ตอนที่ 1
เมื่อดาเรศได้ยินเสียงหลานชายเรียกก็เริ่มหยุดเพ้อ สายตากลับมาจับจ้องที่ใบหน้าของดานุ แต่แล้วดวงตาของดาเรศกลับเบิกโพลงเพราะเห็นผีไอ้ทองยืนเขม้นมองเธอด้วยสายตาอาฆาตอยู่ด้านหลังดานุ ดาเรศร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว ผีไอ้ทองขยับใกล้มาเรื่อยๆ ดาเรศหวีดร้องสุดเสียงสิ้นสติไป
ทุกคนในห้องร้องไห้เพราะคิดว่าดาเรศสิ้นลมแล้ว ดาราสั่งนางพัวให้เตรียมจัดการศพ แต่ดานุไม่เชื่อ จับชีพจรดาเรศและพบว่ายังเต้นอยู่ เขาอุ้มร่างน้าสาวเพื่อจะพาไปโรงพยาบาล คุณทับเอ่ยปากปรามหลานชาย
“แกอย่าพยายามเลยตานุ ไม่มีหมอที่ไหนช่วยน้าแกได้ ตาพยายามมาทุกทางแล้ว ปล่อยให้น้าแกไปอย่างสงบเถอะ”
“คุณตาให้ผมกลับมาเพื่อจะให้มาดูน้าดาเรศจากไปอย่างสงบนี่เหรอครับ ผมทำไม่ได้หรอกครับคุณตา ตราบใดที่น้าดาเรศยังหายใจ เราก็ยังมีหวัง”
ดานุอุ้มดาเรศเดินออกมาจากห้องนอน ทุกคนเดินตามมาด้วย เมื่อถึงห้องรับแขกดาริกาเดินแซงหน้าลูกชาย ควักกุญแจรถตัวเองออกมาพร้อมบอกให้ดานุอุ้มดาเรศไปที่รถของตน โดยมีนายยงกับนายคำวิ่งตามออกไปช่วย แต่ทั้งดาริกา ดานุ และนายยงต่างก็ต้องประหลาดใจที่รถยนต์ในบ้านธนารักษ์สตาร์ตไม่ติดเลยแม้แต่คันเดียว
ดานุอุ้มดาเรศกลับไปที่ห้องนอน มีคุณดวงคอยเฝ้า เขาเดินกลับออกมาห้องรับแขก พยายามชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์และโทร.เรียกรถพยาบาล แต่ทำอย่างไรโทรศัพท์ก็ไม่มีสัญญาณ เขาบ่นออกมาอย่างสิ้นหวัง
ดาริกาที่นั่งเครียดอยู่ถึงกับโพล่งออกมา “ไม่น่าสงสัยหรอก นุก็เห็นแล้วว่าทุรกันดารขนาดไหน ตั้งแต่นุเป็นเด็กๆอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น บอกว่าให้ขายแล้วย้ายไปอยู่ในเมือง จะได้ดูแลคนป่วยง่ายๆก็ไม่เชื่อ แล้วเป็นอย่างไร ถึงเวลาก็ลำบากจริงๆ”
ดาราเดินเข้ามาแทรกขึ้นทันที “คุณพ่อคุณแม่ไม่ขายก็เพราะอยากจะรักษาสมบัติของปู่ย่าตายายไว้ ไม่ใช่ว่าทุกคนเห็นเงินแล้วจะตาโตกันหมด”
“เธอไม่ต้องมาว่าประชดฉันดารา ฉันขยันทำมาหากินเพราะไม่อยากมาคอยกอดสมบัติเก่ารอรับมรดกอยู่อย่างนี้”
สองพี่น้องทะเลาะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
จนคุณทับที่มายืนฟังเป็นนานทนไม่ได้ พูดอย่างสะเทือนใจ “ฉันเรียกแกมาที่นี่ก็เพราะอยากให้แกมาใช้ช่วงเวลาสุดท้ายอโหสิกรรมให้กับน้องสาวของแก...แต่ถ้าพวกแกยังคิดกันแบบนี้ก็กลับไปเสีย”
คุณทับหันหลังกลับ ความเครียดทำให้หน้ามืดเซจะล้ม ดานุรีบเข้าประคอง ในเวลาเดียวกันที่ห้องนอนดาเรศ คุณดวงกำลังห่มผ้าให้ลูกสาวคนเล็ก ทันใดนั้นไฟฟ้าทั้งบ้านก็ดับพรึ่บลง
ooooooo
ช่วงเวลาที่บ้านธนารักษ์ไฟดับ เรือมาดลำหนึ่งค่อยๆเคลื่อนมาบนผิวน้ำในคลองหน้าบ้านอย่างอ้อยอิ่งและมาหยุดจอดที่ท่าน้ำ สาวสวยแต่ดูลึกลับที่ชื่อว่าพิกุลถือตะเกียงก้าวขึ้นบันไดท่าน้ำมาอย่างช้าๆและเงียบกริบ
ขณะนั้นคุณทับสั่งนายยงให้ไปดูหม้อแปลงที่ท่าน้ำเพื่อแก้ไขไฟฟ้า นายยงตกใจแทบสิ้นสติที่ได้พบสาวสวยในความมืด ผู้แนะนำตัวว่าจะมารักษาคุณดาเรศ เขาพาพิกุลไปบ้านธนารักษ์ทันที
ทุกคนในบ้านประหลาดใจกับพิกุล ไม่มีใครเชื่อว่าสาวสวยผู้นี้เป็นหมอที่จะมารักษาดาเรศให้หายได้โดยเฉพาะดานุ แต่ความลึกลับบางประการของพิกุลกับอาการป่วยของดาเรศที่ทรุดหนักจนหมดหวัง ทำให้คุณทับตัดสินใจคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้
คุณทับนำพิกุลมาที่ห้องนอนดาเรศ ดานุและนายยงตามมา ในห้องนอกจากดาเรศกับคุณดวง ยังมีผีไอ้ทองยืนมองดาเรศอยู่อย่างสะใจ แต่พอพิกุลก้าวเข้ามาและจ้องไปที่ผีไอ้ทอง มันจึงรีบหายตัวไป คุณทับแนะนำพิกุลให้คุณดวงรู้จัก คุณดวงเห็นพิกุลแล้วไม่มั่นใจ อดพูดไม่ได้
“แล้วจะรักษาลูกฉันอย่างไรจ๊ะ ไม่เห็นมีล่วมยาหรือเครื่องไม้เครื่องมืออะไรเลย”
“ดิฉันไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนั้น แค่สองมือก็พอ” พิกุลตอบ หันไปมองดาเรศแล้วหันกลับมา “แต่ระหว่างการรักษาดิฉันต้องขอให้ทุกคนออกไปจากห้องนี้ให้หมด”
ดานุแย้ง “ไม่ได้...พวกเราไม่รู้จักเลยว่าคุณเป็นใคร แล้วจะให้คุณมาอยู่กับน้าผมตามลำพังได้อย่างไร”
“การที่คุณไม่รู้จักฉัน ไม่ได้หมายความว่าเราไม่เคยรู้จักกัน...เราอาจจะเคยได้สร้างบุญสร้างกรรมร่วมกันมา เราถึงได้มาพบกัน” พิกุลตอบ จ้องลึกเข้าไปในดวงตาดานุ
คุณทับตัดสินใจเด็ดขาดให้ทุกคนออกจากห้อง แต่คุณดวงขอร้อง พิกุลจึงอนุญาตให้เธออยู่ในห้องได้คนเดียวเท่านั้น
คุณดวงยิ้มดีใจ คุณทับนำดานุและนายยงออกจากห้อง พิกุลยิ้มน้อยๆให้ดานุอย่างผู้ชนะก่อนปิดประตูแน่นหนา เมื่อออกมาแล้วคุณทับสั่งให้นายยงไปเอาเก้าอี้มาให้ตนนั่งเฝ้าอาการลูกสาวที่หน้าห้อง ดานุได้แต่ถอนใจเพราะไม่เข้าใจความคิดของคุณตา
เวลาผ่านไปนานพอสมควร ไฟฟ้าในบ้านสว่างขึ้นพร้อมกับคุณดวงเปิดประตูห้องออกมาแจ้งข่าวดีกับคุณทับ ทุกคนรีบเข้าไปในห้อง ขณะที่ทางห้องรับแขก ดาริกา ดารา และนางพัวก็สะดุ้งตื่นเช่นเดียวกัน
“แปลกมาก แม่หนูคนนี้แทบไม่ได้ทำอะไรเลย แค่นั่งจับมือดาเรศไว้ จู่ๆดาเรศก็ฟื้น” คุณดวงเล่าให้คุณทับฟังอย่างดีใจ
“ขอบใจแม่หนู ขอบใจมาก” คุณทับกล่าวกับพิกุล ในขณะที่ดานุมองหน้าพิกุลอย่างสงสัย
“อย่าเพิ่งขอบใจดิฉันเลยค่ะ นี่เพิ่งแค่เริ่มต้นเท่านั้น” พิกุลเหลือบมองนาฬิกาบอกเวลาตีสี่ ลุกขึ้น “ดิฉันคงต้องกลับแล้ว...”
ดาเรศพูดเสียงแผ่วเพราะหมดแรง “แม่หมอจะรักษาฉันให้หายขาดได้ใช่ไหม”
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวคุณค่ะ พรุ่งนี้เที่ยงคืนดิฉันจะมาใหม่”
พิกุลกล่าวกับดาเรศแล้วขอตัวกลับโดยไม่ยอมรับค่ารักษาจากคุณทับ ดานุรับปากคุณตาว่าจะไปส่งพิกุลที่เรือและจัดการเรื่องค่ารักษาให้ ดานุกับพิกุลสวนทางกับดาริกาและดาราที่เดินมาห้องดาเรศ ทันทีที่สะดุ้งตื่น ดาริกาถามถึงอาการดาเรศ ดานุไม่ทันตอบเพราะจะรีบไปส่งพิกุล นายยงตอบแทนว่าอาการดาเรศดีขึ้นแล้ว
ดาริกากับดาราถึงกับหันมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
ดานุเดินตามมาส่งพิกุล แต่เดินอย่างไรก็ไม่ทันพิกุลที่แค่ก้าวช้าๆเสียที พิกุลเดินมาจนถึงท่าน้ำ ดานุต้องวิ่งตามมาร้องเรียกให้เธอหยุดรอ
“ฉันไม่คิดค่ารักษาหรอกค่ะ ฉันทำเพราะอยากให้ทุกคนที่นี่พ้นจากความทุกข์”
“แล้วตกลงน้าผมป่วยเป็นโรคอะไร แล้วคุณใช้วิธีอะไรรักษาน้าผมกันแน่”
พิกุลยิ้มหวานอย่างรู้ทันดานุ “คุณไม่เชื่อในเรื่องที่มันเหนือธรรมชาติอยู่แล้ว ฉันบอกคุณไปคุณก็ไม่เชื่อฉันอยู่ดี”
คำตอบของหญิงสาวทำให้ดานุหน้าเจื่อน พิกุลพูดต่อ “บางอย่างเราต้องประสบพบเจอด้วยตัวของเราเอง ไม่นานคุณจะเข้าใจ ถึงตอนนั้นคุณก็อาจจะอยากให้ฉันรักษาคุณบ้างก็ได้”
พิกุลเดินลงเรือ ดานุตื๊อจะไปส่งเพราะยังสงสัยหญิงสาวอยู่มาก
“ถ้าคุณอยากรู้ว่าฉันคือใคร พักอยู่ที่ไหน คุณได้รู้แน่ค่ะ...ไม่นานนี้หรอก”
ดานุหงุดหงิดที่พิกุลรู้ทัน “ผมแค่เป็นห่วง”
“น้ำเป็นบ้านของฉัน ห่วงตัวคุณเถอะค่ะ”
“ผมเป็นนักกีฬาโรงเรียน โดยเฉพาะว่ายน้ำ”
“คนเราชอบคิดว่าเอาชนะทุกอย่างได้ แต่จริงๆแล้วทุกอย่างมันถูกกำหนดไว้แล้ว...รีบกลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ พรุ่งนี้คุณมีงานต้องไปทำ...”
นายยงวิ่งตามมาร้องเรียกดานุ เขาหันไปหาคนรับใช้เก่าแก่ นายยงแจ้งว่าคุณทับให้เขาตามมาถามชื่อและที่อยู่ของพิกุลเพื่อพรุ่งนี้จะได้รับมารักษาดาเรศ
ดานุบอกว่ากำลังจะถามอยู่พอดี แต่เมื่อเขาหันกลับมา พิกุลกับเรือก็หายไปแล้ว ดานุวิ่งไปที่บันไดท่าน้ำเห็นเรือแล่นลิบๆหายไปกับความมืด เขาก้าวลงเรือบอกนายยงให้รีบแก้เชือกผูกเรือและพายตามพิกุลอย่างรวดเร็ว
ดานุพายเรือตามพิกุลท่ามกลางความมืดแต่ไม่ทันจึงสบถออกมาอย่างผิดหวัง...สิ้นเสียงเขา เสียงหมาหอนดังขึ้น เขาพยายามพายเรือกลับแต่เรือก็หมุนวนอยู่กับที่ ทันใดนั้นมีมือซีดขาวโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำยึดกราบเรือไว้ เส้นผมยาวที่แผ่สยายทั่วผืนน้ำค่อยๆปรากฏชัด เพียงครู่เดียวมือซีดขาวคู่นั้นก็พลิกเรือจนคว่ำ ดานุจึงตกน้ำอย่างไม่ทันตั้งตัว










