ตอนที่ 18
เพียงวันรุ่งขึ้น ก้อนก็เดินหน้าแผนการขั้นต่อไป
โดยหอบเอากล้องถ่ายรูปไปดักพบสายใจแถวบ้าน บอกว่ามีธุระสำคัญจะคุยด้วย แต่สายใจทำท่าจะ
ปฏิเสธเพราะไม่เคยอยากเสวนากับคนอย่างก้อนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ก้อนจึงรีบสำทับว่า
"มันสำคัญมาก สำคัญชนิดที่เรียกว่ามันจะทำให้เอ็งมีความสุขสดชื่นสมหวังไปตลอดชีวิตก็แล้วกัน"
สายใจชะงัก แล้วเปลี่ยนสีหน้าท่าทีเป็นสนใจเต็มที่ ก้อนจึงขยิบตาและพยักพเยิดให้สายใจเดินตามมา...แต่เดินตามกันไปสักพักไม่เห็นท่าว่าก้อนจะหยุดเสียที สายใจก็เริ่มโวย
"จะเดินไปถึงไหนเนี่ยตาก้อน ขาฉันลากปวดน่องไปหมดแล้วนะ มีอะไรก็ว่ามา ฉันไม่เดินแล้ว"
"เราจะคุยกันเรื่องความลับสุดยอด มันก็ต้องไปหาที่ลับๆคุยกันสิวะ"
"งั้นก็เชิญไปลับคนเดียวละกัน ฉันไม่ไปด้วยแล้ว"
"เออ...เอ็งไม่อยากสมหวังกับไอ้คล้าวก็ตามใจ"
"นี่...ตาก้อน เรื่องฉันกับพี่คล้าวมันเป็นเรื่องส่วนตัว ฉันจะสมหวังไม่สมหวังมันก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวอะไรกับตาก้อน"
"แต่ข้าอยากให้เอ็งสมหวังกับไอ้คล้าว เพราะทุกวันนี้เห็นหน้าเอ็งแล้วมันอดสมเพชเวทนาไม่ได้ คนที่บูชาความรักเหนือสิ่งอื่นใดออย่างเอ็งเนี่ยมันหายากเหลือเกินแล้ว ข้าบอกตามตรงว่าข้าอยากจะช่วย"
"นี่ตาก้อน ถ้าฉันจะลงเอยกับพี่คล้าวน่ะนะ ก็ต้องเป็นเพราะความน่ารัก ความสวยมีเสน่ห์บวกกับความดีของฉันมากกว่า ฉันน่ะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใครทั้งนั้นแหละ"
"งั้นก็ตามใจเอ็ง อยากจะอยู่ขึ้นคานทึนทึกหนังเหี่ยวหนังยานก็เรื่องของเอ็ง"
สายใจชะงักกึก คำพูดก้อนทิ่มแทงใจดำอย่างแรง ที่สุดเธอก็ตัดสินใจหันกลับมาเรียกก้อนที่กำลังจะเดินกลับไป
หลังจากพูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว ก้อนกับสายใจก็พากันไปโผล่ยังจุดที่คล้าวตัดฟืนอยู่ ก้อนให้สายใจเข้าไปจู่โจมนัวเนียคล้าว ส่วนตัวเองแอบใช้กล้องถ่ายรูปเก็บภาพเหล่านั้นเอาไว้ ยิ่งคล้าวปัดป้องผลักไส สายใจก็ยิ่งเข้าคลุกวงใน ภาพจึงดูเหมือนว่าคล้าวปลุกปล้ำสายใจ
เมื่อได้รูปเด็ดๆระหว่างคล้าวกับสายใจมาแล้ว ก้อนก็เปิดแน่บกลับบ้านไปเล่าให้ทับทิมฟังอย่างครื้นเครง
"ยอดเยี่ยมไปเลยพี่ แล้วทำยังไงถึงจะได้ดูรูปล่ะ ฉันอยากเห็น"
"เฮ้ย ต้องรอถ่ายให้มันครบซะก่อนแล้วค่อยเอาไปให้ที่ร้านเขา"
"แล้วมันยังขาดอะไรอีกล่ะพี่"
"ก็ขาดรูปไอ้แว่นน่ะสิ เราน่ะฉุดนังทองกวาวขึ้นสวรรค์แล้ว เราก็ต้องฉุดนังบุปผามันขึ้นไปด้วย"
จู่ๆเพชรกับหมึกพรวดพราดเข้ามาขอเงินไปซื้อไอติมกิน
ก้อนรีบซ่อนกล้องถ่ายรูปแทบไม่ทัน แล้วตัดใจให้เงินทั้งคู่ไปเพราะกลัวจะถูกซักถามจับพิรุธได้จนเสียแผน พอเพชรกับหมึกคล้อยหลังไปแล้ว สองผัวเมียก็สุมหัวคิดแผนกันต่อ
"พี่...แล้วเราจะรุกฆาตกับไอ้แว่นมันยังไงดี ใช้แผนเดิมดีไหม"
"ก็แผนเดิมนั่นแหละ"
"แต่ว่าเราจะไปหาผู้หญิงที่ไหนมาล่อมันล่ะ"
"เออ นั่นน่ะสิ ผู้หญิงที่ไหนล่ะ" ก้อนครุ่นคิดแป๊บเดียวก็พูดโพล่งขึ้นมาว่า "ฉันนึกออกแล้ว...ก็แม่ทับทิมไง"
"จะบ้าเหรอพี่ เดี๋ยวมันเกิดปล้ำฉันขึ้นมาจริงๆจะทำยังไงล่ะ"
"เออ จริงๆด้วยว่ะ ใช้แม่ทับทิมความจะแตกเอาเปล่าๆ"
ทับทิมนิ่งคิด...ไม่นานความคิดก็บรรเจิดเพริศแพร้วให้ก้อนปลอมตัวเป็นผู้หญิงแอบเข้าไปฉวยโอกาสตอนแว่นนั่งหลับกลางวันขณะรอลูกค้ามาตัดผมที่ร้านชั่วคราวท้ายตลาด แล้วก้อนก็ทำเนียนมากๆ กอดจูบแว่นที่เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นกำลังละเมอเพ้อหาบุปผา ทับทิมซึ่งเป็นตากล้องจึงได้รูปเด็ดๆกลับไปมากมาย
ooooooo
หลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน ก้อนกับทับทิมก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯกันอีกครั้ง ซึ่งเป็นวันที่ทองกวาวกับบุปผา ถึงกำหนดจะกลับหนองทรายขาวพอดี สองสาวดีใจนึกว่าก้อนกับทับทิมจะมารับ แต่ที่ไหนได้ ทั้งคู่กลับนำความอัปยศเสียใจใหญ่หลวงมาให้พวกเธอ
ทันทีที่เห็นรูปถ่ายที่ก้อนกับทับทิมจัดฉากมาทั้งหมด สองสาวเสียใจถึงกับน้ำตาไหลพราก มือไม้อ่อนแทบเป็นลม แต่ก้อนกับทับทิมลอบยิ้มกันอย่างสมใจ ส่วนทองคำก็อึ้งกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่น้อย
สองสาวหลบขึ้นไปร้องไห้บนห้อง รำพึงรำพันคร่ำครวญต่อว่าคนรักของตนปานจะขาดใจ สักครู่ได้ยินทองคำขึ้นมาเคาะประตูเรียก บุปผาจึงต้องลุกมาเปิดให้
"อย่าคิดอะไรมากเลยลูก ตัดอกตัดใจซะ ผู้ชายน่ะนะ
มันก็เหมือนพันธุ์ไม้เลื้อย ใกล้ที่ไหนก็พันที่นั่น" ทองคำปลอบทั้งคู่
"แต่พี่คล้าวไม่น่าจะใช่คนอย่างนั้นนะจ๊ะย่า จริงๆนะจ๊ะ ทองกวาวไม่อยากจะเชื่อเลย"
"มันก็ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่างน่ะแหละ"
"งั้นชาตินี้ทั้งชาติอย่าได้เจอะได้เจอกันอีกเลย ไอ้แว่น ไอ้คนเลว...ฮือๆ" บุปผาแค้นใจ
"พ่อกับแม่ไม่น่าเอารูปพวกนี้มาเลย ทำอย่างนี้ฆ่าทองกวาวให้ตายซะยังดีกว่า ดีกว่าทำให้ทองกวาวต้องทรมานอย่างนี้"
"ไม่เอาลูก...ทองกวาวอย่าคิดอย่างนั้น หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะนะ อยากจะให้ลูกได้ดีกันทุกคนนั่นแหละ ทอง-กวาว บุปผา น่าจะขอบคุณพ่อกับแม่เขามากกว่านะลูก ที่เขาทำให้เราตาสว่างขึ้น ไม่ต้องถลำลึงลงไปกว่านี้ เพราะไม่อย่างนั้นคนที่จะต้องเจ็บปวดยิ่งกว่าตายทั้งเป็นน่ะไม่ใช่เราเท่านั้น แต่เป็นพ่อแม่เราด้วย เชื่อย่าเถอะ หักอกหักใจซะลูกเอ๊ย ผู้ชายดีๆที่สมกับลูกยังมีอีกถมเถไป"
ฟังคำปลอบนั้นแล้ว สองสาวกลับยิ่งร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม
ooooooo
คล้าวกับแว่นไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นที่กรุงเทพฯ พวกเขารู้แต่ว่าวันนี้คือวันที่ทองกวาวกับบุปผาจะกลับหนองทรายขาว สองหนุ่มจึงหักห้ามความเสียใจทำตัวเบิกบานไปรอรับที่ท่าเรือ แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีแม้แต่เงาของคนรัก...
ขณะเดียวกันนั้นที่บ้านคุณนายทองคำ ธรรมรักษ์กับธีระกำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความสะใจ
"นั่นปะไร ผมมองแล้วไม่มีผิดเลย ผมเห็นไอ้ผู้ชายคนนี้ครั้งแรก ผมรู้เลยว่ามันต้องเป็นคนกะล่อนตลบตะแลง แล้วถ้าใครได้มันไปเป็นแฟนจะต้องช้ำใจไปตลอดชาติเลย ผมสงสารน้องทองกวาวจริงๆเลยครับคุณแม่ คุณพ่อ"
"เกิดมาผมไม่เคยเห็นผู้ชายที่ไหนอัปลักษณ์เท่านี้มาก่อนเลย นี่ยังดีนะครับคุณแม่ที่น้องบุปผายังไม่ได้พลาดพลั้งเสียทีมันไป...เอ๊ะ หรือว่าพลาดพลั้งเสียทีมันไปแล้ว"
"อุ๊ยตาย ยังค่ะยัง แม่รับรองได้ เพราะแม่น่ะเลี้ยงดูมาอย่างดี ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ยังไงก็ไม่มีทางมีอะไรกับไอ้แว่นมันหรอก"
"ทองกวาวกับบุปผาน่ะมันซื่อ แค่ไอ้สองตัวมันพูดจาหวานหูเข้าหน่อยก็ไปหลงคารมมันแล้ว"
"จริงๆแล้วเด็กสองคนนี่ยังไม่ประสีประสาอะไรเลย
ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าความรักมันเป็นยังไง"
"เก็บตัวเงียบกันอยู่ในห้องนั่นน่ะ ไม่รู้จะพากันคิดสั้นรึเปล่า" ทองคำพูดซะทับทิมร้องวี้ดว้ายตกใจ กลัวสองสาวนั่นจะคิดสั้นขึ้นมาจริงๆ
"ไม่ต้องห่วงหรอกน่าแม่ทับทิม พ่อธรรมรักษ์ พ่อธีระ ขึ้นไปดูแลปลอบใจน้องมันหน่อยสิไป เพราะเวลาเศร้าๆยังงี้แหละ คนที่รู้ใจเท่านั้นถึงจะดูแลหัวใจกันได้ ไปๆๆ"
ก้อนเปิดไฟเขียวซะขนาดนี้ มีหรือสองหนุ่มจะไม่รีบคว้าโอกาสทองเอาไว้
ท่าเรือและท้องน้ำว่างเปล่าเพราะดึกแล้ว แต่คล้าวกับแว่นยังคงนั่งซึมรอคอยทองกวาวกับบุปผา
อย่างไม่มีทีท่าว่าจะกลับ ส่วนเพื่อนสนิทอีกสามคนที่มาให้ กำลังใจเริ่มมองหน้ากันไปมาอย่างหมดหวัง แล้วในที่สุดทั้งสามคนก็ชวนคล้าวกับแว่นกลับ โดยหมู่น้อยยังถนอมน้ำใจสองคนนั้นว่า พรุ่งนี้เราค่อยมากันใหม่
"เอ็งคิดเหมือนข้าไหมวะไอ้ไข่ ข้าว่าทองกวาวกับบุปผามันอาจจะอายจนไม่กล้ากลับมาสู้หน้าพวกเราก็ได้" ตี๋ขอความเห็น
"อือ ก็อาจจะเป็นไปได้ว่ะ หรือเอ็งว่าไงวะไอ้แว่น"
"ไม่จริงหรอก ข้าไม่เชื่อ ไม่มีทางเป็นไปได้...ไม่จริงโว้ย" แว่นค้านลั่นคุ้งน้ำ แล้วก็ไม่ยอมลุกไปไหนด้วย จะนั่งคอยยืนคอยบุปผาอยู่ที่นี่ ถึงจะต้องคอยจนแข็งเป็นหินก็ยอม
"ไม่มีประโยชน์หรอกว่ะแว่น นั่งคอยอยู่อย่างนี้มันทรมานใจเปล่าๆ ในเมื่อเขาไม่มา เราก็เป็นฝ่ายไปหาเขาเองก็สิ้นเรื่อง พูดกันให้รู้เรื่องไปเลย"
พูดจบคล้าวลุกขึ้นเดินออกไปทันที แว่นฮึกเหิมรีบลุกตาม อีกสามคนที่เหลือกรูตาม เอาไงเอากัน ไม่ช้าไม่นานทั้งหมดก็ลงเรือมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯอีกครั้งด้วยใจที่รุ่มร้อน...
ส่วนทองกวาวกับบุปผาก็นอนไม่หลับทั้งคืน เช้าขึ้น
ทองกวาวบอกพ่อกับแม่ว่าเธอตัดสินใจแล้วว่าจะกลับหนองทรายขาว ทับทิมนึกไม่ถึงรีบทักท้วงลูกสาวว่าจะกลับไปทำไมให้มันปวดหัวใจ
"แม่จ๋า ก่อนที่ทองกวาวจะตัดสินใจอะไรน่ะ ทองกวาวอยากได้ยินจากปากพี่คล้าวว่าหมดรักกันแล้ว"
"บุปผาก็เหมือนกันจ้ะลุง ก่อนที่จะแตกหักน่ะ บุปผาก็ขอคุยกับไอ้แว่นมันก่อน อย่างน้อยก็ขอให้ได้ด่าให้สาแก่ใจซะก่อนจ้ะ"
สองผัวเมียจอมแผนการมองหน้ากันไปมาอย่างวิตกกังวล
"เอาละๆ เพื่อความสบายใจของลูกของหลานมัน ก็พามันกลับไปด้วยละกัน แต่สัญญากับย่าก่อนนะทองกวาว บุปผา ว่าแตกหักแล้ว พูดจากันรู้เรื่องแล้ว ก็อย่ากลับมาเสียใจนะลูก เด็ดบัวต้องอย่าให้เหลือใย"
"จ้ะย่า ถ้าทองกวาวได้ยินจากปากพี่คล้าวเองว่าหมดรักทองกวาวแล้ว ทองกวาวจะไม่เสียใจเลย"
เสียงรถยนต์ดังหน้าบ้าน ก้อนกับทับทิมรีบออกไปรับหน้าธรรมรักษ์กับธีระ แล้วเร่งให้สองหนุ่มเข้าไปช่วยกันห้ามทองกวาวกับบุปผาที่ดึงดันจะกลับบ้านกันให้ได้ เพราะขืนปล่อยกลับไป เดี๋ยวได้ไปหลงคารมไอ้สองคนนั่นอีก
ธรรมรักษ์กับธีระปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ ตามสองสาวไปทางหลังบ้าน ชวนพูดคุยสร้างบรรยากาศสนุกสนาน แต่สองสาวไม่สนุกด้วย สั่งสองหนุ่มให้หยุดพูด พวกเราอยากอยู่กันเงียบๆ สองหนุ่มเลยเจื่อนไปเล็กน้อยก่อนเลียบเคียงถามเรื่องจะกลับบ้าน ซึ่งพวกเขาไม่เห็นด้วย ขืนกลับไปตอนนี้ความรู้สึกจะยิ่งแย่ไปกว่านี้ แต่
ทองกวาวก็บอกว่าเธอทำใจเอาไว้แล้ว
"ถ้าน้องทองกวาวมีใครสำรองเอาไว้ในหัวใจซักคนนึง น้องทองกวาวก็คงไม่ต้องเศร้าถึงขนาดนี้นะครับ"
"ในหัวใจทองกวาวมีพี่คล้าวเพียงคนเดียวค่ะ"
"พี่ก็พูดเผื่อๆเอาไว้ แต่ถ้าหัวใจน้องทองกวาวเปิดรับสมัครคนคนนั้นเมื่อไร พี่ธรรมรักษ์ก็จะขอเป็นคนแรกที่จะยื่นใบสมัคร เพื่อดามหัวใจน้องทองกวาวนะครับ"
ทองกวาวถอนใจแล้วนิ่งไป ธรรมรักษ์ฉวยโอกาสขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ ช่วยหยิบใบไม้ที่หล่นลงมาติดผมทองกวาวออกให้แล้วลักไก่โอบไหล่แสดงความใกล้ชิด ส่วนธีระก็ใช่ย่อยแอบแต๊ะอั๋งบุปผาทีเผลอ ระหว่างนี้เองเรือพวกคล้าวพายลิ่วเข้ามาที่ศาลาท่าน้ำ ทุกคนในเรือเข้าใจผิดกับภาพที่เห็นคิดว่า
หนุ่มสาวสองคู่กำลังจู๋จี๋กันอยู่ แว่นทนไม่ไหวตะโกนด่าบุปผาอย่างชอกช้ำใจ ขณะที่คล้าวก็อดตัดพ้อต่อว่าทองกวาวไม่ได้
แล้วสองฝ่ายก็เปิดศึกน้ำลายกันไปมาด้วยความรู้สึกทั้งรักทั้งแค้น โดยที่ธรรมรักษ์กับธีระยืนยิ้มกริ่มอย่างสะใจ
พอมีจังหวะก็ช่วยเยาะเย้ยและซ้ำเติมคล้าวกับแว่น นี่เองทำให้
พวกคล้าวยิ่งทนไม่ไหวโดดขึ้นมาอัดสองหนุ่มจนโกลาหลวุ่นวายไปหมด สองสาวพยายามห้ามแต่ก็ไร้ผล บุปผาจึงหันไปคว้า
ไม้พายมาตีหัวแว่นจนแตกเลือดอาบ
เรื่องราวทำท่าจะลุกลามบานปลายใหญ่โต ถ้าทองคำ ก้อน และทับทิมไม่วิ่งเข้ามาเสียก่อน พวกคล้าวยุติความรุนแรง ปล่อยให้ก้อนด่าปาวๆว่าพวกเขาเป็นอันธพาล แต่ที่คล้าว เจ็บปวดที่สุดก็คือคำพูดทองกวาวที่ไล่ให้เขากลับไป เพราะเธอเห็นธาตุแท้ของเขาแล้ว ส่วนแว่นก็เจ็บกระดองใจกับคำสาปส่งของบุปผาที่ว่า เธอจะทำบุญกรวดน้ำคว่ำขันไปให้ ชาตินี้ชาติหน้า หรือชาติไหนๆ ขออย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย...
พายเรือออกมาได้สักพัก คล้าวตัดสินใจโยนกรอบใส่เส้นผมทองกวาวลงน้ำ ฝากพระแม่คงคาไปคืนเจ้าของเขาด้วย ทองกวาวซึ่งยังร่ำไห้อยู่ที่ศาลาเห็นของสิ่งนั้นลอยมาตรงหน้า เธอหยิบมันขึ้นมาดูแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างคนหัวใจสลาย
ooooooo
เมื่อก้อนกับทับทิมบอกว่าพรุ่งนี้จะกลับหนองทรายขาว และฝากทองคำช่วยดูลูกหลานของพวกตนด้วย ทองคำยินดีไม่มีปัญหา จะให้สองสาวเรียนต่ออีกซักสามเดือน เสร็จแล้วก็เปิดร้านในกรุงเทพฯนี่เลย ก้อนเออออเห็นดีด้วย แต่ทองกวาวไม่ยอม ยังไงเธอก็จะกลับบ้านพร้อมพ่อแม่
"เอ็งจะกลับไปทำไมวะ อยู่ที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว"
"ก็ที่พ่อมากรุงเทพฯหนนี้ พ่อมารับทองกวาวไม่ใช่ เหรอจ๊ะ"
"อุวะ พูดไม่รู้เรื่องรึไงวะ"
"บ้านของพวกเราคือหนองทรายขาวนะจ๊ะลุง ไม่ใช่ กรุงเทพฯ"
"เอ๊ะ นังสองคนนี่ บอกว่ายังไม่ให้กลับก็ไม่ให้กลับสิวะ"
เห็นก้อนหัวเสีย ธรรมรักษ์จึงเข้ามาไกล่เกลี่ยว่า
"ผมว่า ถ้ายังงั้นเอาอย่างนี้ดีกว่าครับ เรากลับหนอง
ทรายขาวกันทุกคนเลย ผมจะได้ไปเที่ยวบ้านคุณพ่อด้วยไงครับ"
"โอว...กู๊ดไอเดียมากเลยครับ ผมเองก็อยากไปเห็นบ้านคุณแม่เหมือนกัน"
"อุ๊ยตาย ก็ดีสิคะ แต่ว่าบ้านแม่คงไม่มีอะไรให้เที่ยวให้ดูเท่าไรหรอกจ้ะพ่อธีระ เพราะมันก็บ้านนอกคอกนาธรรมด๊าธรรมดา"
"ไม่เป็นไรครับคุณแม่ ผมเกิดมาก็อยู่แต่ในกรุงเทพฯ ไม่เคยเห็นเลยครับว่าท้องไร่ท้องนาชนบทน่ะเป็นยังไง ยิ่งตั้งแต่กลับมาจากเมืองนอกนี่ นึกไม่ออกเลยครับ เห็นเขาว่าชาวนาใช้ตัวอะไรนะครับ แถวบ้านผมเขาเรียกบัฟฟาโล่"
ธีระทำดัดจริต แต่สองผัวเมียไม่เข้าใจว่าบัฟฟาโล่คืออะไร เกิดซักถามกันใหญ่โต พอรู้มันคือควายก็ร้องอ๋อ แล้วสอนให้ธีระเรียกมันว่ากระบือจะดีกว่า สบายหูสบายใจกว่ากันเยอะเลย
ทองคำเห็นว่าจะยืดเยื้อไปกันใหญ่ ตัดบทว่าให้ไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ ตนเองก็จะได้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์บ้านนอกกับเขาบ้าง
หลังจากถูกธรรมรักษ์ตบตีทำร้ายเมื่อวันก่อน คืนนี้เองฤทัยเริ่มต่อต้านแข็งข้อกับเขาด้วยการไม่ยอมไปร้องเพลงที่ไนต์คลับ พอเขาถามหาเหตุผลเธอก็เมินหน้าหนีไม่อยากตอบ กระทั่งเขาเสียงกร้าวใส่ราวกับเธอเป็นลูกจ้างไม่ใช่เมีย เธอเลยกลับมาแว้ดเข้าให้บ้าง
"ถ้าคุณอยากให้ฉันไปประจานตัวคุณละก็ ฉันจะไปก็ได้ แล้วไอ้รอยเขียวช้ำบนหน้านี่ ถ้าใครถามฉันก็จะบอกเขาว่าถูกผัวตบมา พอใจไหม"
ธรรมรักษ์ฉุนกึกกระชากฤทัยอย่างแรง
"ถ้าขืนทำอย่างนั้น...จะโดนหนักเป็นสองเท่า ถ้ายังไม่เข็ดก็ลองดู เอาแป้งโปะให้มันหนาๆเข้าสิ ใครมันจะมาเห็น แล้วถ้าขืนใครมันยังสอดรู้สอดเห็น ก็ด่ามันไป"
"ถ้าคุณไม่ละอายใจฉันก็ทำได้ ทำไมฉันจะทำไม่ได้"
ฤทัยสะบัดลุกไปหยิบตลับแป้งขึ้นมาทาหน้าตัวเองกลบรอยช้ำ
"รักจะอยู่ที่นี่ มันก็ต้องช่วยกันทำงาน ช่วยกันทำมาหากิน จะมัวมานั่งกินนอนกินเป็นคุณนายน่ะคงจะไม่ได้หรอกนะ"
ฤทัยกัดฟันแน่นอย่างเจ็บใจ ธรรมรักษ์เดินไปเปิดตู้แล้วหยิบเสื้อผ้าออกมาหลายตัวโยนไปกองไว้บนเตียง
"ฉันจะไม่อยู่หลายวันนะ ไปดูแลร้านด้วย กลับมาถ้ารายได้ตกละน่าดู"
ฟังคำสั่งแกมขู่แล้วฤทัยยิ่งเจ็บปวด มองเขาด้วยแววตาตัดพ้อ ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
"ยืนเป็นเบื้ออยู่นั่นละ พับเสื้อผ้าเข้าสิ"
ฤทัยเก็บกลั้นความเจ็บปวดเสียใจลงมือพับเสื้อผ้าให้เขา ธรรมรักษ์มองๆแล้วเปลี่ยนท่าทีอ่อนลงเข้ามาลูบไล้ต้นคอฤทัย ยังไงก็ยังต้องเลี้ยงผู้หญิงคนนี้ไว้ใช้ทำมาหากิน แต่พอเจอท่าทางแข็งขืนไม่เล่นด้วยของเธอ เขาก็โมโหฉุนเฉียวขึ้นมาอีก
"นึกว่าพิศวาสนักรึไง...หา!"
ฤทัยถูกเขาผลักจนหัวทิ่ม เท่านั้นยังไม่พอ เขายังกระชากสร้อยคอราคาแพงที่เพิ่งซื้อให้เมื่อไม่นานนี้ไปจากคอเธอด้วย...
ฤทัยเจ็บปวดคับแค้นใจน้ำตาร่วงพรู
ooooooo
ผิดหวังในความรักกลับมาถึงหนองทรายขาวในสภาพอ่อนล้าทั้งกายและใจ คล้าวไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น วันๆจมอยู่กับความทุกข์ความเศร้าเพราะยังตัดใจจากทองกวาวไม่ได้
วันนี้ขณะคล้าวนอนซมอยู่ที่กองฟางแถวโคกนา เจิดกับสมุนเดินหัวเราะกันเข้ามาซ้ำเติมถากถาง แถมยังพูดถึงทองกวาวอย่างเสียๆหายๆ แต่คล้าวนอนนิ่งเหมือนไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ขนาดเจิดใช้เท้าเขี่ยแล้วท้าให้ลุกขึ้นมาชกกัน คล้าวก็ยังคงเฉยไม่สนใจ
นานเข้าเจิดกับสมุนก็ทนไม่ไหว ลงมือลงไม้กับคล้าว อย่างเมามัน โดยที่คล้าวไม่คิดที่จะปัดป้องหรือต่อสู้เหมือนเมื่อก่อน นั่นยิ่งเหมือนยั่วยุให้เจิดโมโห เล่นงานคล้าวเสียสะบักสะบอมก่อนจะจุดไฟเผากองฟางแล้วพากันจากไปด้วยความสะใจ
คล้าวเจ็บปวดไปทั้งตัวแต่ยังพยายามปีนขึ้นหลังควายให้มันพากลับมาบ้าน พอถึงบ้านได้ยินเสียงเอะอะเอ็ดตะโร ปรากฏว่าจอมกับสมุนกำลังขู่เข็ญทวงหนี้จากแม่ของเขาอยู่
"คล้าว...ลูกแม่" คอนตกใจสุดๆกับสภาพยับเยินของลูกชาย
"เอ็งมาก็ดีแล้ว แม่เอ็งเขารับปากกับข้าเอาไว้ว่าเอ็งกลับมาจากกรุงเทพฯเมื่อไหร่จะใช้หนี้ให้ข้า"
"ฉันรู้จ้ะ"
"เอ็งรู้หน้าที่เอ็งดีนี่หว่า รู้แล้วก็เอาเงินมาจ่ายพ่อจอมเขาซะสิ"
คล้าวหน้านิ่งแต่มือกำแน่นอย่างพยายามระงับอารมณ์
"ฉันไม่มีจะจ่ายหรอกจ้ะ"
"พูดยังงี้ก็สวยสิวะไอ้คล้าว" สมุนพรวดพราดเข้ามาเผชิญหน้าคล้าว แต่พอเจอสายตาเย็นชาของคล้าว สมุนก็ขนหัวลุก ค่อยๆถอยออกไป
"หมายความว่าเอ็งจะไม่จ่ายใช่ไหมไอ้คล้าว"
"ฉันจ่ายแน่จ้ะ ถ้าฉันมี แต่ตอนนี้ฉันอยากจะขออาจอมผัดไปก่อนเถอะจ้ะ"
สมุนสองคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผัดอีกแล้ว ผัดทั้งปี พ่อจอมอย่าไปยอมมัน
"ผัดหนี้ให้เอ็งวันนี้ แล้วข้าจะได้อะไรวะไอ้คล้าว"
"ก็ถ้าอาจอมจะกรุณา แลกกับอะไรก็ได้ฉันยอมทั้งนั้น"
"แน่นะ"
"แน่สิจ๊ะ คนอย่างฉันพูดคำไหนเป็นคำนั้นเสมอ"
"เอาง่ายๆโว้ย เอ็งคลานมากราบตีนข้าสามหนงามๆ แล้วข้าจะผัดหนี้ให้เอ็งสามวัน"
คล้าวนิ่งอึ้ง สองสมุนหัวเราะชอบใจกันใหญ่กับเงื่อนไขของเจ้านาย ส่วนคอนร่ำไห้ ห้ามคล้าวไม่ให้ทำ อย่ายอมเสียศักดิ์ศรีเป็นอันขาด แต่ทันใดคล้าวกลับตัดสินใจทำในสิ่งที่แม่ห้าม จอมถึงกับหัวเราะลั่น สมุนก็พลอยผสมโรงโห่ฮาสาแก่ใจ
ไม่ทันที่คล้าวจะเงยหน้าขึ้น จอมก็ยกเท้ากดคอคล้าวเอาไว้
"เนี่ยเหรอวะ ไอ้คนที่มันกินศักดิ์ศรีต่างข้าวได้ ในที่สุดมันก็ต้องกราบตีนกูเป็นครั้งที่สอง พวกมึงดูกันเอาไว้เป็นขวัญตา กูให้สามวัน หลังจากนั้นถ้ามึงไม่มีปัญญาหาเงินมาให้กู พวกมึงสองคนแม่ลูกก็ไสหัวกันออกไป"
เหยียบย่ำทั้งใจกายของคล้าวจนสะใจแล้ว จอมกับสมุนก็พากันกลับไป คอนรีบเข้ามาประคองลูกให้ลุกขึ้น แต่
คล้าวสิ้นแรงซุกอยู่กับอ้อมกอดแม่
"คล้าว...เอ็งทำอย่างนี้ทำไมลูก เอ็งยอมเสียศักดิ์ศรีทำไมลูก"
"ก็ถ้าหนูไม่ทำ แม่ก็ต้องทำ หนูรู้ หนูยอมทำซะเองดีกว่าจ้ะแม่"
"โธ่...ลูกแม่"
"แม่จ๋า...ศักดิ์ศรีมีไปมันก็กินไม่ได้หรอกจ้ะ เราจะไปอินังขังขอบกับมันทำไมล่ะจ๊ะแม่"
คอนเอาแต่ร้องไห้ คล้าวเจ็บปวดกับชีวิต จิตวิญญาณถูกปล้นไปแล้ว
ooooooo
เพียงแค่ข้ามคืนผู้คนก็ร่ำลือเรื่องนี้กันทั้งตลาด แว่น ตี๋ ไข่และหมู่น้อยได้แต่เวทนาสงสารคล้าว แต่เพชรกับหมึกไม่เชื่อ เถียงคอเป็นเอ็นว่าคนอย่างพี่คล้าว ไม่มีวันยอมกราบตีนใครหรอก
"พวกเอ็งจะไม่เชื่อได้ยังไงวะ เขาลือกันไปทั้งตลาดแล้วตอนนี้"
"ใครเชื่อข่าวลือเป็นหมา" เพชรตะโกนลั่นอย่างเจ็บแค้น
แล้วพวกแว่นก็สุมหัวตั้งข้อสังเกตว่าตั้งแต่กลับจากกรุงเทพฯ คล้าวเปลี่ยนไปมาก เอาแต่ซึมกะทือไม่ยอมพูดจา อะไรกับใคร มันอาจจะเสียสติไปแล้วก็ได้
"เป็นเพราะนังทองกวาวคนเดียวแท้ๆ" ตี๋พูดโพล่งขึ้นมา
"พวกเอ็งดูข้านี่ ข้าเนี่ยทั้งแค้นแสนแค้นยังไง ข้าก็ไม่บ้าไปยอมกราบตีนใครหรอกนะโว้ย ทั้งที่ข้าน่ะโกรธเกลียดอีนังดอกอุตพิดนั่นสุดๆ"
"ความรักของเอ็งกับบุปผามันคนรสชาติกับความรักของคล้าวกับทองกวาวมันโว้ย ของเอ็งมันดุเดือดเผ็ดร้อน แต่ของไอ้
คล้าวมันหวานชื่นฉ่ำรสเดียวกับหวานเย็น มันคนละแบบกันโว้ย"
ไข่เปรียบเทียบได้ชัดเจนมากๆ สายใจสะใจถึงกับเดินหัวเราะเสียงใสเข้ามา
"แล้วสุดท้ายตอนจบพี่คล้าวเขาก็พบความจริง ทิ้งนางอิจฉากลับมาหานางเอกแสนหวานอย่างข้า... นี่ละน้าที่เขาว่า รักกันแล้วก็ไม่มีวันแคล้วจากกันไปได้"
"น้องสายใจจ๋า แล้วพระเอกอย่างพี่หมู่น้อยล่ะจ๊ะ"
"จะไปลงนรกที่ไหนก็ไปเลยไป๊"
หมู่น้อยถูกสายใจตวาดแว้ดจนสะดุ้งโหยง กลัวหัวหด
"ไอ้เพชรคนนี้จะทำให้พี่คล้าวกับพี่ทองกวาวคืนดีกันให้ได้เลย...คอยดู"
"ฝันไปเหอะ ไอ้เพชรเอ๊ย พี่สาวเอ็งน่ะมันกากี ริอ่านมีแฟนหลายคนให้พี่คล้าวเขาจับได้ คนอย่างพี่คล้าวน่ะนะ ถ้าได้เกลียดใครแล้ว เขาเกลียดเลย เกลียดยิ่งกว่ากิ้งกือ ไส้เดือน ยิ่งกว่าขี้ซะอีก แม้แต่เงาก็อย่าได้โผล่มาให้เห็นเลย"
"พี่เพชร...หมึกอยากเลาะขนตางอนอีคนปากมากนี่จังเลย"
"แล้วจะรออะไรล่ะวะ...ลุยเลย"
สายใจเลิ่กลั่ก ถีบสกัดเพชรกับหมึกที่กระโจนกันเข้ามา พอตั้งหลักได้ก็วิ่งหนีไม่เหลียวหลัง
ooooooo
สายวันนี้คณะของก้อนเดินทางมาถึงหนองทรายขาวกันแล้ว แทนที่เพชรกับหมึกจะเห่อพวกกรุงเทพฯ ทั้งคู่กลับหน้าหงิกหน้างอไม่พอใจ ทำมือไม้แข็งไม่ยอมไหว้ผู้ใหญ่ทุกคน จนก้อนกับทับทิมต้องเอ่ยปากเตือนด้วยความโมโห ทั้งคู่ถึงยอมยกมือไหว้แผล็บอย่างไม่เต็มใจ
"ว้าย ตายแล้ว ดูมันทำ ยังกะลิงหลอกเจ้า"
"ช่างมันเถอะแม่ทับทิม มันคงน้อยใจที่ไม่พามันไปกรุงเทพฯด้วย" ทองคำไม่ถือสา ก้อนกับทับทิมจึงพาทองคำขึ้นบ้านจะได้พักผ่อนให้หายเหนื่อย พอทองกวาวกับบุปผาจะก้าวตาม เพชรกับหมึกรีบเข้ามากางแขนขวางทางเอาไว้
"อะไรของเอ็งไอ้เพชร ไอ้หมึก" บุปผาถามดุๆ
"ฉันอยากรู้ว่าทำไมพี่สองคนถึงทำอย่างนี้"
"ทำอย่างนี้น่ะทำยังไงไอ้เพชร"
"กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง ฉันเกลียดพี่ทองกวาวพี่บุปผาที่สุด ฉันเกลียดผู้หญิงหลายใจ"
"ตัวเท่าลูกหมาอย่างเอ็งรู้เรื่องอะไรกะเขาด้วยเหรอ"
"ฉันน่ะไม่ใช่ลูกหมานะ ฉันโตเป็นหนุ่มแล้ว"
"เพชร...ถ้าเพชรโตเป็นหนุ่มแล้วก็ดีแล้ว แล้วก็รู้เอาไว้
ซะด้วยว่าผู้หญิงที่ไหนเขาก็เกลียดผู้ชายหลายใจเหมือนกัน" ทองกวาวตอบโต้ เพชรกับหมึกยิ่งหน้าตูม
ธรรมรักษ์กับธีระเพิ่งจะหิ้วกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ตามเข้ามา พอเห็นเด็กผู้ชายธรรมรักษ์ก็เดาทันทีว่าต้องเป็นน้องเพชรแน่ๆ ว่าแล้วสองหนุ่มก็พยายามจะผูกมิตร แต่กลับถูกเพชรบึ้งตึงใส่ แถมยังปล่อยหมัดอัดใส่ท้องธรรมรักษ์ไปเต็มๆ ส่วนหมึกก็แกล้งคว้ากระเป๋าจากธีระแรงๆ จนธีระเสียหลักเซถลาลงไปนั่งแอ้งแม้งกับพื้น
สองสาวร้องวี้ดว้ายตกใจก่อนจะเข้ามาดูแลสองหนุ่ม แล้วให้เพชรกับหมึกขอโทษพวกเขาด้วย แต่สองคนนั้นแข็งขืนไม่ยอม วิ่งหนีขึ้นบ้านไปดื้อๆ
ooooooo
คล้าวหน้าตายังยับเยินอิดโรยนั่งซึมเหม่ออยู่แถวคอกควาย สายใจเดินมาหยุดยืนมองด้วยความสงสาร
"พี่คล้าว...ไปกินข้าวกินปลาเถอะจ้ะ มัวมานั่งเศร้าปลงตกยังงี้มันจะมีประโยชน์อะไร พี่เอาเวลาไปทำงานหาเงินมาใช้หนี้ไอ้จอมมันจะไม่ดีกว่าเหรอจ๊ะ"
คล้าวนิ่งเฉยเหมือนไม่รับรู้อะไร...ความสงสารของสายใจเลยกลายเป็นความหมั่นไส้
"นี่คงจะเพราะอีนังทองกวาวมันละสิ ถึงทำให้พี่จะเป็นจะตายยังงี้ มันกลับมาหนองทรายขาวแล้ว ไปซี้...ไปง้อมัน เข้าไปขอคืนดีกับมันซะ แต่ขอโทษเถอะนะ มันกลับมาคราวนี้มันพาแฟนใหม่มันมาด้วย คนเขาพูดกันทั้งตลาดว่ามันกะหนุง กะหนิงกับแฟนมันแทบจะนั่งตักกันมาตั้งแต่ลงเรือที่จังหวัดแล้ว ไปเลย ไปง้อมันเข้า มันคงจะยอมคืนดีด้วยหรอก"
คล้าวไม่มีความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น ค่อยๆลุกขึ้นแล้วเดินจากไปเหมือนไม่มีวิญญาณอยู่กับร่าง สายใจทำท่าจะตามจิกอีก แต่เสียงเรียกของคอนทำให้สายใจหยุดชะงัก
"สายใจเอ๊ย"
"ป้าคอนดูพี่คล้าวสิ บ้าใบ้ไปแล้ว"
"ป้าขอร้องเอ็งซักครั้งเถอะนะสายใจ อย่าเพิ่งไป ทำร้ายจิตใจมันให้มากไปกว่านี้เลย เท่านี้มันก็เหมือนตายไปครึ่งตัวแล้วละ เห็นแก่ป้าซักครั้งเถอะนะ ปล่อยคล้าวมันไปก่อน ให้เวลารักษาแผลใจของมันเองซักพักเถอะนะ"
สายใจเงียบไป แต่ยังอดมองตามคล้าวไปอย่างเคืองๆไม่ได้
ooooooo
หลังจากกล้ำกลืนดื่มกาแฟด้วยอุปกรณ์การชงชวนสยองของทับทิมกับก้อนกันแล้วในเช้านี้ ธรรมรักษ์
กับธีระก็อยากจะออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์นอกบ้านบ้าง สองผัวเมียจึงจัดแจงให้ทองกวาวกับบุปผามาพาพี่ๆเขาไปเดินเล่นให้ทั่วหมู่บ้าน
แต่ธรรมรักษ์เลือกที่จะให้ทองกวาวพาไปพายเรือเล่นในบึงบัว พอสบโอกาสอยู่กันสองต่อสองธรรมรักษ์ก็จีบทองกวาวด้วยถ้อยคำหวานหยด แถมนำสร้อยที่ยึดคืนจากฤทัยมาใส่คอให้ทองกวาวด้วย โดยทั้งคู่ไม่รู้ว่าคล้าวแอบมองอยู่หลังกอบัว
ส่วนธีระที่จับคู่ไปกับบุปผา ธีระเดินประกบติดบุปผาหาโอกาสแต๊ะอั๋งตลอดเวลาจนบุปผารำคาญ หลอกให้เขาเดินเข้าไปในป่าช้าขาแข้งสั่นด้วยความเสียวสยองอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พากันเดินเรื่อยไปแถวศาลาวัด แล้วไปเจอแว่นกำลังตัดผมให้ชาวบ้านอยู่ พอเห็นหน้ากันชัดๆ แว่นกับบุปผาต่างก็พ่นวาจาแดกดันใส่กันเหมือนโกรธเกลียดกันมาแรมปี ทั้งที่ลึกๆทั้งคู่ต่างก็ยังรักกัน
จนกระทั่งกลับไปถึงบ้าน ความแข็งกระด้างของ
บุปผาก็เปลี่ยนเป็นความอ่อนแอ ถึงกับร่ำไห้สะอึกสะอื้นต่อหน้าทองกวาว พร่ำรำพันด้วยความเจ็บช้ำหัวใจ
"บุปผาอย่าร้องไห้ไปเลย ฟังทองกวาวนะ ตัดใจซะเถอะ ไหนๆเกลียดกันแล้วก็เกลียดกันไปเลย อย่าไปนึกถึงความดีที่เคยมีต่อกัน ไม่อย่างนั้นมันจะเจ็บปวดหัวใจเปล่าๆ ขนาดทองกวาวยังทำได้เลย แล้วทำไมบุปผาจะทำไม่ได้ล่ะ"
"จ้ะ บุปผาจะทำให้ได้" พูดจบก็ปล่อยโฮโผเข้ากอดทองกวาวแน่น...
ฝ่ายแว่นก็ฟูมฟายเสียใจไม่แพ้บุปผา เล่าไปสะอื้นไปอยู่กับคล้าวบนสะพานข้ามคลองเล็กๆ
"เอ็งลองคิดดูสิคล้าว ขนาดต่อหน้าต่อตาเดี๋ยวมันก็จับมือกัน เดี๋ยวมันก็ยิ้มให้กัน แล้วลับหลังมันจะขนาดไหน เจ็บใจจริงๆ รู้ยังงี้จับมันรวบหัวรวบหางซะแต่แรกก็ดีแล้ว"
"เอ็งอย่าพูดยังงั้นเลยว่ะแว่น นั่นนะมันสันดานโจร สันดานคนถ่อยว่ะ"
"ก็ข้าเจ็บใจนี่หว่า รู้งี้เป็นโจรให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า"
"ตัดใจลืมๆมันไปซะให้หมดเถอะวะ เอ็งดูอย่างข้าสิ ข้ายังลืมได้เลยเห็นไหม คิดซะว่าโชคชะตามันมาเล่นตลกกับเรา
ที่ให้เขากับเรามาเจอกัน"
"ตลกตายแล้ว ไอ้โชคชะตาบ้าๆนี่มันตลกตายแล้ว" แว่นตะโกนอย่างอัดอั้นคับแค้น แล้วตัดสินใจถอดแว่นตาส่งให้คล้าว "ไอ้คล้าว...ไอ้เพื่อนรัก ถ้าชาติหน้ามีจริง เราค่อยพบกันใหม่นะ"
แว่นฟูมฟายกอดลาคล้าวแล้วไม่พูดพร่ำทำเพลง กระโดดลงจากสะพานทันที โดยที่คล้าวนิ่งเฉยเหมือนปลงตก... ไม่ถึงอึดใจ แว่นก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากผืนน้ำ แหกปากลั่น
"ไอ้คล้าว ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย ตะคริวจะกินข้า หนาวจะตายอยู่แล้ว"
แว่นตะเกียกตะกายยื่นมือมาให้คล้าวฉุดขึ้นจากน้ำ
"ทีหลังจะฆ่าตัวตาย เอ็งก็ไปหาน้ำที่มันลึกกว่านี้หน่อยสิวะ"
"หนาวชิบเป๋งเลย รู้ยังงี้ไม่โดดดีกว่า เอ็งก็...แทนที่จะห้าม ก็ไม่ห้าม" แว่นบ่นไปสั่นไปด้วยความหนาวเย็น...
ooooooo
ขณะที่จอมกับเจิดกำลังตรวจบัญชีทรัพย์สินของตนอย่างปีติสุข ทั้งคาดหวังกันว่าพรุ่งนี้ก็จะได้ยึดบ้านยึดนาไอ้คล้าวตามกำหนดแล้ว จู่ๆเสือผาดกับลูกน้องพรวดพราดเข้ามาทางหน้าต่าง เล่นเอาสองพ่อลูกตกใจควานหาปืนกันจ้าละหวั่น
"เฮ้ย ใครวะ"
"ฉันเองพี่จอม ฉันเอง"
"ปัดโธ่ ไอ้ผาด กูนึกว่าใคร ประตูมีเสือกไม่เข้า มาปีนเข้าทางหน้าต่าง"
"เข้าทางประตูมันก็ไม่ใช่โจรชั้นดีน่ะสิใช่ไหมอาผาด" เจิดหัวเราะร่า พยักพเยิดไปกับเสือผาด
"แล้วนี่ค่ำมืดดึกดื่นยังงี้ พวกเอ็งมากันทำไมวะ" จอมข้องใจ
"ฉันตั้งใจมาพักร้อนซะหน่อย ไม่รู้จะไปไหน ก็เลยนึกถึงพี่จอมเป็นคนแรก"
สองพ่อลูกชะงักไปนิด มองหน้ากันแต่ไม่พูดอะไร กระทั่งตกเย็นพ่อลูกออกไปตลาดเจอคล้าวมาขายปลา แล้วได้ยินคล้าว พูดประชดตัวเองเหมือนปลงตกเรื่องที่เป็นหนี้จอมอยู่ ซึ่งเขารู้ดีว่าไม่มีจ่ายแน่ เลยอยากจะเป็นโจรให้รู้แล้วรู้รอด...ปรากฏว่าเข้าทางสองพ่อลูกอย่างจัง กลับถึงบ้านก็รีบวางแผนกันทันที
"ไหนๆเราก็จะยึดที่มันแล้ว เราน่าจะเลี้ยงส่งมันหน่อยปะไรนะพ่อ"
"เอ็งนี่ตั้งแต่หลุดจากอกพ่อไปเรียนต่อหลักสูตรวิชาชีพชั้นสูงกับไอ้ผาดนี่ ความคิดสร้างสรรค์เอ็งดีเหลือเกิน พัฒนาขึ้นเยอะ"
"ก็ฉันได้ครูดีนี่จ๊ะพ่อ"
"ยังงี้ต้องตบรางวัลให้ซะหน่อยแล้ว"
สองพ่อลูกหัวเราะเอิ๊กอ๊ากแล้วเดินตรงไปยังวงเหล้าของเสือผาดกับสมุน บอกความต้องการว่าอยากให้เสือผาดออกปล้นคืนนี้
"มันจะเตรียมตัวทันเหรอวะไอ้เจิด หมู่บ้านถัดไปน่ะกว่าจะไปถึงก็เป็นชั่วโมงแล้ว มันไกลนะโว้ย...ก็พี่จอมเคยบอกฉันเอาไว้เองนี่ว่า ปล้นที่อื่นปล้นไป ยกเว้นหนองทรายขาว"
"แต่คืนนี้...เอ็งต้องปล้นหมู่บ้านหนองทรายขาว" จอมกลับคำจนเสือผาดผงะ แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
ooooooo










