Highlight

- ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาสูง ทั้งเรื่องโอกาสในการเข้าถึง หรือคุณภาพการศึกษา แต่ละโรงเรียนแตกต่างกันมาก ทำให้ผู้ปกครองต้องหาโรงเรียนที่มีคุณภาพ มาตรฐาน เพื่อบุตรหลานอันเป็นที่รัก ขณะที่โรงเรียนดังกล่าวมีไม่มาก และมีที่นั่งจำกัด จึงก่อให้เกิดการคัดเลือกเด็กที่จะเข้ามาเรียน เพราะมองว่า การสอบ คือ ความยุติธรรม

- ร่าง พ.ร.บ.การปฐมวัยแห่งชาติ กำลังเข้าพิจารณาในครม. หากบังคับใช้ โรงเรียนที่จัดการสอบเข้า ป.1 จะมีความผิด มีโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือหากมีการเรียกรับเงินเพื่อเข้าเรียน มีโทษปรับไม่เกิน 10 เท่าของเงินที่เรียกรับ

- โรงเรียนเตรียมหาทางออกหลังยกเลิกสอบ ป.1 เช่น การสอบพ่อแม่ การจับสลาก การระบุเขตพื้นที่บ้านใกล้โรงเรียน และองค์ประกอบอื่นๆ ภายใต้กรอบกฎหมายที่ไม่กระทบต่อการพัฒนาการของเด็กปฐมวัย

- การศึกษาล้มเป็นโดมิโน่ เมื่อพ่อแม่อยากให้ลูกสอบเข้าในโรงเรียนประถมชื่อดังได้ โดยกดดันโรงเรียนอนุบาลให้ติวหนัก ส่วนโรงเรียนอนุบาลหากไม่มีป้ายประกาศโชว์เด็กในสังกัดสอบติดก็เสียความนิยม ไม่มีคนมาเรียน ขณะที่ โรงเรียนเล็กยึดโรงเรียนใหญ่เป็นต้นแบบ สร้างเทรนด์ออกข้อสอบยาก วัดเด็กตามมาตรฐาน

- ยกเลิกสอบเข้า ป.1 เป็นการแก้ปัญหาปลายทาง แต่ช่วยเหลือเด็กได้เร็วที่สุด ขณะที่ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ระบบการศึกษาไทยที่วันนี้ยังเหลื่อมล้ำกันอยู่มาก และเชื่อว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องรู้ว่าควรเดินไปในทิศทางไหน แต่ต้องใช้เวลา

*******

...

หลังจากที่ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ นำเสนอชีวิตเด็กอนุบาลเรียนหนัก เพื่อเตรียมตัวสอบเข้า ป.1 ซึ่งมีผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมองของเด็กไปแล้วนั้น (ศึกฟันน้ำนม EP.1 ช็อก! 6 ขวบอยากฆ่าตัวตาย กวดวิชาตั้งแต่อนุบาล เตรียมสอบ ป.1) ในตอนนี้ จะพูดถึงเบื้องหลังการจัดสมรภูมิสอบฟันน้ำนม จนนำมาสู่การยกเลิกสอบเข้า ป.1

ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เบื้องหลังโรงเรียนจัดสอบ ป.1

รศ.ดารณี อุทัยรัตนกิจ รองประธานอนุกรรมการเด็กเล็ก คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา กล่าวถึงปัญหาของโรงเรียนที่จัดการสอบเข้าเรียน เกิดจากความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาสูง ก่อให้เกิดการสอบคัดเลือก ไม่ว่าจะเป็น “โอกาสในการเข้าถึงการศึกษา” และ “คุณภาพการศึกษา” โดยแต่ละโรงเรียนมีคุณภาพแตกต่างกันมาก ฉะนั้น พ่อแม่จึงต้องแสวงหาโรงเรียนที่มีคุณภาพสูง ซึ่งมีจำนวนที่นั่งจำกัด ทำให้มีการคัดเลือกนักเรียน ซึ่งแต่ละโรงเรียนมีวิธีการที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่จะใช้การสอบ เพราะหลายคนมองว่า การสอบ คือ ความยุติธรรม หากเด็กมีความพร้อมมากก็ได้รับการคัดเลือกเข้าไป

สำหรับโรงเรียนที่มีการสอบเข้า ป.1 คือ กลุ่มโรงเรียนสาธิต โดยเมื่อเด็กเข้าไปก็เรียนได้ก็อยู่ไปอีก 12 ปี จนจบ ม.6 พ่อแม่จึงเตรียมลูกให้พร้อมในการสอบแข่งขัน รวมทั้งมีคนต้องการเข้าเยอะมาก ขณะที่ มีจำนวนที่นั่งจำกัด และสังคมก็ยอมรับได้ด้วย เนื่องจากพ่อแม่สามารถขอดูผลการสอบได้ ซึ่งแต่ละโรงเรียนก็มีกระบวนการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ส่วนกลุ่มโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียง หรือโรงเรียนอินเตอร์ก็เช่นเดียวกัน

อัพเดตคืบหน้า! ร่าง พ.ร.บ.การปฐมวัยแห่งชาติ รอเข้า ครม.

รองประธานอนุกรรมการเด็กเล็ก ระบุว่า ตอนนี้ร่าง พ.ร.บ.การปฐมวัยแห่งชาติ ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติแล้ว และได้รับหนังสือจากทางสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยทางนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้นำเข้าพิจารณาในครม.แล้ว ซึ่งอยู่ในช่วงรอเข้าครม.

จัดสอบ ป.1 ปรับไม่เกิน 5 แสน เรียกรับเงินปรับไม่เกิน 10 เท่าของเงินที่รับ

ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ได้กำหนดไว้ในมาตรา 19 วรรคหนึ่ง ว่าเพื่อเป็นการปกป้องพัฒนาการของเด็กปฐมวัย ห้ามมิให้สถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ และโรงเรียนตามกฎหมาย ว่าด้วยโรงเรียนเอกชน รับเด็กปฐมวัยเข้าศึกษาโดยใช้วิธีการสอบคัดเลือก เว้นแต่ได้กระทำตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการนโยบายทั้ง 4 กระทรวงกำหนด และในมาตรา 19 วรรคสอง ยังระบุว่าห้ามบุคคลใดเรียกรับเงิน หรือเก็บเงิน หรือผลประโยชน์อื่นใด เพื่อเป็นเงื่อนไขในการรับเด็กปฐมวัยเข้าศึกษาในระดับอนุบาลและประถมศึกษา

โดยมีบทกำหนดโทษ ในมาตรา 27 ว่าผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 19 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท และมาตรา 28 กำหนดว่า ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 19 วรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10 เท่าของเงินที่เรียกรับ หรือเงินที่เรียกเก็บหรือประโยชน์อื่นใด ทั้งนี้กำหนดให้เงินเบี้ยปรับดังกล่าว ส่งเข้ากองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา

...

ถ้าไม่สอบ จะมีวิธีการคัดเลือกอย่างไร?

รศ.ดารณี กล่าวว่า แต่ละโรงเรียนอาจจะต้องใช้หลายอย่างประกอบกัน ภายใต้หลักคิดที่ว่า ไม่มีผลกระทบต่อการพัฒนาเด็ก เช่น

1. การสอบพ่อแม่ : สัมภาษณ์ว่าพ่อแม่ใส่ใจในการเลี้ยงลูกแค่ไหน มีกระบวนการเลี้ยงลูกอย่างไร แต่ต้องดูว่า ทำได้จริงหรือไม่ อย่างโรงเรียนสาธิตสมัคร 3,000 คน จะสอบพ่อแม่อย่างไร

2. การจับสลาก : ดูเหมือนว่าข้อนี้จะเป็นทางออกที่สังคมยอมรับได้ ถ้ามองในแง่สถิติ การจับสลาก คือ การสุ่ม ดังนั้น จะต้องได้เด็กทุกประเภท แต่ไม่ว่าเด็กจะเป็นอย่างไร โรงเรียนต้องพร้อมพัฒนาเด็กได้ทุกกลุ่ม ทุกประเภท และใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม

3. การระบุเขตพื้นที่ : โรงเรียนใกล้บ้าน ใกล้ที่ทำงานพ่อแม่

“มีคนกังวลว่า หากไม่มีการคัดกรอง กรณีเด็กพิเศษและโรงเรียนไม่พร้อมสอนจะทำอย่างไร ก็อาจจะต้องใช้หลายๆ องค์ประกอบร่วมด้วย เช่น เมื่อจับสลากเด็กมาได้ 150 คน จากนั้น ก็สัมภาษณ์ในแบบที่ได้รับการยอมรับในแบบสากลไม่ส่งผลกระทบต่อเด็ก หรือสัมภาษณ์ผู้ปกครอง เพื่อดูทัศนคติ โรงเรียนต้องไปคิดให้เหมาะสมและไม่ขัดต่อกฎหมาย” รองประธานอนุกรรมการเด็กเล็ก กล่าว

...

ล้มเป็นโดมิโน่! ต้นแบบผิดๆ ทำการศึกษาล่มทั้งระบบ

ด้าน “ครูก้า” อ.กรองทอง บุญประคอง ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้และจัดการองค์ความรู้โรงเรียนจิตตเมตต์ ผู้สร้างแคมเปญรณรงค์ผ่านเว็บไซต์ Change.org เรื่อง ยกเลิกสอบเข้า ป.1 กล่าวถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นว่า

บทบาทของครูในปัจจุบันนั้นเปลี่ยนไป ครูไม่มีโอกาสได้ทำหน้าที่ความเป็นครูปฐมวัยตามที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา สาเหตุมาจากที่พ่อแม่เห็นด้วยกับการสอบ เพราะวัดผลเด็กได้ เพื่อให้เด็กมีโอกาสเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีคุณภาพ พ่อแม่จึงส่งความกังวลมาที่โรงเรียน

ขณะที่ผู้บริหารโรงเรียน กังวลว่า หากไม่ตอบสนองความต้องการ ผู้ปกครองจะเอาลูกออกจากโรงเรียน จึงได้ไปกดดันครู ว่า ไม่ต้องจัดการเรียนการสอนตามหลักปฐมวัย โดยให้ติว เร่งเรียนเขียนอ่าน ซักซ้อมทำข้อสอบ เพราะหากโรงเรียนไม่มีป้ายขึ้นว่า เด็กของโรงเรียนสอบเข้าโรงเรียนดังๆ ได้ โรงเรียนจะไม่ได้รับความนิยมและยอมรับจากผู้ปกครอง

...

นอกจากนี้ บางโรงเรียนที่อาจจะไม่มีเด็กไปสอบ กลายเป็นว่า ทุกคนมองโรงเรียนที่มีคุณภาพเป็นแบบอย่าง ว่า ออกข้อสอบแบบนี้ ต้องการเด็กที่มีความพร้อมระดับนี้ ทุกคนจึงถือมาตรฐาน กลายเป็น “เทรนด์” ของการศึกษาที่บิดเบี้ยวไปหมด

ฉะนั้น การสอบเข้า ป.1 จึงมีส่วนทำให้การศึกษาล้มทั้งระบบ!

ครูก้า เล่าประสบการณ์ร้ายหนูน้อยฟันน้ำนม เด็กขยาดการเขียน

อ.กรองทอง ยังร่วมแชร์ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงเรียนด้วยว่า มีเด็กที่เพิ่งย้ายมาเข้าโรงเรียนนี้ โดยพ่อแม่เข้าใจผิดส่งลูกไปเรียนในโรงเรียนที่มีป้ายการันตีว่า เมื่อเรียนที่นี่จะช่วยให้เด็กสอบเข้าโรงเรียนดังๆ ได้มากมาย แต่เมื่อพาเด็กเข้าไปอยู่จริงๆ เด็กกลับไม่ไหวถึงขั้นอาเจียนออกมา เนื่องจากเครียดมาก จนพ่อแม่ต้องคิดใหม่ว่าที่ทำอยู่นั้น ถูกต้องเหมาะสมแล้วหรือไม่ ในที่สุดจึงย้ายโรงเรียนมา

หลังจากที่เด็กย้ายมาอยู่ที่นี่ ทางโรงเรียนต้องค่อยๆ เยียวยา เพราะตัวเด็กเองมีทัศนคติที่ไม่ดีกับการเรียนไปมากพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าให้ได้เขียนเลย เด็กปฏิเสธการเขียนไปแล้ว เพราะการเขียนของเขา และเป็นการเขียนผ่านความเครียดไม่ใช่เขียนผ่านความคิด และทุกข์มากกับการเขียน

“ครูก้าไม่แปลกใจเลย ที่พ่อแม่กังวลกลัวลูกสอบไม่ได้ เพราะนั่นคือธรรมชาติของพ่อแม่ที่รักลูก แต่เราย้ายความกังวลมาถูกที่ดีกว่ามั้ย แทนที่จะไปกังวลว่าลูกจะสอบเข้าได้ที่ไหน เพราะไม่ว่ายังไงโรงเรียนก็รับได้เท่านั้น เราจะเอาชีวิตลูกไปเสี่ยงทำไม เราควรย้ายความกังวลว่า สมองของลูกได้รับการพัฒนาอย่างดีที่สุดได้แค่เพียงปฐมวัย ต้นทุนนี้ใช้ตลอดทั้งชีวิต ดังนั้น อย่าเอาชีวิตลูกไปแลกเลย” ผู้สร้างแคมเปญรณรงค์ผ่านเว็บไซต์ Change.org เรื่องยกเลิกสอบเข้า ป.1 กล่าว 

ใครได้-ใครเสีย? ยกเลิกสอบ ป.1

หากอนาคตกฎหมายผ่านและถูกบังคับใช้ จะเกิดผลกระทบทั้งแง่บวกและแง่ลบกับใครบ้างนั้น รองประธานอนุกรรมการเด็กเล็ก ประเมินสถานการณ์ว่า เด็กปฐมวัยก็จะกลับไปใช้ชีวิตอิสระในการค้นหาตัวเอง ผ่านการเล่น ผ่านการเรียนรู้ อยู่ในอ้อมอกพ่อแม่มากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ย่อมเกิดผลกระทบกับธุรกิจคอร์สเรียนอย่างแน่นอน ซึ่งอยากให้ยกเลิกด้วย เพราะพื้นฐานของเด็กปฐมวัย คือ การสร้างให้เด็กเป็นผู้อยากเรียน ส่วนที่เหลือเด็กจะไปเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง

ยกเลิกสอบ ป.1 แก้ถูกจุดหรือไม่?

รศ.ดารณี กล่าวว่า การสอบเข้า ป.1 ไม่ควรเป็นประเด็นใหญ่ เพราะจัดสอบอยู่ไม่กี่โรงเรียน แต่ประเด็นสำคัญที่สุดที่จะต้องทำคือ การเพิ่มคุณภาพการศึกษาของแต่ละโรงเรียนให้ใกล้เคียงกัน ไม่อยากให้เด็กนั่งรถ 2 ชม.เพื่อมาเรียนโรงเรียนดีๆ แต่คุณภาพชีวิตหายไป ซึ่งเป็นเป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษาที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาที่ทำมาโดยตลอด เพราะฉะนั้น หากเพิ่มคุณภาพของการศึกษา โดยลดความเหลื่อมล้ำเชิงคุณภาพ ปัญหาเหล่านี้ก็จะหายไป

และเด็ก ป.1-3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่การที่มีความสุขในการเรียน การพัฒนาสมรรถนะ ความเชื่อมั่นใจตัวเอง สุขภาวะทางกายทางจิต เด็กไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาโรงเรียนตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพราะฉะนั้น คุณภาพชีวิตที่ดีคือโรงเรียนใกล้บ้าน และเลิกเรียนเขาสามารถอยู่กับพ่อแม่ มีเวลาเล่น สร้างสรรค์จินตนาการ ฝึกทักษะชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

ด้าน อ.กรองทอง มองว่า เรื่องความเหลื่อมล้ำ ต้องใช้เวลาในการพัฒนา ทุกคนรู้ว่าต้องพัฒนาไปในทิศทางไหน ต้องอาศัยเวลาปรับตัวจากความคุ้นชินเดิมๆ จากปริมาณของเด็กในห้องต่อปริมาณครู ทุกวันนี้ทราบดีว่า การสอนด้วยการป้อนความรู้ และจัดการสอบเพื่อวัดว่าป้อนไปเท่าไร เด็กได้รับเท่าไร ทุกคนต้องจริงจังกับการตั้งใจที่จะปรับตัว

แต่ถ้าออกกฎหมายห้ามสอบเข้าเด็กด้วยวิธีอย่างที่คุ้นเคย จะหยิบทุกข์ของเด็กออกทันที เด็กได้กลับไปใช้เวลาตามที่เหมาะสมตามวัย เด็กปัจจุบันถูกขโมยแม้กระทั่งเวลานอน ซึ่งสมองของมนุษย์ต้องการการนอนมาก โดยเฉพาะวัยเด็ก และเด็กปัจจุบันจำนวนไม่น้อยที่ได้รับอนุญาตให้นอนในวัยเด็ก ไม่มีเด็กคนไหนจะมีทัศนคติที่ดีกับการเรียนรู้ ถ้าการเรียนรู้เป็นการ “ทรมาน” ตัวเขา

สุดท้ายแล้ว การยกเลิกสอบเข้า ป.1 เป็นวิธีล้างสมรภูมิสอบของเด็กอนุบาลที่ปลายเหตุ แต่ฟันเฟืองที่สำคัญที่สุด คือ ระบบการศึกษาไทยยังเหลื่อมล้ำกันอยู่มากต่างหาก.

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน