จากปัญหาระดับประเทศ “โจ้จอยเก็บมะม่วง” การบ้านในวิชาคณิตศาสตร์ ระดับชั้น ป.1 กระทั่งล่าสุด “ใครไปที่คูนา” ข้อสอบเด็ก ป.1 ที่ถูกเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊ก “ครูนอกกรอบ” สะท้อนให้เห็นความยากของการเรียนเกินวัยในเด็ก 6-7 ขวบ

เกิดอะไรขึ้นกับการศึกษาไทย ทำไมข้อสอบถึงต้องยากราวกับว่าจะฝึกให้เป็น “อัจฉริยะ”

คูนามีรู ในรูมีปู งูดูอีกา ไปที่รูปู

ใครไปที่คูนา?

ก.งู ข.ปู ค.อีกา

“คำถามนี้ เชื่อว่า มีเด็กกลุ่มหนึ่งสามารถตอบได้แน่นอน” รศ.ดารณี อุทัยรัตนกิจ รองประธานอนุกรรมการเด็กเล็ก คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา เกริ่นนำอย่างน่าสนใจ เพราะขนาดผู้ใหญ่เองยังสับสน นับประสาอะไรกับเด็ก ป.1

ทีนี้เป็นเพราะอะไร ทำไมถึงคิดว่าเด็ก 7 ขวบ ตอบได้

รองประธานอนุกรรมการเด็กเล็ก กอปศ. อธิบายว่า ปัจจุบันเด็กผ่านการติวข้อสอบกันมาตั้งแต่เรียนอนุบาล เพื่อเตรียมสอบเข้า ป.1 เมื่อขึ้นชั้น ป.1 ทำให้สามารถทำข้อสอบได้แน่นอน ที่สำคัญก็คือ มันจะกลายเป็นกลไกที่ว่า เมื่อเด็กสามารถทำข้อสอบได้ คนที่ออกข้อสอบก็จะต้องออกให้ยากขึ้นไปอีก

แต่อย่าลืมว่า มีเด็กกลุ่มหนึ่งที่เก่ง ขณะที่มีเด็กอีกกลุ่มที่ตอบไม่ได้ การจะยึดเด็กเก่งเป็นหลัก ไม่ถูกต้อง และเด็กบางคนที่ตอบได้ ก็อาจจะมาจากการ “เดา” เช่นกัน ดังนั้น ข้อสอบลักษณะนี้ไม่สามารถวัดอะไรได้เลย

“จากข้อสอบที่เป็นข่าวมองว่า ไม่ได้วัดอะไรเด็ก นอกจากการท่องจำ ซึ่งไม่ใช่ข้อสอบที่ถูกต้อง และเนื้อหาก็เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น” รศ.ดารณี แสดงทัศนะ

...

ป.1 ต้องเรียนอะไร?

รศ.ดารณี กล่าวถึงหลักสูตรการเรียนว่า หลักสูตรเดิมเรียน 8 กลุ่มสาระ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา พละศึกษา ศิลปะดนตรี

อย่างวิชาภาษาไทย จะเน้นในเรื่องการอ่าน การเขียน การพูด การฟัง หลักสูตรไม่ได้เน้นไวยากรณ์ หรืออย่างบางโรงเรียนเน้นภาษาเพื่อการสื่อสาร ให้เด็กออกมาพูดหน้าชั้นว่า ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ไปไหนมาบ้าง เล่าให้เพื่อนและครูฟัง รวมทั้งปรับวิธีการสร้างความมั่นใจในตัวเองให้เด็ก และความคิดตั้งแต่เริ่มเล่า กระทั่งปลายปี เด็กก็จะสามารถเล่าเรื่องได้ เน้นเรื่องการพูดการฟังเป็นหลัก

วิชาคณิตศาสตร์ เป็นความเข้าใจโจทย์ปัญหาว่า หากคำว่า “เพิ่มขึ้น” หมายความว่า “บวก” ส่วนคำว่า “ลดลง” หมายความว่า “ลบ” ไม่ได้เอาจำนวนเป็นตัวตั้งโจทย์ แต่ให้เด็กเข้าใจคอนเซปต์มากกว่า

วิชาสังคมศึกษา จะเป็นความรู้รอบตัว โรงเรียนตั้งอยู่ที่ไหน ชุมชนเป็นอย่างไร เรียนรู้ให้เด็กดำรงชีวิต และใช้ทักษะในชีวิตประจำวันได้

ที่สำคัญเด็ก ป.1-2 มีพัฒนาการที่ยืดหยุ่นเยอะมาก เพราะต่อเนื่องจากชั้นอนุบาล เด็ก ป.1 หลายคนไม่พร้อม แต่พอเข้ามาเรียนและค่อยๆ เสริม เด็กจะพร้อมไปอย่างรวดเร็วมาก

เพราะฉะนั้น พ.ร.บ.ปฐมวัย จึงให้การจัดการเรียนการสอน ป.1-2 ยังถือว่าอยู่ในช่วงปฐมวัย ให้มีการเชื่อมต่ออย่างราบรื่นจากอนุบาลสู่ประถม 2 ปี และปรับหลักสูตร ป.1-2 ให้เป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะแทนที่จะเป็นหลักสูตรที่อิงเนื้อหา หรือมาตรฐานเหมือนเดิม

...

ยิ่งออกยาก ยิ่งฝึกให้เป็นเด็กอัจฉริยะ จริงหรือ?

“ไม่ได้...ไม่ได้แน่นอน” รศ.ดารณี ตอบอย่างหนักแน่น

การสอบเด็กด้วย Paper and Pencil Test ก็ผิดหลักพัฒนาการแล้ว ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาจะไม่สอบเด็ก ป.1-2 ด้วยวิธีนี้ ฉะนั้น การสอบด้วย Paper and Pencil Test แล้วเอาผลมาวัดว่า เด็กคนไหนเก่ง จึงเป็นการวัดและประเมินผลที่ไม่ถูกต้อง! การออกข้อสอบแบบนั้น ไม่เคยทำให้เด็กพัฒนาไปสู่อัจฉริยะได้

แต่การวัดและประเมินผลที่ถูกต้อง ถูกเขียนไว้ใน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับใหม่ คือ Assessment FOR Learning และ Assessment AS Learning ใช้การประเมินเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน และประเมินว่า ผู้เรียนเกิดทักษะที่พึงประสงค์หรือไม่ ไม่ใช่เน้นการประเมินแต่ตัวความรู้หรือเนื้อหาสาระ โดยให้เด็กลงมือปฏิบัติ และครูประเมินว่าเด็กปฏิบัติได้หรือไหม ถ้าเด็กทำอันไหนได้ ถือว่าอันนั้นผ่านเกณฑ์ ถ้าอันไหนยังไม่ได้ ครูต้องไปพัฒนา แล้วค่อยๆ ให้เด็กพัฒนาต่อเนื่องขึ้นไป

รศ.ดารณี ยังให้ความเห็นด้วยว่า กระบวนการเรียนการสอนปัจจุบันเน้นสมรรถนะในการคิด แต่ข้อสอบนั้นไม่ได้วัดสมรรถนะในการคิดเลย แต่คือสมรรถนะใน “การจำ” ต่างหาก แล้วเด็กจะเกิดความสับสน

...

การสอบจึงต้องมีเป้าหมายว่า “เรากำลังวัดอะไร” ถ้าเด็กตอบได้ แปลว่า เด็กสามารถทำอันนั้นได้ หรือ ตอบไม่ได้ แสดงว่ายังไม่สามารถทำได้ หรือการออกข้อสอบยากๆ เด็กตกครึ่งห้องแสดงว่าครูเก่ง มันไม่ถูก

“แม้กระทั่งอนุบาลเราก็ไม่ควรสอบเด็ก การรายงานผลจึงเป็นการรายงานพัฒนาการว่า สัปดาห์นี้ทำอะไรได้บ้าง สัปดาห์หน้าทำอะไรได้มากขึ้น การสอบเป็นเกณฑ์ตัดว่า สอบตก สอบไม่ผ่าน ถามว่า ข้อสอบนั้นมีคุณภาพพอที่จะมาบอกว่าเด็กคนนี้สอบตก แปลว่าอะไร มันไม่มีความหมาย ดังนั้น การวัดประเมินผลในบ้านเราต้องเปลี่ยน” รองประธานอนุกรรมการเด็กเล็ก กอปศ. ชี้แนะ

หากย้อนไปดูผลวิจัยเรื่อง “ผลจากระบบการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อตัวเด็ก ครอบครัว และโรงเรียน” ของสถาบันการวิจัยและพัฒนา สาขาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ และสวนดุสิตโพล มีข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่าง

ผลสรุปการวิจัยครั้งนี้ พบว่า...

ผลที่มีต่อตัวเด็ก

เชิงบวก - เด็กได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ เป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ กรณีที่สอบเข้าได้เด็กจะมีความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองที่ทำให้พ่อแม่ดีใจ

...

เชิงลบ - เด็กขาดโอกาสพัฒนาด้านร่างกาย เด็กไม่มีโอกาสนอนกลางวัน เด็กเกิดความกดดัน เครียด ความสุขของเด็กลดลง บางคนมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป กรณีที่เด็กสอบไม่ได้ เด็กจะรู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถทำให้ผู้ปกครองดีใจในผลการสอบ เกิดความผิดหวัง เพราะถูกตัดสิทธิ์ และนำไปสู่การทำลายความมั่นใจของเด็ก

ผลที่มีต่อครอบครัว

เชิงบวก - ผู้ปกครองได้พูดคุยกันมากขึ้นเรื่องเกี่ยวกับลูก และการสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลที่มีชื่อเสียงได้ จะเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายค่าเทอมในระยะยาว

เชิงลบ - การใช้เวลาร่วมกันของครอบครัวหายไป ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวลดลง เกิดความขัดแย้งขึ้นในครอบครัว ผู้ปกครองเกิดความเครียดและแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับลูก ในด้านเศรษฐกิจ พบว่า การเตรียมตัวเด็กเพื่อสอบเข้าศึกษาต่อในระดับชั้น ป.1 ผู้ปกครองต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากในการจ่ายค่าเรียนพิเศษ หรือการกวดวิชาให้กับลูก เพราะค่าเรียนค่อนข้างสูง บางครอบครัวมีค่าใช้จ่ายในการเรียนกวดวิชา เพื่อเตรียมสอบเข้า เกิน 100,000 บาท ต่อปีต่อคน

ผลที่มีต่อโรงเรียน

เชิงบวก - โรงเรียนอนุบาล ใช้เป็นกลยุทธ์ในการประชาสัมพันธ์โรงเรียนสำหรับกรณีที่โรงเรียนเน้นการเตรียมตัวสอบเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียง

โรงเรียนประถมศึกษา สามารถคัดเลือกเด็กที่มีความสามารถในระดับที่ใกล้เคียงกันเข้าศึกษาต่อ ส่งผลให้โรงเรียนสามารถจัดการศึกษาให้กับเด็กได้ง่าย และการสอบเป็นวิธีที่โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้

เชิงลบ - โรงเรียนอนุบาล ต้องปรับรูปแบบการสอนโดยเพิ่มเนื้อหาวิชาการสำหรับเด็กอนุบาลมากเกินไป และจำลองสถานการณ์ในการสอบ ส่งผลต่อระยะเวลาในการทำกิจกรรมที่ลดลง รวมทั้ง โรงเรียนไม่สามารถจัดประสบการณ์และพัฒนาเด็กตามแนวคิดหรือปรัชญาของการศึกษาปฐมวัยได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ครูรับภาระหน้าที่ในการเตรียมตัวสอบให้กับเด็กเพิ่มขึ้นทั้งในวันปกติและวันหยุด

โรงเรียนประถมศึกษา เด็กมีพฤติกรรมต่อต้านการเรียน เด็กขาดความพร้อมในการเรียนระยะยาว การเรียนรู้เกิดขึ้นในระยะสั้น เป็นการเรียนรู้เพื่อทำข้อสอบ ไม่สามารถประยุกต์ความรู้ที่เรียนเพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องหันหน้าพูดคุยกันว่า สุดท้ายแล้ว เราต้องการสอบเพื่อวัดอะไรในตัวเด็กกันแน่.

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ศึกฟันน้ำนม EP.1 ช็อก! 6 ขวบอยากฆ่าตัวตาย กวดวิชาตั้งแต่อนุบาล เตรียมสอบ ป.1

ศึกฟันน้ำนม EP.2 สอบ ป.1 เทรนด์ผิดๆ พาการศึกษาไทยล้มเป็นโดมิโน่?