้านอาหารไทยจึงสนใจเปิดธุรกิจของตัวเอง ซึ่งเธอมองว่าคนไทยในจอร์แดนมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น แต่ก่อนมีเพียงกลุ่มนักศึกษา แต่ปัจจุบันขยายไปยังกลุ่มใหม่ๆ อย่างภาคเกษตร สปา เชฟ ซึ่งก็ได้นัดพบปะกันเป็นประจำ

 ปิยนาถ เลขผสม เจ้าของร้านอาหารไทย
ปิยนาถ เลขผสม เจ้าของร้านอาหารไทย

คนไทยอีกกลุ่มซึ่งมีจำนวนหลักร้อยคือ “ภาคการเกษตร” ซึ่งถือเป็นกลุ่มใหม่ที่เดินทางมาได้ไม่นาน เพราะจอร์แดนเพิ่งปลดล็อกให้เกษตรกรสามารถจ้างแรงงานชาวต่างชาติได้เมื่อปี 2564 เนื่องจากเป็นงานที่ชาวจอร์แดนไม่ค่อยนิยม เพราะค่าแรงไม่สูงมากเมื่อเทียบกับภาระงาน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณเดือนละ 2.5-3 หมื่นบาท

แต่สำหรับแรงงานภาคเกษตรของไทย ถือว่าเป็นจำนวนที่ไม่แย่เลย อ้างอิงจากข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่าในปี 2567 รายได้เงินสดสุทธิทางการเกษตรของเกษตรกรไทย เฉลี่ยอยู่ที่ 83,130 บาทต่อครัวเรือนต่อปี 

คำหมื่น โล่ทอง หญิงชาวสุรินทร์ วัย 46 ปี, ขวัญหทัย ใจเอ็นดู หญิงชาวขอนแก่นวัย 30 ปี และ กัญญดา กุลศรีสุข หญิงชาวสุรินทร์ วัย 39 ปี ซึ่งเป็นแรงงานภาคเกษตรชุดแรกๆ ที่เดินทางมาทำงานเมื่อ 3 ปีก่อน เล่าถึงจุดเริ่มต้นการทำงานและชีวิตความเป็นอยู่ให้ทีมข่าวฟัง โดยพวกเธอต่างมีความสนใจอยากทำงานในต่างประเทศอยู่แล้ว เพราะรายได้สูงกว่าไทย เมื่อติดต่อหางานจากบริษัทเอเจนซี่ก็พบว่าจอร์แดนกำลังเปิดรับสมัครแรงงานภาคเกษตรอยู่

แม้ว่ารายได้อาจไม่สูงเท่าประเทศอื่นๆ เช่น เพื่อนบ้านอย่าง “อิสราเอล” ที่เงินเดือนเฉลี่ยสูงถึง 6 หมื่นบาท แต่ก็แลกมาด้วยความสงบในประเทศ การแข่งขันที่ต่ำกว่า และสวัสดิการที่ครอบคลุม ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน มีที่พักและอาหารฟรี 3 มื้อ

กัญญาดา เล่าว่า แต่ก่อนทำงานเป็นสาวโรงงานใน จ.ระยอง แต่อยากหาโอกาสขยับขยายเลยสนใจมาทำงานที่ต่างประเทศ ตอนแรกสนใจอิสราเอล แต่การแข่งขันสูงมากและไม่ค่อยรับแรงงานผู้หญิง บางคนสมัครไว้ 6 ปียังไม่ได้เดินทาง เอเจนซี่เลยเสนอจอร์แดนมาให้พิจารณา และเมื่อมาทำงานก็พบว่าความเป็นอยู่ค่อนข้างดี มีการบริหารจัดการเป็นระบบ อีกทั้งยังไม่มีเพดานระยะเวลาทำงานเหมือนอิสราเอลที่จำกัดไว้ที่ 5 ปี 3 เดือนด้วย โดยจะต่อสัญญาจ้างทุกๆ 2 ปี ซึ่งส่วนตัวก็อยากทำงานไปเรื่อยๆ ยังไม่มีความคิดกลับไทย

“สำหรับจอร์แดนมองว่าเป็นตัวเลือกที่โอเค ไม่ได้เลิศหรูแต่ไม่ได้น่าเกลียดเลย แม้เงินไม่สูงมากแต่ก็เยอะกว่าที่ไทย มีสวัสดิการและความปลอดภัย”

กัญญดา กุลศรีสุข ภาคเกษตร
กัญญดา กุลศรีสุข ภาคเกษตร

ปัจจุบันฟาร์มเกษตรของพวกเธอทั้ง 3 คน ใช้แรงงานคนไทยล้วน จนทางบริษัทจ้างแม่ครัวคนไทยมาทำอาหาร โดยทำงานวันละ 8 ชั่วโมง หากเป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตก็อาจต้องทำโอทีวันละ 2-3 ชั่วโมง เงินที่ส่งกลับบ้านในแต่ละเดือนก็แล้วแต่ภาระส่วนตัว ในช่วงที่เกิดสงคราม ทางบ้านของแต่ละคนต่างเป็นห่วง ก็พยายามสื่อสารว่าปลอดภัย  

“ปกติติดต่อครอบครัวผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ อยู่เป็นประจำ เมื่อสงครามกาซาเริ่มปะทุ ที่บ้านก็เป็นห่วง โทรมาสอบถาม แต่เราอยู่ที่นี่ ได้เห็นความเป็นจริงในพื้นที่ และก็แลกเปลี่ยนข่าวสารกันระหว่างกลุ่มคนไทยในจอร์แดน จึงรู้สึกว่ามีความปลอดภัยดี ก็พยายามสื่อสารให้ครอบครัวเข้าใจ”

ความสัมพันธ์ไทย-จอร์แดน 

สำหรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจอร์แดน กำลังจะครบรอบ 60 ปีในปี 2569 ที่จะถึงนี้ และกำลังเดินหน้าผลักดันความร่วมมือหลายๆ ด้าน เช่น การยกเว้นวีซ่า ที่ประเทศไทยยกเว้นให้นักท่องเที่ยวจอร์แดนแล้ว แต่สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยยังต้องใช้วีซ่า แต่สามารถขอปลายทาง (Visa on Arrival) ได้ที่สนามบินได้ ค่าธรรมเนียม 40 JOD หรือประมาณ 1,900 บาท พำนักได้ 30 วัน 

รวมถึงการจัดการประชุมปรึกษาหารือทางการเมือง หรือ Political Consultation เพื่อจัดทำร่างความตกลงเพื่ออำนวยความสะดวกการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกัน และการให้ความช่วยเหลือประชาชนของทั้งสองประเทศในกรณีฉุกเฉิน 

ซึ่งล่าสุด นายมังกร ประทุมแก้ว อธิบดีกรมการกงสุล และเอกอัครราชทูต ณ กรุงอัมมาน พร้อมคณะก็ได้เข้าพบทางการของจอร์แดน เพื่อขอความร่วมมือหากมีความจำเป็นต้องอพยพแรงงานไทยทางบกอีกครั้ง (อ่าน : เยือนอิสราเอล สำรวจเส้นทางบกอพยพ “แรงงานไทย” กรณีฉุกเฉิน

ขณะเดียวกันความขัดแย้งในภูมิภาคที่กระทบต่อจอร์แดน อย่างสงครามกาซา ล่าสุดอิสราเอลและฮามาสได้ลงนามข้อตกลงสันติภาพเฟสแรก และมีการแลกเปลี่ยนตัวประกันไปแล้วเมื่อวันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา เป็นความหวังว่านี่คือก้าวแรกสู่เส้นทางยุติสงคราม และเมื่อสันติภาพเกิดขึ้น ไม่เพียงแต่คนไทย 700 คน ที่อยู่ในบ้านหลังใหญ่จะได้อยู่อย่างสงบสุข แต่รวมไปถึงชาวไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค และประชาชนในตะวันออกกลางด้วยเช่นกัน

**หมายเหตุ : การสัมภาษณ์เกิดขึ้นในวันที่ 16 ก.ย.2568 

อ้างอิง :  mota.gov.jo, สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, jordantimes