สำรวจความพร้อมมาตรการอพยพ “แรงงานไทย” จากอิสราเอลผ่านจอร์แดน รับมือหากภัยสงครามบานปลาย-น่านฟ้าปิด ท่ามกลางตัวเลขแรงงานที่เพิ่มสูงต่อเนื่อง ล่าสุด 5 หมื่นคน
เป็นเวลาเกือบ 2 ปี นับตั้งแต่เหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2566 นำมาสู่สงครามอิสราเอล-ฮามาส และปฏิบัติการทหารในฉนวนกาซาที่ดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน ในครั้งนั้นมีแรงงานชาวไทยเสียชีวิต 47 คน บาดเจ็บ 28 คน และถูกจับเป็นตัวประกัน 31 คน และอีกกว่า 7,470 คน ต้องอพยพกลับประเทศไทย
ไม่เพียงแต่กลุ่มฮามาส แต่อิสราเอลยังมีความขัดแย้งกับกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ ในภูมิภาคที่มีรายงานการโจมตีกันเรื่อยมา ทั้งกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน หรือกบฏฮูตีในเยเมน รวมถึง ประเทศอิหร่าน ที่ทั้ง 2 ชาติได้เปิดศึกทำ “สงคราม 12 วัน” ยิงขีปนาวุธหนักใส่กันไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา
ท่ามกลางสถานการณ์ที่เปราะบาง แต่ในประเทศแห่งนี้มีแรงงานชาวไทยมากถึง 5 หมื่นคน เป็นตัวเลขที่มากกว่าช่วงก่อนสงครามซึ่งอยู่ที่ราว 3 หมื่นคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อะไรที่ทำให้แรงงานไทยยังหลั่งไหลมาทำงานที่นี่ และหากเกิดเหตุฉุกเฉินต้องอพยพอีกครั้ง ทางการไทยจะสามารถช่วยเหลือได้อย่างไร?
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ลงพื้นที่ประเทศอิสราเอลและจอร์แดน เพื่อสำรวจแนวทางและเส้นทางอพยพสำหรับแรงงานไทยในอิสราเอล หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินในอนาคต
...
ตลาดแรงงานไทยในอิสราเอล
“อิสราเอล” เป็นตลาดแรงงานไทยที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่งรายได้กลับประเทศเดือนละกว่า 1,200 ล้านบาท มากเป็นอันดับ 3 รองจากเกาหลีใต้และไต้หวัน โดยมีทั้งแรงงานแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) และเอกชนต่อเอกชน (B2B)
ข้อมูลล่าสุดปี 2568 จากสำนักงานประชากรและตรวจคนเข้าเมืองของอิสราเอล (PIBA) มีแรงงานไทยทำงานในอิสราเอลมากกว่า 50,000 คน ยังไม่รวมโควตาแรงงานอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ได้เดินทาง โดยเกือบ 80% เป็นแรงงานภาคเกษตร ที่เหลือเป็นแรงงานภาคก่อสร้าง อุตสาหกรรม และกลุ่มล่าสุดที่เพิ่งมีการเปิดรับ คือแรงงานในซูเปอร์มาร์เก็ต
ตามกฎหมายของอิสราเอล ชาวต่างชาติสามารถเข้ามาทำงานได้นาน 5 ปี 3 เดือนเท่านั้น จึงต้องมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนแรงงานชุดใหม่เสมอ และจากสงครามทำให้อิสราเอลสูญเสียแรงงานชาวปาเลสไตน์จำนวนมาก ส่งผลให้ความต้องการแรงงานเพิ่มยิ่งขึ้นไปอีก
ย้อนไปเมื่อครั้งเริ่มสงครามอิสราเอล-ฮามาสเมื่อปี 2566 มีแรงงานไทยเดินทางกลับกว่า 7,500 คน แต่ในสงครามอิสราเอล-อิหร่าน มีแรงงานเดินทางกลับเพียง 39 คนเท่านั้น สะท้อนว่าปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคอาจไม่ได้ส่งผลกับแรงงานไทยมากเท่าเดิม
“รายได้” เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้แรงงานไทยเลือกอยู่ต่อ แรงงานในอิสราเอลมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 2,248 เชเกล หรือตกเดือนละประมาณ 6 หมื่นบาท สูงกว่าการทำงานประเภทเดียวกันในประเทศไทยหลายเท่า
ทีมข่าวพูดคุยกับ นายอุทัย แพงวิเศษ ช่างเชื่อมวัย 51 ปีจากจังหวัดสุโขทัย ซึ่งถือเป็นแรงงานกลุ่มที่มีฝีมือและมีรายได้ราว 1 แสนบาทต่อเดือน
อุทัย เล่าว่า เคยทำงานเป็นช่างเชื่อมในหลายประเทศ แต่ที่อิสราเอลค่าแรงสูงที่สุด เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่เคยอาศัยในพื้นที่ที่กลุ่มฮามาสบุกโจมตีเมื่อปี 2566 ต้องอพยพจากทางภาคใต้มาอยู่ที่แคมป์คนงานทางภาคกลาง แต่ถึงกระนั้นการอพยพกลับประเทศไทยไม่เคยอยู่ในความคิดของอุทัย เขาเลือกที่จะอยู่ต่อเพื่อทำงานส่งเงินกลับไปเลี้ยงดูภรรยา พ่อตา และลูกอีก 3 คน
ความเชื่อมั่นในระบบความปลอดภัยของอิสราเอล ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญ นายเทวินทร์ อิธิมา แรงงานในซูเปอร์มาร์เก็ต ที่เพิ่งเดินทางมาทำงานได้เพียง 1 เดือน เผยว่า เลือกที่จะมาทำงานในอิสราเอลแม้อาจต้องตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง เพราะเชื่อมั่นในระบบป้องกันภัยทางอากาศ “ไอรอนโดม”
...
รวมถึงในทุกสถานที่จะมีห้องหลบภัยให้เข้าใช้ได้ทันทีเมื่อมีเสียงไซเรนเตือนดัง แม้ว่าต้องเสียค่านายหน้ากว่า 2.6 แสนบาท แต่เขาเชื่อว่าคุ้มค่า และสามารถสร้างอนาคตและความเป็นอยู่ที่ดีกว่าให้กับครอบครัวที่เมืองไทยได้
เปิดเส้นทางอพยพข้ามประเทศ
แม้แรงงานไทยในอิสราเอลจำนวนมากจะมีความมั่นใจในความปลอดภัย และพบว่าในช่วงหลังๆ ไม่เกิดการโจมตีที่สร้างความสูญเสียแก่แรงงานไทยแล้ว แต่สถานการณ์ในพื้นที่แถบนี้ยังถือว่ามีความไม่แน่นอนสูง ต้องมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ถ้าน่านฟ้าเปิด ทางเลือกการอพยพที่เหมาะสมที่สุดคือทางเครื่องบิน ดังเช่นที่รัฐบาลไทยเคยประสานพาแรงงานกลับเมื่อปี 2566 แต่ถ้าหากน่านฟ้าปิด อย่างเช่นเมื่อสงคราม 12 วัน ก็จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายแรงงานทางบกไปยังประเทศที่ 2 นั่นก็คือ “จอร์แดน” เพื่อบินกลับประเทศไทยต่อไป
ซึ่งทางสถานทูตในพื้นที่และทางการไทย จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการประสานงาน รวบรวมแรงงานจากแต่ละพื้นที่ ดำเนินการด้านวีซ่าและการเข้าเมือง รวมถึงเตรียมรถโดยสารทางบกและเตรียมตั๋วโดยสารทางอากาศ ซึ่งแรงงานจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองหรือรัฐบาลออกให้ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายในขณะนั้น
ในช่วงวันที่ 15 - 21 ก.ย. 2568 ที่ผ่านมา นายมังกร ประทุมแก้ว อธิบดีกรมการกงสุล, นายสุภาค โปร่งธุระ เอกอัครราชทูต ณ กรุงอัมมาน และ นายบุญญฤทธิ์ วิเชียรพันธุ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ พร้อมคณะ ได้เข้าหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศอิสราเอลและจอร์แดน รวมถึงลงพื้นที่สำรวจด่านข้ามแดนต่างๆ เพื่อร่วมกันวางแผนรับมือและเตรียมการอพยพให้เหมาะสม
...
ทำไมต้องเคลื่อนย้ายผ่าน “จอร์แดน” ?
จอร์แดน เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกับ อิสราเอล ยาวที่สุดคือ 307 กิโลเมตร หรือ 482 กิโลเมตรหากรวมพรมแดนของเขตเวสต์แบงก์ มีด่านข้ามแดนทางบก 3 แห่งตั้งอยู่ทางเหนือ กลาง และใต้
นายสุภาค โปร่งธุระ เอกอัครราชทูต ณ กรุงอัมมาน เผยด้วยว่า จอร์แดนไม่ได้เป็นคู่กรณีในสถานการณ์ความขัดแย้งที่ดำเนินอยู่ ยึดหลักมนุษยธรรม ผลักดันการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี รวมถึงเป็นประเทศที่เปิดกว้าง มีสถานทูตและที่ทำการของหน่วยงานระหว่างประเทศหลายแห่ง จึงมีความเหมาะสม
...
สำหรับด่านข้ามแดนที่อยู่ใกล้กับสถานทูตไทยในอิสราเอลและจอร์แดนมากที่สุด คือด่านข้ามแดน Allenby ซึ่งเป็นด่านตอนกลางที่ตั้งอยู่ในเขตเวสต์แบงก์ ห่างจากกรุงเทลอาวีฟประมาณ 95 กม. เชื่อมต่อกับด่าน King Hussein Bridge ของจอร์แดน ที่อยู่ใกล้กับกรุงอัมมาน เมืองหลวงของจอร์แดน 50 กม.
อย่างไรก็ดีด่านแห่งนี้มีข้อจำกัด คือมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยจากการตั้งอยู่ในพื้นที่เปราะบาง และมีเงื่อนไขที่เข้มงวด ปัจจุบันอนุญาตเฉพาะชาวปาเลสไตน์และผู้ถือหนังสือเดินทางทูตหรือราชการเท่านั้น และจากการลงพื้นที่สำรวจด่าน King Hussein Bridge ฝั่งจอร์แดน ทีมข่าวพบว่า ค่อนข้างคับแคบ จำนวนบุคลากรน้อย อาจไม่เหมาะสมในการใช้อพยพแรงงานจำนวนมาก
ด่านที่ใกล้สถานทูตทั้ง 2 ประเทศมากที่สุดเป็นลำดับถัดมาคือด่านข้ามแดนทางเหนือ ระหว่างด่าน Jordan River Crossing ของอิสราเอล ตั้งอยู่ห่างจากกรุงเทลอาวีฟ 135 กม. เชื่อมต่อกับด่าน Sheikh Hussein ของจอร์แดน ห่างจากกรุงอัมมาน 85 กม. จึงกลายเป็นจุดข้ามแดนที่เหมาะสมที่สุด
จากการสำรวจพบว่า ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทลอาวีฟประมาณ 1.30 - 2 ชั่วโมง ถนนสามารถสัญจรได้สะดวก ขณะที่การเดินทางจากด่านต่อไปยังกรุงอัมมาน ใช้เวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมง เนื่องจากภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง รวมใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 4 ชั่วโมง
ในส่วนของตัวด่านข้ามแดนทั้ง 2 ฝั่ง พบขนาดพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ มีศักยภาพในการรองรับคนได้มาก มีบุคลากรเยอะ เจ้าหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์ตรวจคนเข้าเมืองราว 6-7 คน และเครื่องตรวจสอบสัมภาระหลายเครื่อง รวมถึงมีร้านอาหารและร้านขายสินค้า Duty Free
ด่านแห่งนี้เคยถูกใช้ในการอพยพแรงงานไทยบางส่วนในช่วงสงคราม 12 วัน แต่ครั้งนั้นเป็นจำนวนแค่หลักสิบ จึงต้องมีการอัปเดตแผนให้พร้อมหากจำเป็นต้องอพยพแรงงานจำนวนที่มากกว่าในอนาคต
ซึ่งนายชาย ซาเด (Shay Sade) ผู้จัดการฝ่ายขนส่งสินค้าด่าน Jordan River Crossing ได้ให้ความมั่นใจว่า จะร่วมมือกับทางการไทยอย่างเต็มที่หากต้องมีการอพยพแรงงานจำนวนมาก
นายบุญญฤทธิ์ วิเชียรพันธุ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ เปิดเผยว่า ด่านแห่งนี้สามารถรับคนข้ามแดนได้สูงสุดวันละ 5,000 คน แต่จำนวนที่เหมาะสมคือ 2,000 คน หากมีการอพยพสถานทูตจะจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกครบวงจร ทั้งการกรอกข้อมูลขอวีซ่าและจัดการค่าใช้จ่ายในการผ่านแดนล่วงหน้าทางออนไลน์ เพื่อร่นเวลาอพยพให้เร็วที่สุด รวมถึงจะได้มีการหารือกับบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ของอิสราเอล เพื่อหาแนวแก้ไขลดข้อจำกัดในการเดินทางและประสานงาน
เมื่อสามารถเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามด่านจากอิสราเอลไปยังจอร์แดนได้แล้ว จะมีทีมจากสถานทูต ณ กรุงอัมมานรองรับ ดูแลการเดินทางไปยังสนามบิน รวมถึงเรื่องอาหารและโรงแรมหากจำเป็นต้องมีการพักคอยที่จอร์แดนก่อน
นายสุภาค โปร่งธุระ เอกอัครราชทูต ณ กรุงอัมมาน เผยว่า คณะได้เข้าหารือกับนายฟิราส เอฟ. คูรี (Firas F. Khouri) อธิบดีกรมการกงสุลของประเทศจอร์แดน ต่อยอดจากก่อนหน้านี้ที่นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีต รมว.ต่างประเทศ ได้เคยหารือกับ รมว.ต่างประเทศของจอร์แดนไว้ โดยจอร์แดนพร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นการอพยพแรงงานมาพำนักในจอร์แดนชั่วคราวเพื่อรอดูสถานการณ์ก่อนกลับไทยหรือกลับไปทำงาน โดยเข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยวซึ่งอยู่ได้ 30 วัน แต่หากสถานการณ์ยังไม่อำนวยก็พร้อมที่จะยืดอายุให้พักต่อได้อีก 60 วัน
อย่างไรก็ดี “แผนรับมือ” ต้องมีความยืดหยุ่น นายมังกร ประทุมแก้ว อธิบดีกรมการกงสุล เผยว่า จากการประสานความร่วมมือระหว่างกรมการกงสุลและสถานทูตทั้ง 2 ประเทศในครั้งนี้ มีการวางแผนรับมือในระดับหนึ่ง แต่ในแต่ละครั้งที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ย่อมมีความแตกต่างของสถานการณ์ การวางแผนเอาไว้โดยรัดกุมบางอย่างอาจต้องปรับให้ยืดหยุ่นมากขึ้น แต่สิ่งไหนที่สามารถดำเนินการได้ก่อนก็ควรเตรียมให้พร้อม เช่น พื้นที่ปลอดภัย การจัดหาพาหนะ ที่พักอาศัยหากจำเป็นต้องค้างคืน
“ในรายละเอียดอื่นๆ ยังคงต้องรอดูว่าสถานการณ์จะออกมาในรูปแบบใด ในขณะนี้เราสามารถเตรียมการในส่วนของเราที่อิสราเอลและจอร์แดน แต่เหตุการณ์อาจจะปรับเปลี่ยนไปในพื้นที่อื่นก็เป็นไปได้ เพราะว่าอย่างไรก็ตามอิสราเอลยังเป็นจุดที่น่าห่วงกังวล”
อิสราเอลพร้อมดูแลแรงงานไทย
อีกส่วนสำคัญในการเยือนอิสราเอลของทีมไทยแลนด์ในครั้งนี้ คือการเข้าหารือกับกระทรวงต่างประเทศของอิสราเอล นายมังกร ประทุมแก้ว อธิบดีกรมการกงสุล เผยว่าได้พูดคุยกับนายเอลียาฮู ยิฟรัค (Eliyahu Yifrach) รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศอิสราเอล (ด้านกงสุล) และผู้แทนจากสำนักงานประชากรและตรวจคนเข้าเมืองอิสราเอล (PIBA) ในหลากหลายประเด็นสำคัญ
โดยเฉพาะเรื่องของแรงงานไทยในอิสราเอล ทั้งประเด็นสิทธิแรงงาน การคุ้มครองดูแลแรงงานทั้งจากภาครัฐและนายจ้าง ความปลอดภัยเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งทางการอิสราเอลก็ให้ความมั่นใจว่าชาวไทยจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน
“ผมเน้นย้ำถึงความสำคัญของแรงงานไทยที่เข้ามาเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ เป็นกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับอิสราเอล เท่าที่ประเมินจากการพูดคุย ทางอิสราเอลก็ชื่นชมและตระหนักถึงความสำคัญและความขยันขันแข็ง ซึ่งไม่เพียงแต่ภาครัฐเท่านั้น แต่ในภาคเอกชนที่ได้ไปพูดคุยก็ชื่นชมการทำงานของแรงงานไทยมาด้วยเช่นเดียวกัน”