ฟังชัดๆ นโยบายแจกเงินดิจิทัล 5 แสนล้าน ภายใต้คำมั่นสัญญา จะไม่กู้เงินเพื่อใช้ในโครงการนี้ จากปาก “นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช” ประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคเพื่อไทย...

รับฟังรายละเอียดที่ชัดเจนเรื่อง "นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 560,000 ล้านบาท" จากปากของ “นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช” ประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคเพื่อไทย เพื่อคลายข้อสงสัยและข้อกังวลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องแหล่งที่มาของเงินที่จะนำไปใช้ในโครงการ รวมถึงความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ผ่านการสนทนากับ “ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์”

“นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช” ประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคเพื่อไทย
“นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช” ประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคเพื่อไทย

...

นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล :

“สิ่งแรกเลย คือ มันไม่ใช่เหรียญดิจิทัลเพื่อไทยนะครับ! (น้ำเสียงจริงจัง) เพราะเรากำลังบอกว่า เรากำลังจะใช้ระบบ Blockchain มาทำเป็นเครื่องมือเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และผมขอยืนยันว่า เอกสารที่มีการอ้างอิงถึงนโยบายดังกล่าว ซึ่งกำลังเผยแพร่อยู่ในโซเชียลมีเดียเวลานี้ ไม่ใช่เอกสารทางการของพรรคเพื่อไทยด้วยครับ! ฉะนั้นใครไปใช้ว่า...เป็นเหรียญเพื่อไทย ไม่ใช่นะครับ เพราะถ้าเป็นเหรียญต้องเป็นเหรียญของรัฐบาล

คือแบบนี้ครับ...คำว่า เหรียญนี่บังเอิญมันเป็นเพราะไปใช้คำว่า Token แต่ในข้อเท็จจริง คือ พรรคเพื่อไทยจะใช้กลไกของ Blockchain ในการทำเครื่องมือตัวนี้เป็น Digital Wallet ไปเติมเงินที่มีมูลค่า 10,000 บาท แต่เงินนี้เป็นสิทธิที่จะนำไปใช้ ภายใต้การกำหนดเงื่อนไขว่าเงินนี้จะถูกนำไปใช้ในเงื่อนไขอะไรบ้าง?

และด้วยเหตุที่ทางพรรคเพื่อไทยกำหนดเอาไว้ เป็นเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นหลัก ฉะนั้น เงื่อนไขจะสำหรับการนำไปใช้จะเกี่ยวข้องกับเรื่องปัจจัยการผลิต เช่น เกษตรกรก็อาจจะนำไปซื้อปุ๋ย หรืออะไรที่เกี่ยวข้องการผลิตด้านเกษตรกรรม หรืออีกหนึ่งตัวอย่างก็คือ การกำหนดเงื่อนไขให้ใช้สำหรับค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน เป็นต้น”

งบประมาณ 560,000 ล้านบาท กับ การแจกเงินดิจิทัล :

“คือแบบนี้นะครับ เงินอาจจะไม่ต้องใช้ออกไปทั้งหมด แต่ประเมินไว้ว่า...มันเป็นหลักประกัน เราก็กันงบประมาณเอาไว้ ซึ่งเราคาดว่าน่าจะใช้ไม่น่าจะเกิน 560,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 6 เดือน

ที่ว่า...เงินหมุนในระบบมันเป็นแบบนี้ครับ คือ ก่อนที่โครงการนี้จะเริ่มต้น บริษัทห้างร้านต่างๆ ย่อมต้องรู้แล้วว่ากำลังจะมีเงินถูกอัดฉีดเข้ามาในระบบมากถึง 560,000 ล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ตามมาคือ จะทำให้เกิดการสั่งซื้อสินค้า กระบวนการสายผลิตต่างๆ รวมถึง การจ้างงาน ครั้งใหญ่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับกำลังซื้อครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งแรงกระตุ้นที่ว่านี้จะทำให้สามารถจัดเก็บภาษีนิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้นจำนวนหนึ่ง สำหรับนำมาใช้ในโครงการนี้

ทีนี้...เมื่อมีการจับจ่ายใช้สอยในโครงการ มันก็จะเกิดการหมุนเวียนเงินอยู่ในระบบเรื่อยๆ ซึ่งภายในระยะเวลา 6 เดือน เงินหมุนเวียนที่ว่านี้ อาจจะเกิดการหมุนเวียนไปมากกว่า 2-3 รอบก็เป็นได้

และผมขอย้ำอีกครั้งนะครับ เจตนารมณ์ของนโยบายนี้ คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะแตกต่างจากของพรรคการเมืองอื่นๆ ที่มักจะแจกเงินตลอดไป ซึ่งนี่คือสิ่งที่คนอื่นเขาเคยทำมาแล้วและไม่สำเร็จไงครับ เราเลยเปลี่ยนวิธีการ ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่ามันเป็นคนละหลักคิดเลยนะครับ”

...

แหล่งที่มาเงิน 560,000 ล้านบาท :

“อ้อ...มีแล้วครับ ในเบื้องต้น ส่วนแรกขณะนี้มีการประเมินการจัดเก็บรายได้ต่างๆ จากเศรษฐกิจที่โตขึ้นในปีนี้ (ปี 2566) ซึ่งระบุอยู่ในเอกสารทางการอยู่แล้วว่าน่าจะสามารถจัดเก็บได้เพิ่มเติมอีก 260,000-270,000 ล้านบาท

ส่วนที่สอง ด้วยโครงการนี้เองประเมินว่าจาก VAT ที่เก็บได้ ซึ่งอาจจะ 1-2 รอบ บวกกับ ภาษีนิติบุคคล ที่จะเก็บได้เพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นด้วยนโยบายนี้อีกประมาณ 20% ของกำไร เราก็จะมีประเมินรวมๆกันแล้วประมาณ 100,000 ล้านบาท ทำให้รายได้จากสองแหล่งนี้บวกกันเข้าแล้วก็จะอยู่ที่ประมาณ 360,000-370,000 ล้านบาท แล้วนะครับ

ส่วนที่สาม จะอาศัยจากส่วนหมวดที่ซ้ำซ้อนกันในงบประมาณ หรือ หมวดที่ไม่ได้ใช้ เช่น อาจจะถอยเรื่องการฝึกอบรมบ้างหรืออะไรต่างๆ ซึ่งรวมๆ กันแล้วคร่าวๆ น่าจะไม่ต่ำกว่าอีก 100,000 ล้านบาท เมื่อรวมกันทั้งสามส่วนจะได้เงินมาประมาณ 460,000-470,000 ล้านบาท ทีนี้ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาทก็ไม่ยากแล้วครับ! เพราะยังมีกองเงินที่ยืดหยุ่นได้จากงบประมาณอีกพอสมควร สรุปแล้วคือ เราประเมินจากการจัดเก็บรายได้บวกกับงบประมาณที่เตรียมไว้เป็นหลักประกัน”

นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล = ต้องกู้เงิน? :

“สำหรับโครงการนี้ ไม่น่าจะจำเป็นต้องกู้เงินมาสำหรับโครงการนี้โดยเฉพาะครับ และหากพรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เรียบร้อยหลังการเลือกตั้ง เราจะเริ่มเดินทันที”

...

นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล = เสี่ยงภาระทางการคลัง? :

“อยากให้มองแบบนี้ครับ ต้องมองว่านี่คือหนึ่งในแพ็กเกจของการเพิ่มรายได้ จึงไม่ควรมองเพียงด้านเดียว เพราะพรรคเพื่อไทยมีโปรเจกต์ที่สามารถเพิ่มรายได้ทั้งแพ็กเกจ เช่น เกษตรกรเราจะดูแลเรื่องการเพิ่มรายได้ว่า ภายใน 3 ปี จะสามารถเพิ่มรายได้ 3 เท่า หรือในเรื่องของการท่องเที่ยวเราจะเข้าไปแก้ไขปัญหาคอคอดในเรื่องของการบริหารจัดการต่างๆ หรือการสำรวจภาคครัวเรือนเพื่อหาทางเพิ่มรายได้ให้เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นการดำเนินการเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายการผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจปีละไม่ต่ำกว่า 5%

ผมขอยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดๆ นะครับ โครงการแจกเงินดิจิทัล 560,000 ล้านบาท มันก็เหมือนกับเราเริ่มสตาร์ตรถยนต์ ถ้าเราสตาร์ตรถ เราก็ต้องเอาไฟจิ้มแล้วก็เอาไฟจากแบตเตอรี่ขึ้นมาก่อน พอเครื่องมันหมุนทีนี้มันก็ง่ายแล้ว”

เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว เหตุใดจึงต้องใช้ยาแรง :

“ผมขอตอบแบบนี้ครับ ถ้าเราเปรียบเทียบระหว่างประเทศไทยกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนในเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจ หลังการแพร่ระบาดโควิด-19 จะเห็นได้ว่าประเทศอื่นๆ เขาฟื้นไปกันหมดแล้ว ในขณะที่ประเทศไทยกลับเป็นลำดับท้ายๆ หนำซ้ำพอไปดูเรื่องหนี้สิน ประเทศเรากลับมีมากที่สุด หนี้ครัวเรือนเราเพิ่มมากที่สุด

...

ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันอาจไม่เข้าใจ แต่ความทุกข์ยากมันเกิดขึ้นทั่วหน้า ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือค่าใช้จ่ายมันวิ่งขึ้นไปแล้ว Demand มันมี แต่ว่า...ไม่มีกำลังซื้อ ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องเพิ่มกำลังซื้อ ซึ่งมันจะไม่ได้ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากสักเท่าไรเหมือนที่หลายๆ ฝ่ายเป็นห่วง

เพราะอะไรจึงต้องกำหนดรัศมีการใช้ 4 กิโลเมตร :

“ที่ต้องมีการกำหนดรัศมีระยะทางการใช้จ่ายไม่เกิน 4 กิโลเมตร มันมาจากโจทย์สำคัญที่ว่า วัตถุประสงค์ของมาตรการนี้ คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นในเมื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจมันจึงไม่ใช่การให้ตลอดไป มันจึงต้องมีการกำหนดระยะเวลาในการใช้จ่าย ซึ่งกรอบระยะเวลาเบื้องต้น 6 เดือน นั้น น่าจะเหมาะสม

ส่วนการกำหนดระยะทางเป็นการบ่งบอกถึงเจตนาว่า เราต้องการจะกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น เพราะฉะนั้นเราจึงคาดว่าการจับจ่ายใช้สอยแบบดาวกระจายนี้จะทำให้ร้านค้าในท้องถิ่นได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้มากที่สุด

สารพัดปัญหาที่เกิดจากเงื่อนไขรัศมี 4 กิโลเมตร :

สำหรับข้อท้วงติงที่ว่า บางพื้นที่อาจจะไม่มีร้านค้าในรัศมี 4 กิโลเมตรนั้น ผมขอยกตัวอย่างแบบนี้ครับ ล่าสุดที่ อ.แม่จัน จังหวัดเชียงราย ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทยมาถามผมว่า จะทำอย่างไรดี เพราะในเขตของเขา มีประชากรถึงประมาณ 80% ที่มีแหล่งพักพิงอยู่บนภูเขา และในรัศมี 4 กิโลเมตรไม่มีร้านค้า

ผมจึงได้ชี้แจงไปว่า แบบนี้ไม่ยาก....เฉพาะในพื้นที่ที่มีปัญหาเราสามารถแก้เงื่อนไขให้เฉพาะกลุ่ม เฉพาะบุคคลได้ เนื่องจากมันเป็นระบบ Blockchain ที่สามารถแก้ไขเงื่อนไขได้

นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจ คือ ล่าสุดมีผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทย จังหวัดเพชรบูรณ์ มาปรึกษากับผมว่า มีผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ท่านหนึ่งมาเสนอว่า ในพื้นที่ของเขามีประชาชนที่สามารถรับ Digital Wallet นี้ได้ถึง 260 คน ซึ่งเมื่อรวมคิดเป็นเงินแล้วจะเท่ากับ 2.6 ล้านบาท แต่ในรัศมี 4 กิโลเมตร มีร้านค้าอยู่เพียง 3 ร้าน แถมยังเป็นเพียงร้านขายของชำเล็กๆ ในหมู่บ้านเสียด้วย ผู้ใหญ่บ้านท่านนี้จึงมีข้อเสนอว่า จะขอจัดตั้งร้านที่เป็นร้านค้าของหมู่บ้าน เพื่อรองรับมาตรการนี้ได้หรือไม่? ซึ่งถือเป็นไอเดียที่ดีมากๆ เพราะร้านที่จัดตั้งขึ้นหากมีการลงทะเบียนเรียบร้อยก็จะช่วยหมุนเวียนเงินในระบบได้เป็นอย่างดี

และอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจ คือ ผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทย จังหวัดลำพูน มาเสนอไอเดียว่า เนื่องจากในพื้นที่มีสหกรณ์การเกษตรอยู่แล้ว ก็เลยจะใช้สหกรณ์การเกษตรนี้ให้เป็นประโยชน์ด้วยการเปิดรับผลผลิตต่างๆ ของชาวบ้านมาขายเพื่อรองรับนโยบายนี้ เห็นไหมครับว่า...ประชาชนเขาสามารถคิดวิธีการต่างๆ ของเขาเองได้แล้ว”

การแจกเงินดิจิทัล กับ ชาวฐานราก :

“วันนี้ ทุกคนอาจสงสัย ทุกคนอาจตื่นเต้น แต่จากตัวอย่างที่ผมเพิ่งเล่าไปจะเห็นได้ว่า...เมื่อประชาชนได้รับฟังนโยบายนี้ เขาก็เริ่มมีการคิดต่อแล้วว่าจะใช้ประโยชน์จากมาตรการนี้ได้อย่างไร?

นอกจากนี้ Digital Wallet คนแรกคือชาวบ้าน มีเพียงแค่บัตรประชาชน ก็จะมีการโอนเงินเข้าไปให้เลย เขาก็เพียงแค่นำบัตรประชาชนไปใช้ซื้อสินค้าเท่านั้นเอง อย่างไรก็ดีในรายละเอียดเบื้องหลังอาจจะต้องมีการหารือกันอีกครั้งว่า เราจะไป Convert ยังไรบ้าง? โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุว่าจะทำอย่างไรให้กลุ่มคนเหล่านี้สามารถใช้งานได้ ซึ่งเมื่อถึงตรงนั้นคงต้องมีการประชาสัมพันธ์กันให้ทั่วถึงในเรื่องของวิธีการใช้กันต่อไป”

การแจกเงินดิจิทัล กับ เยาวชนอายุ 16 ปี :

“เพราะว่า...อายุ 16 ปี เป็นวัยที่เราถือว่าเป็นวัยทำงานแล้วนะครับ ตามนิยามในนโยบายนี้ และนโยบายนี้จะดูแลครอบคลุมไปถึงวัยชราซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีสิทธิที่จะได้รับ Digital Wallet นี้ด้วยเช่นกันครับ”

เหตุใดคนที่ประกาศนโยบายสำคัญนี้ จึงต้องเป็น เศรษฐา ทวีสิน :

เหตุผลที่ต้องเป็นคุณเศรษฐา ทวีสิน เพราะมีความชัดเจนว่ามีความเข้าใจในเรื่องธุรกิจ ทีนี้เมื่อเป็นคนพูดออกไป ก็รู้แล้วว่าพรรคเพื่อไทยมีธงใหญ่ในเรื่องของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้มันล้วนแล้วแต่เกิดจากการทำงานร่วมกันภายในพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น” นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ปิดท้ายการสนทนากับ “ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์”

อ่านบทสัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้อง