นิยายไทยรัฐ

- แนว
- :
- บทประพันธ์โดย
- :
- บทโทรทัศน์โดย
- :
- กำกับการแสดงโดย
- :
- ผลิตโดย
- :
- ช่องออกอากาศ
- :
- อื่นๆ
- นักแสดงนำ
- :
ลุย ตอนล่าสุด
เช้าวันนี้ รายการภาคข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง นักข่าวกำลังสัมภาษณ์นายสถิตย์ อภิวิริยะกิจอนันต์ แกนนำสำคัญคนหนึ่งของคณรัฐบาล ซึ่งเป็นนักการเมืองฝีปากกล้า บรรยากาศในห้องส่งขณะนี้ เครียดเล็กน้อย เมื่อนักข่าวยิงคำถามว่า
“ท่านยืนยันใช่ไหมคะที่จะคัดค้านเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น”
“ผมไม่ปล่อยแน่ๆ” นายสถิตย์ย้ำคำที่ให้สัมภาษณ์ไปแล้วด้วยท่าทีแข็งกร้าว
“แต่...เรื่องนี้เป็นประโยชน์ของชาตินะคะ ถ้าช้าไปประเทศเราอาจจะเสียเปรียบคู่แข่งก็ได้นะคะ”
“คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอก...ความจริงเรื่องนี้ผมคัดค้านมาตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะไม่เห็นด้วยอย่างมาก ผู้คนก็รู้ท่าทีของผมมาตลอดแล้วนี่...”
“แต่...ท่านทำแบบนี้ ไม่กลัวคนจะหาว่าเป็นการตีรวนทางการเมืองเหรอคะ”
“ใครจะว่ายังไงผมไม่สน...” นายสถิตย์มองหน้าคนสัมภาษณ์ด้วยท่าทางที่แสดงว่าเริ่มโมโห แต่นักข่าวก็ไม่สนเขาเหมือนกัน
“ขอถามอีกนิดเถอะนะคะ...ท่านไม่รู้สึกผิดต่อประเทศชาติบ้างเหรอคะ” ถามไม่ทันจบก็ต้องสะดุ้งเมื่อนายสถิตย์ตบโต๊ะ แล้วยกมือชี้หน้านักข่าวทันทีโดยไม่คำนึงว่าตอนนี้กำลังถ่ายทอดภาพตัวเองไปทั่วประเทศ
“คุณ...คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครหา...ถามแบบนี้คุณใช้อะไรมาตัดสินคนอย่างผม”
“สามัญสำนึกไงคะ...” นักข่าวก็ไม่ยอมเหมือนกัน
นายสถิตย์ตบโต๊ะปังใหญ่ ลุกพรวดขึ้นแสดงอำนาจ บาตรใหญ่ทันที
“พอๆ เลิกๆ...พูดแบบนี้ก็ไม่ต้องคุยกันแล้ว...” เขาก้าวออกไปจากโต๊ะสัมภาษณ์ทันที ช่างกล้องแพนกล้องตามหลังไปหน่อยก็หันมาจับใบหน้านักข่าวสาว ซึ่งนั่งหน้าเรียบเฉยและแก้สถานการณ์ด้วยความเจนกับอาชีพที่ทำอยู่ได้ทันควัน เธอพูดกับกล้องต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เราคงจะต้องถามหาจิตวิญญาณความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองจากนักการเมืองคนนี้กันต่อไป บทสรุปความถูกต้องของบ้านเมืองขึ้นอยู่กับการกระทำของท่านสถิตย์คนเดียวค่ะ...”
ooooooo
คืนเดียวกันนี้ กริช ลมกรด กำลังยืนดูภาพถ่ายระหว่างเขากับลูกชายบุญธรรมที่ชื่อลุย ซึ่งถ่ายเมื่อตอนที่ลุยรับปริญญาที่ต่างประเทศ และมีอีกหลายภาพแม้กระทั้งในสนามฝึกยิงปืน กริชรู้ถึงฝีมือการยิงปืนของลุยดีว่าแม่นเหมือนจับวาง นัดไหนนัดนั้นไม่เคยพลาด
จนกระทั่งนายปกาศิต ซึ่งเป็นสมาชิก 1 ใน 5 ที่ร่วมกันก่อตั้งองค์การนอกกฎหมายมาด้วยกันขอตัวลุยไปใช้งานใกล้ชิดตัวเขา
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กริชเดินไปรับ เสียงนายปกาศิตดังก้องมาตามสาย
“ไงกริช...มีอะไรคืบหน้าบ้าง?”
กริชชะงัก หันไปมองรูปของลุยที่เขาดูอยู่เมื่อครู่นิดหนึ่งแล้วตอบกลับไปว่า
“ลุยขอเวลาตัดสินใจก่อนครับ”
“มันกล้าปฏิเสธเหรอ” ปกาศิตกระชากเสียงถาม
กริชมีสีหน้าหนักใจ แต่พยายามคุมน้ำเสียงตอบกลับไปว่า “ก็...คงจะไม่ปฏิเสธ...ถ้านายสถิตย์เลวจริงอย่างที่เราคิด และถ้าจริงตามนั้น นายสถิตย์ก็จะมีลมหายใจอยู่ได้อีกไม่เกิน 24 ชั่วโมง”
นายปกาศิตหัวหน้าใหญ่สุดขององค์การซึ่งมีอิทธิพลมากที่สุดแถมยังโหดเหี้ยมและเห็นแก่ประโยชน์ตัวเองที่สุดยิ้มอย่างพอใจ
สำหรับลุย คนที่กริชบอกว่า เขาขอเวลาตัดสินใจก่อนนั้น แม้ว่าเขาจะเป็นคนหนึ่งขององค์การนี้ แต่ลุยต่างจากคนอื่นคือ เมื่อจะรับทำงานชิ้นไหน เขาจะต้องตรวจสอบจนมั่นใจแล้วว่า คนที่ถูกสั่งให้ไปเก็บนั้นเป็นคนเลวจริงๆจึงจะยอมรับทำงาน และมาถึงวันนี้นายสถิตย์ก็ผ่านการตรวจสอบจากเขาเรียบร้อยแล้ว
ooooooo
ณ ที่ตั้งพรรคการเมืองชื่อ พรรคสัจจะ เช้านี้พวกนักข่าวกำลังไปรอสัมภาษณ์นายสถิตย์กันเกือบทุกฉบับ พอรถตู้สีดำของนายสถิตย์แล่นเข้ามาจอดยังไม่ทันสนิท พวกบอดี้การ์ดของเขาก็เปิดประตูลงมามองซ้ายมองขวา แล้วจึงเปิดประตูรถให้นายสถิตย์ลงมา พลางกระจายตัวออกอารักขา
นักข่าวสาวคนที่สัมภาษณ์นายสถิตย์เมื่อวันก่อน ยกไมค์รายงานผู้ชมทันที
“นายสถิตย์ อภิวิริยะกิจอนันต์ แกนนำคนสำคัญของรัฐบาลเดินทางมาถึงพรรคแล้วนะคะ หลังจากเมื่อวันก่อนเพิ่งประกาศกร้าว ไม่ยอมรับมติพรรคร่วมรัฐบาลแม้ว่าจะเป็นประโยชน์ของชาติก็ตาม...”
ยังไม่ทันพูดอะไรต่อ เสียงบอดี้การ์ดคนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า
“ระวัง...มีมือปืนอยู่บนดาดฟ้า” พูดจบก็ยกปืนยิงขึ้นไปบนนั้น บอดี้การ์ดอีกหลายคนเข้ามาบังตัวนายสถิตย์เอาไว้ อีกหลายคนยิงปืนขึ้นไปบนดาดฟ้าบ้าง และเสียงปืนจากดาดฟ้าก็โต้ตอบกลับลงมา ทำเอาสถานที่แห่งนั้นวุ่นวายไปหมด หัวหน้าบอดี้การ์ดตะโกนบอกลูกน้องว่า
“คุ้มกันท่านสถิตย์เข้าที่ทำการพรรคเร็ว...”
ทันใดนั้น พวกมือปืนฝ่ายตรงข้ามอีกหลายคนก็โผล่ออกมาจากมุมตึกยิงเข้าใส่พวกบอดี้การ์ด ทำให้พวกนั้นหลบลูกปืนกันอลเวงไปหมดรวมทั้งพวกนักข่าวที่วิ่งหนีเอาตัวรอดด้วย บอดี้การ์ดสาวคนหนึ่งแทรกตัวเข้ามาจนถึงนายสถิตย์ ดันเขาให้รีบเดินเข้าไปในพรรค ปากก็ร้องเร่ง
“เชิญทางนี้ค่ะท่าน...” เธอพาตัวนายสถิตย์เข้าไปในพรรคอย่างรวดเร็ว นายสถิตย์วิ่งตามการดันตัวของเธอ แต่ก็พยายามเอี้ยวตัวมองหน้าแล้วชะงัก
“เธอเป็นใคร...ทำไมฉันไม่เคยเห็นหน้า” ถามเสียงเกรี้ยว
“ฉันเพิ่งเข้ามาทำงานเมื่อวานนี้ค่ะ” พูดไม่พูดเปล่า ยกมือจับต้นแขนนายสถิตย์ลากเข้าหาตัวเองคล้ายกระชาก นายสถิตย์ไม่รู้ว่าขณะนั้นนิ้วที่สวมแหวนมีปลายเข็มแหลมซ่อนอยู่ของเธอได้กดลงฉีดยาเข้าไปในตัวของเขาเสียแล้ว
ooooooo
หญิงสาวคนที่เอาตัวนายสถิตย์เข้ามาในพรรคนั้นชื่อแวววัลย์ ความจริงเธอไม่ใช่บอดี้การ์ด แต่เป็นคนที่ลุยส่งเข้ามาทำงานให้เขานั่นเอง พอลากนายสถิตย์เข้ามาในห้องประชุมได้ แวววัลย์ก็เหวี่ยงนายสถิตย์ลงไปที่เก้าอี้ นายสถิตย์ร้องลั่น
“เบาๆหน่อยก็ได้ ฉันเจ็บ”
“เจ็บก็ดีแล้ว” เธอเสียงเข้มใส่แบบข้าไม่กลัวแก นายสถิตย์เลยจ้องหน้าถาม
“เธอเป็นใครกันแน่...เอ...ฉันไม่เคยอนุมัติให้ใช้บอดี้การ์ดผู้หญิงนี่...”
“เงียบ...ไม่ใช่เวลาถาม...และอย่าพยายามขยับตัวเลย ยาที่โดนไปนั่นจะทำให้นายเป็นอัมพาตไม่ต่ำกว่าห้านาที” พูดแล้วก็หมุนเก้าอี้นายสถิตย์ให้หันเข้าหาจอมอนิเตอร์ แล้วขยับเข้าไปที่โน้ตบุ๊กกดสั่งโปรแกรม ฉับพลันที่หน้าจอก็ปรากฏใบหน้าของลุยเด่นชัดขึ้นมาพร้อมพูดกับแวววัลย์ว่า
“รีบออกไปจากที่นี่แวววัลย์ เดี๋ยวจะไม่ปลอดภัย”
แวววัลย์รีบทำตามคำสั่งถอยออกไป สถิตย์มองหน้าลุยในจอภาพ
“แกเป็นใคร?” เขาถาม
“แล้วแต่แกจะตัดสินใจเอา...ฉันเป็นได้ทั้งนักบุญมาโปรดคนบาป หรืออาจจะเป็นเพชฌฆาตที่มาส่งคนชั่วไปลงนรก...” ลุยตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“แก...แกต้องการอะไร” สถิตย์เสียงสั่นด้วยความกลัว ไม่มีคำตอบที่สถิตย์ถาม แต่กลายเป็นคำสั่งจากลุยมาแทน
“เลิกทำชั่วโกงบ้านโกงเมือง เลิกทำลายชาติบ้านเมืองได้แล้ว นี่คือโอกาสสุดท้ายที่ฉันจะให้ แล้วถอนตัวออกจากพรรคสัจจะด่วน เลิกงานการเมืองทั้งหมด มันถึงเวลาที่จะต้องทำเพื่อบ้านเพื่อเมืองแล้ว นี่คือข้อเสนอ ถ้าไม่...แกจะมีโอกาสอยู่บนโลกใบนี้อีกไม่นาน...”
ภาพบนจอดับไปทันที สถิตย์ดิ้นทุรนทุรายด้วยความโกรธ ปัดขวดและแก้วน้ำบนโต๊ะลงไปแตกกระจายพร้อมกับแหกปากดังลั่นเรียกให้คนเข้ามาช่วย พวกบอดี้การ์ดวิ่งเข้ามาในห้องตรงไปหานายสถิตย์ โดยไม่มีใครแหงนหน้าขึ้นไปดูบนระเบียงห้องโถง ซึ่งแวววัลย์ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเหี้ยมก่อนจะยักไหล่แล้วหันไปเปิดหน้าต่างไว้บานหนึ่งพาตัวไปจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว
ooooooo
นายสถิตย์ตบหน้าบอดี้การ์ดที่อยู่ใกล้เขาเป็นคนแรก พร้อมคำผรุสวาท ด่าเป็นชุดว่าทำงานภาษาอะไรกัน ปล่อยให้พวกศัตรูบุกเข้ามาถึงในพรรค แล้วสำทับว่าให้ไปตามจับผู้หญิงคนที่ปลอมตัวเข้ามาเป็นบอดี้การ์ดคนนั้นมาให้ได้ พวกลูกน้องรีบโทร.ติดต่อกันลนลาน พอดีมีโทร.เข้ามือถือ สถิตย์กดรับ
“ว่าไง...อ๋อ...ถ้าจะให้เซ็นอนุมัติ ฉันต้องการค่าหัวคิวสองร้อยล้าน น้อยกว่านี้ไม่ต้องมาคุยกันเพราะฉันต้องการถอนทุนคืน”
สถิตย์ปิดมือถือยิ้มอย่างสะใจเหมือนจะท้าทายคำพูดของลุยเมื่อกี้ จู่ๆมอนิเตอร์ก็มีภาพลุยปรากฏขึ้น สถิตย์สะดุ้งหันไปมอง เห็นหน้าลุยจ้องมาด้วยนัยน์ตาแข็งกร้าว ตามมาด้วยน้ำเสียงดุๆ
“ตกลงแกเลือกจะลงนรก!”
สถิตย์โกรธจัดปัดโน้ตบุ๊กลงมาแตกกระจาย ภาพลุยหายไปทันที สถิตย์หันรีหันขวางแล้วเดินเข้าลิฟต์กดขึ้นไปบนชั้นสูงสุด ตั้งใจว่าจะไปดูเหตุการณ์อยู่บนนั้น แต่พอลิฟต์เปิดออก เจอเลขาฯสาวยืนอยู่ บอกเขาว่าท่านหัวหน้าพรรค เชิญที่ห้อง สถิตย์เลยต้องกลับเข้าไปในลิฟต์ใหม่ หารู้ไม่ว่าขณะนี้มัจจุราชซึ่งในมือมีปืนพกอยู่ด้วยกำลังยืนรอเวลา ขณะอยู่ในลิฟต์มือถือสถิตย์ดังขึ้น จึงหยิบออกมากดรับ ส่งเสียงฮัลโหลออกไปแต่ไม่มีเสียงตอบ เพราะมัจจุราชลุยรอจนถึงเวลาที่กะไว้แล้วจึงพูดมาทางโทรศัพท์
“พิพากษา...ประหารชีวิต”
จบคำพูดพร้อมเสียงปืนดังเปรี้ยงขึ้น กระสุนนัดนั้นจากลำกล้องปืนของลุยแหวกอากาศพุ่งตรงไปผ่านหน้าต่างที่แวววัลย์เปิดเอาไว้ ไปยังช่องเซอร์วิสลิฟต์ด้านข้างที่เปิดไว้รอแล้วเช่นกัน กระสุนพุ่งตรงเข้าตู้แผงวงจรเหนือลิฟต์ทำให้ไฟช็อต สายไฟและสลิงลิฟต์เด้งหลุดออกมา ไฟแลบแปลบปลาบ ลิฟต์ทั้งลิฟต์หลุดออกจากสลิงพุ่งตามรางลงมาอย่างรวดเร็วก่อนตกลงสู่พื้น สถิตย์ตาเหลือกลาญด้วยความตกใจ
ไม่นานหลังจากนั้น พวกนักข่าวโทรทัศน์ช่องต่างๆก็ไปรายงานยังที่เกิดเหตุ โดยกล่าวกับคนดูว่า ไม่น่าเชื่อว่าท่านสถิตย์ อภิวิริยะกิจอนันต์ ต้องจบชีวิตลงเพราะอุบัติเหตุลิฟต์ตก หลังจากรอดชีวิตจากการลอบสังหารจากมือปืนเพียงไม่กี่นาที ในเบื้องต้นตำรวจวินิจฉัยว่าเป็นอุบัติเหตุ แม้จะมีรายงานว่าชาวบ้านได้ยินเสียงปืนยิงต่อสู้กันหลายนัด สำหรับรายงานข่าวคืบหน้าทางทีมข่าวจะนำมาเสนอต่อไป
ขณะนั้นที่มุมตึก ลุยเดินออกไปพร้อมกับแวววัลย์ซึ่งเดินกะเผลกนิดหน่อยเพราะถูกยิงจากพวกบอดี้การ์ดลุยพาแวววัลย์ขึ้นรถขับออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้จะผ่านการตรวจค้นของตำรวจ แต่ก็ได้ขรรชัย ผู้การตำรวจซึ่งเป็นคนหนึ่งในสมาชิกองค์การนอกกฎหมายช่วยเอาไว้ ขรรชัยเคยเป็นทหารจีไอ หน่วยก่อวินาศกรรมมาก่อน เขาเชี่ยวชาญด้านการใช้ระเบิดมาก แต่มีข้อเสียเรื่องผู้หญิง
ขรรชัยมองตามรถของลุยไปจนลับตา ขณะบอกให้พวกตำรวจถอนกำลังออกจากที่นั่น
ooooooo
กลับถึงบ้านแวววัลย์ ลุยรีบทำแผลให้เธออย่างตั้งอกตั้งใจ เขาบอกว่าโชคดีที่กระสุนแค่ถากไปเท่านั้น แล้วตำหนิตัวเองว่า ไม่ควรดึงแวววัลย์ไปทำงานนี้ด้วยเลย มันเสี่ยงเกินไป แวววัลย์รีบห้าม
“เราสัญญากันแล้วนะคะว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก...บุญคุณที่พี่เคยช่วยแววมาทุกอย่างยังไงแววก็ไม่มีวันลืมหรอกค่ะ”
“แต่พี่ทำให้แววต้องทำผิดกฎหมาย”
“แต่พี่ยอมทำผิดเพื่อความถูกต้องของสังคม แววนับถือน้ำใจพี่ค่ะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแววจะช่วยพี่ตลอดไป” เธอมองเขาด้วยดวงตาสุกใส
ลุยยิ้มตอบ มองเธอด้วยนัยน์ตาของพี่ชายมองน้องสาว ยกมือแตะไหล่บอกว่า
“ขอบใจมาก...ตอนนี้ดึกมากแล้ว...แววพักผ่อนเถอะนะ พี่กลับก่อนละ” ลุยลุกขึ้น แวววัลย์รีบบอกว่า
“แล้วเจอกันค่ะพี่...” มองตามเขาด้วยความรักโดยลุยไม่รู้ตัว
ลุยกลับถึงบ้านตัวเอง พอเข้าไปในห้องก็เห็นรูปแวววัลย์ที่ถ่ายคู่กับสิงห์ผู้เป็นพ่อ เขานึกถึงภาพวันสุดท้ายก่อนที่สิงห์จะตาย คำขอร้องของสิงห์เหมือนจะดังขึ้นมาในหู...ลุย...
พี่ฝากลูกสาวพี่ด้วย ดูแลแวววัลย์แทนพี่ด้วย...แถมคำพูดของตัวเองที่รับปากก็ดังซ้อนขึ้นมา
“พี่สิงห์...ผมจะดูแลแวววัลย์ให้ดีที่สุด”
ลุยถอนใจ รู้สึกผิดที่วันนี้ใช้ให้เธอไปทำงาน จนเธอได้รับบาดเจ็บ
ooooooo
ที่บ้านกริชในห้องทำงาน กริชกำลังคุยกับปกาศิตทางโทรศัพท์อยู่ ปกาศิตชมลุยว่าทำงานได้ดีมากทุกอย่างเป็นไปตามแผน กริชตอบไปว่า เหมือนทุกครั้ง ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไขลุยก็จะทำงานจนสำเร็จ ปกาศิตตอบมาด้วยน้ำเสียงหยันๆ
“มันตั้งใจจะเป็นผู้พิทักษ์คุณธรรมในโลกมืด ฆ่าแต่คนเลวแบบนี้ไปตลอดรึไง โลกเปลี่ยนไปทุกวัน...เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรขาวจัดดำจัดชัดเจนหรอก”
“พูดเหมือนองค์กรของเราจะเปลี่ยนอุดมการณ์แน่ะ”
“บนโลกใบนี้ คนจะยิ่งใหญ่ได้ต้องรู้จักเปลี่ยนตาม โลก พวกจมอยู่แต่กับความสำเร็จในอดีตไม่มีวันเจริญ...เอาเถอะ... คนอย่างไอ้ลุยมันคงไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้...เงินค่าจ้างจะโอนให้พรุ่งนี้ แล้วบอกมันให้เตรียมรับคำสั่งต่อไปได้”
“เพิ่งทำงานเสร็จ มันไม่เร็วเกินไปเหรอที่จะให้รับงานใหม่” กริชถามอย่างกังวล
“ครั้งนี้เป็นเรื่องจำเป็น องค์กรของเรากำลังจะมีการเปลี่ยนแปลง บางทีการอยู่แต่เบื้องหลังมันก็ทำอะไรไม่ได้มาก...เออ เราจะได้คุยเรื่องนี้กันแน่ๆในวันประชุมองค์กร...แล้วเจอกัน...” เขากดปิดบลูธูททันทีด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม
ooooooo
คืนนี้ลุยกลับบ้านค่อนข้างดึกหน่อย แต่ก็ไม่ลืมซื้อโจ๊กไปฝากลูกชายตามที่สั่ง แต่แม้จะกลับดึกยังไง ไทรงามเมียของเขาก็จะนั่งคอยอยู่เหมือนทุกครั้ง ไทร-งามเป็นแม่บ้านที่ดีมากและเธอก็รักสามีมากด้วย
เธอรับถุงโจ๊กจากเขาแล้วรายงานว่าตอนนี้ลูกชายเข้านอนไปแล้ว ลุยเลยเดินไปที่ห้องลูกชาย เจ้าตัวเล็กตื่นทันทีที่พ่อเข้าไปลูบผม แต่ปฏิเสธที่จะกินโจ๊กบอกว่าเอาไว้กินพรุ่งนี้ ตอนนี้ขอนอนก่อน ลุยจึงเดินออกมาหาภรรยาซึ่งชงกาแฟรอท่าไว้ให้แล้ว พอหย่อนก้นลงนั่งข้างสามี ไทรงามก็ถามถึงงานที่ไปทำวันนี้ว่าเรียบร้อยไหม และยังถามถึงแวววัลย์ด้วย ลุยถอนใจก่อนเล่าว่าแวววัลย์บาดเจ็บเล็กน้อย และเลยพูดกับไทรงามว่าเขาอยากจะเลิกทำงานแบบนี้แล้ว
“จะสำเร็จเหรอคะลุย คุณเคยเอ่ยปากมาตั้งแต่ฉันท้องทอมแน่ะ แต่นายไม่เคยอนุญาตเลยสักครั้ง”
“ก็คงต้องลองพูดดูอีกครั้ง ผมไม่อยากเอาคุณกับลูกมาเสี่ยงกับผม”
ไทรงามเอื้อมมือมาจับมือเขาอย่างให้กำลังใจ เธอเอียงหัวลงซบไหล่พลางพูดว่า
“ฉันมั่นใจว่าฉันเลือกหัวหน้าครอบครัวไม่ผิดค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าคุณทำดีที่สุดแล้วค่ะ ลุย”
สองคนนั่งซบกันด้วยความรักและเข้าใจ ก่อนจะพากันไปนอน และคืนนั้นลุยก็ฝันถึงเรื่องราวของสิงห์พ่อของแวววัลย์กับเขาตอนที่ไปทำงานด้วยกัน แล้วเกิดอุบัติเหตุตอนลุยกำลังยิงหัวคนร้ายที่จับตัวสิงห์อยู่นั้น ลูกปืนพลาดไปถูกสิงห์เพราะเขาล้มลงมาพอดี ตั้งแต่นั้นมา ลุยก็เจ็บปวดอยู่ในใจไม่หาย แม้จะไม่ได้มีเจตนาก็ตาม ยิ่งเห็นลูกของสิงห์คือแวววัลย์ที่ฝากเขาไว้ก่อนสิงห์จะตาย ลุยก็จะรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้ง
เช้าวันรุ่งขึ้น ลุยไปวิ่งออกกำลังกาย แอบเห็นแวววัลย์ กำลังใส่บาตรและคุยกับพระว่าวันนี้ครบรอบวันตายของพ่อเธอ ลุยยิ่งปวดใจมาก รู้สึกผิดอยู่ร่ำไปจึงอยากเลิกอาชีพนี้เสียที
พอกลับเข้าบ้านมีอีเมล์เข้ามา กดเปิดดูเห็นข้อความว่าเงินโอนเรียบร้อย ซึ่งหมายถึงเรื่องที่จัดการกับนายสถิตย์นั่นเอง แถมพอเปิดโทรทัศน์ดูก็เห็นนักข่าวกำลังรายงานถึงเรื่องนายสถิตย์เสียชีวิตเพราะลิฟต์ขาด แถมยังย้อนหลังให้ผู้ฟังได้นึกถึงเหตุการณ์ว่าเมื่อต้นปี รัฐมนตรีชื่อยุทธการ กิตติดำรงคุณ ที่ใครๆพูดกันว่าเป็นเจ้าพ่อ สร้างตัวเองจากการค้าอาวุธเถื่อนก็จบชีวิตด้วยรถคว่ำโดยไม่ทราบสาเหตุ และรายต่อมาเป็นนักธุรกิจชื่อดัง คือนายสุรพล จิตต์น้อมวิริยะ ที่มีข่าวว่าอยู่เบื้องหลังเครือข่ายค้ามนุษย์ที่ตายเพราะเกิดเพลิงไหม้จากเหตุแก๊สระเบิดในระหว่างงานเลี้ยง ที่เชื่อกันว่าเป็นการจัดเพื่อต้อนรับเอเย่นต์ค้ามนุษย์ด้วยกัน จนกระทั่งมาถึงกรณีนายสถิตย์เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง
นักข่าวที่รายงานข่าวบอกว่าทั้งสามคนที่ตาย ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุหรืออาชญากรรมก็ตาม แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้สังคมไทยเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น หรือนี่อาจจะเป็นคำพิพากษาจากมัจจุราชคุณธรรมเพื่อความถูกต้องของสังคมไทยอย่างที่ผู้คนกล่าวกันหรือไม่ ไม่มีใครรู้
ลุยถอนใจ ยิ้มเยาะกับสมญานามที่ผู้สื่อข่าวตั้งให้เขา ก่อนจะทรุดลงนั่งบนเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์ กดคีย์ป้อนข้อมูลเป็นตัวเลขแล้วกดเอนเทอร์ หน้าจอระบุข้อมูลออกมาว่า เป็นการโอนเงินเข้ามูลนิธิเพื่อเด็กกำพร้าและด้อยโอกาสจำนวน 1 ล้านบาท
หลังจากนั้นก็มีจดหมายตอบกลับมาว่า มูลนิธิเพื่อเด็กขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์ของท่าน ขณะนี้เด็กกำพร้าในความอนุเคราะห์สามารถสอบเข้าเรียนแพทย์เรียบร้อยแล้ว
ooooooo
คำว่าเด็กกำพร้าที่ทางมูลนิธิตอบมา ทำให้ลุยหวนคิดถึงตัวเองตอนยังเด็กและอาศัยข้าววัดกิน เพราะหลวงลุงเอามาอุปการะไว้ ลุยมีเรื่องชกต่อยกับพวกเด็กวัดเป็นประจำ แต่เขาไม่รังแกใครก่อน นอกจากจะปกป้องเพื่อนๆที่ถูกคนตัวใหญ่กว่ามารังแก ลุยจำได้ว่าวันหนึ่งต้องชกต่อยกับนักเลงใหญ่ที่บุกเข้ามาลักตัดเศียรพระในวัด วันนั้น เขาล้มนักเลงใหญ่ได้ก็ เพราะคำสอนของหลวงลุง
วันนั้นเป็นวันที่ชีวิตเขาเปลี่ยนไปเหมือนกัน เมื่อหลวงลุงพาคนชื่อกริชเข้ามาหา และบอกให้เขากราบกริช และพูดต่อหน้าลุยว่า
“ฝากด้วยนะคุณกริช...ดวงไอ้ลุยความตายขึ้นอยู่ในมือเต็มพรืดไปหมด ช่วยทีเถอะนึกว่าเอาบุญ อบรมมันให้ดี มันจะดี แต่ถ้าร้าย ไอ้นี่จะร้ายยิ่งกว่าโจร...”
จากวันนั้นถึงวันนี้ ชีวิตของลุยก็เปลี่ยนไป เพราะกริชเลี้ยงลุยแบบลูกบุญธรรมส่งให้เรียนจนจบถึงเมืองนอกเมืองนา แต่แล้วชีวิตก็หักเหจนได้ เมื่อวันหนึ่งกริชกำลังเอาปืนชนิดต่างๆออกมาทำความสะอาด แล้วลุยที่ไปด้อมๆ มองๆเกิดถูกใจปืนแม็กนั่ม 357 กระบอกหนึ่ง อดใจไม่ไหวก็เอื้อมมือไปหยิบขึ้นดู แต่โดนกริชดุให้เอาวางไว้ที่เก่า
“ฉันไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องปืนของฉัน”
“ขอโทษครับ” ลุยรีบวางปืน แต่ยังพูดอีก “เอ้อ...ผมว่ามันน่ารักมากเลยครับ”
กริชหัวเราะอย่างขำๆ “เออ...พูดยังกับปืนมันเป็นผู้หญิงงั้นแหละ...เอ้า ชอบก็ลองจับดูซิ”
ลุยรีบจับขึ้นมาดูอย่างดีใจ แถมพูดไปด้วยว่า
“กระบอกมันใหญ่...แต่กระชับมือมากครับ...ผมชอบจัง แต่ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นปืนอะไร ไม่เคยเห็น”
“357 แม็กนั่ม กระบอกนี้เคยยิงคนตายไม่ต่ำกว่า 6 คน แล้ว ถึงจะใหญ่แต่ยิงนิ่มมาก เบา และแน่นที่สุดด้วย” กริช อธิบายอย่างภูมิใจ
“ยิงแม่นหรือไม่แม่นอยู่ที่คนยิง...ไม่ใช่ที่ปืน” คำตอบของลุยทำเอากริชมองหน้า
“มั่นใจในตัวเองเหลือเกินนะ...เอาละ...ฉันเป็นคนไม่เชื่อใครง่ายๆซะด้วยซิ ไป...ไปลองดู ยิงกันคนละนัด ถ้าแกยิงแม่นกว่าฉันยกปืนกระบอกนี้ให้เลย”
“แล้วถ้าผมแพ้นายล่ะ”
“ก็ไม่มีอะไร แค่นอนลงแล้วให้ฉันกระทืบรับความขี้คุยของแก...”
ลุยตอบตกลง และการท้าทายวันนั้นก็จบลงที่กริชต้องเสียปืนกระบอกนั้นให้กับลุยเพราะเขายิงเข้ากลางรูลูกปืนที่กริชยิงไปก่อนหน้านี้ แถมยังคุยทับอีกว่า
“นัดแรกที่ยิง ผมยิงไม่ผิดหรอกครับ ผมตั้งใจยิงลอดรูกระสุนเดิมที่นายยิงต่างหาก...ขอบคุณนะครับนายกับปืนกระบอกนี้...” ลุยคว้าปืนไปกอดอย่างดีใจ
ระหว่างทางเดินจากสนามที่ลองปืน ลุยลูบๆคลำปืนในมือแบบไม่ยอมให้ห่างตัว กริชเดินออกหน้าแต่หันกลับไปมองลุยอยู่เรื่อยๆ แล้วในที่สุดก็หยุดเดิน หันไปบอกลุยว่าหยุดคุยเดี๋ยว ลุยรีบถามว่าจะเปลี่ยนใจยึดปืนคืนเหรอ กริชส่ายหน้า
“เปล่า...ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ฉันให้ปืนแล้วไม่ให้กระสุนได้ยังไงจริงมั้ย”
กริชโยนกระเป๋าใส่กระสุนให้ลุย ลุยยิ้มแป้นรับมาเปิดดู เห็นกระสุนเรียงรายอยู่ในซองแบบรูดซิบเต็มไปหมด ยกมือไหว้ติดๆกันหลายครั้ง
“ขอบคุณครับนาย...”
กริชพยักหน้ารับ พอดีลูกน้องของกริชคนหนึ่งวิ่งมาหากริชด้วยท่าทางตกใจ ละล่ำละลักบอกว่าแย่แล้วๆอยู่นั่น จนกริชต้องถามว่าเกิดอะไรขึ้นจึงตอบได้ว่า มีๆ...แต่ยังพูดไม่จบก็มีเสียงปืนดังเปรี้ยงแล้วลูกน้องของกริชคนนั้นก็ล้มลงไปต่อหน้าต่อตา ลุยรีบดึงตัวกริชเข้าหลบกระสุนอีกทางหนึ่ง มองไปเห็นพวกกะเหรี่ยงดาหน้าเข้ามาสาดกระสุนใส่พวกกริช ลุยเลยพากริชหลบไปอีกทาง ไปเจอลูกน้องกริชสองคนอยู่ตรงนั้นพอดี กริชถามว่าพวกที่มาก่อกวนเป็นใคร ลูกน้องตอบว่า
“นายถูกหักหลัง ไอ้พะอีซอเพื่อนของนาย มันนำพวกคนงานต่างชาติมาเก็บนายครับ มันบอกต้องการทั้งเงินทั้งชีวิตของนาย” พูดจบก็หันไปยิงสู้กับพวกบุกรุกโดยกริชยิงด้วย ลุยมองสถานการณ์แล้วทำท่าไม่สบายใจบอกกริชว่า
“พวกมันอยู่ในที่ที่ดีกว่าเรา เราอยู่ในที่โล่งและต่ำกว่า เสียเปรียบมัน”
“แล้วเอาไงดี สัญญาณโทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้ เรียกหาคนมาช่วยไม่ทันแน่”
ลุยนิ่งคิดพลางหันไปมองต้นไม้ดูทิศทางลม เขายิ้มออกมาได้ บอกกับกริชว่าเขาจะทำให้พวกนั้นเสียเปรียบให้ได้ แล้วสั่งให้กริชและคนงานนั่นช่วยยิงคุ้มกันให้เขาด้วย และพูดอย่างมั่นใจกับกริชอีกว่า
“ผมจะทำให้พวกมันวิ่งออกมาจากที่ซ่อน โผล่ให้นายยิงแบบตัวเป็นๆเลย”
ลุยผละไปอย่างรวดเร็ว กริชเลยสั่งลูกน้องให้ยิงคุ้มกันให้ลุย ซึ่งขณะนี้เขาวิ่งไปที่รถจี๊ป ถลาเข้าใต้ท้องรถแล้วเปิดฝาน้ำมันออก เอาผ้าที่ห้อยอยู่ข้างรถยัดเข้าไปในถังน้ำมันให้มีชายผ้าห้อยอยู่ เขาจุดไฟที่ปลายผ้าผืนนั้นแล้วโดดขึ้นรถขับออกวนเป็นวงกลมจนน้ำมันที่ถูกผ้าลากอยู่กระจายกว้าง หลังจากนั้นก็เอาเชือกมัดพวงมาลัยไว้กับเกียร์ กะจังหวะให้รถวิ่งผ่านป่ารกที่พวกเหล่าร้ายซุ่มอยู่ แล้วถีบตัวออกจากรถอย่างรวดเร็วกลิ้งไปหลบอีกมุมหนึ่ง โดยที่รถคันนั้นวิ่งตรงไปยังบริเวณที่คนร้ายหลบอยู่แล้วเสยเข้ากับต้นไม้ต้นหนึ่ง ไฟที่ลุกอยู่ปากถังน้ำมันลุกพึ่บขึ้นทันทีพร้อมกับเสียงระเบิดของรถ แถมยังลุกลามไปทั่วบริเวณที่ลุยลากผ้าราดน้ำมันเมื่อกี้
กริชร้องบอกลูกน้องว่า “ไฟติดลุกลามไปทั่วแล้ว เราอยู่เหนือลม...ลมกำลังพัดทำให้ไฟคลอกพวกมัน!”
“ผึ้งแตกรังแล้วครับนาย เลือกยิงตามสบายเลย”เสียงลุยพูดอยู่ข้างๆตัว กริชยิ้มอย่างชอบใจ
ทั้งฆ่าตายทั้งจับเป็นพวกกะเหรี่ยงนั่นแล้วแต่กริชก็ยังไม่วางใจ เขากับลูกน้องจึงยังกุมสถานการณ์อยู่ที่นั่นจนถึงกลางคืน กริชเดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างลุยชมว่าฝีมือของลุยเยี่ยมกว่าที่เขาคิดไว้มาก และต้องขอบใจลุยด้วยเพราะลุยมี บุญคุณกับเขาและคนงานที่นี่
ลุยส่ายหน้า “บุญคุณอะไรกันครับ นายชุบเลี้ยงผม...
แค่นี้ผมก็ทดแทนบุญคุณไม่มีวันหมดแล้วครับ”
เสียงมือถือดังขึ้น กริชกดรับสายแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเสียงปกาศิตดังมาว่าเขาเพิ่งรู้เรื่องที่เกิดขึ้น แล้วถามตรงๆว่า
“ได้มือดีมาทำงานด้วยใช่มั้ยกริช...”
“เอ้อ...ก็แค่เด็กใหม่” กริชอึกอัก
“เด็กใหม่ แต่ฝีมือไม่ใหม่ ฉันต้องการให้รับเด็กคนนี้เข้าทำงานในองค์กรของเรา...ไม่ต้องปฏิเสธอะไรทั้งสิ้น ไอ้ลุยต้องเข้าทำงานที่องค์กรตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” พูดจบก็ตัดสายทันที กริชหันมามองลุยด้วยความไม่สบายใจ ลุยถามว่ามีอะไรเหรอ กริชตอบว่า
“นายใหญ่ต้องการรับแกเข้าทำงานด้วยที่ในองค์กร”
กลับถึงบ้าน กริชคุยกับลุยสองต่อสอง เขาเล่าให้ฟังว่า เขาเองก็ทำงานให้กับองค์กร และอธิบายเมื่อลุยถามว่าองค์กรอะไร
“เป็นองค์กรนอกกฎหมาย...มีสมาชิกเป็นนักธุรกิจและผู้นำในสังคมหลายคน...เอ้อ...เกือบร้อยคนเห็นจะได้...พวกเราทำงานนอกกฎหมายทุกประเภท โดยมีจุดประสงค์เพื่อทำให้สังคมนี้น่าอยู่ขึ้น...องค์กรของเรารับจ้างฆ่าคนที่ทำผิด ทั้งนักการเมืองโกงชาติที่ต้องการกอบโกยอำนาจ หรือพวกเจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพลที่อยู่เหนือกฎหมาย”
กริชอธิบายถึงหน้าที่ที่ต้องกระทำอย่างหมดเปลือก และสรุปว่า “คนชั่วเท่านั้น...ที่จะถูกพิพากษาให้ตายโดยองค์กรของเรา...”
กริชมองหน้าลุยก่อนจะกล่าวประโยคสุดท้ายออกมาว่า
“จะทำหรือไม่...ทุกอย่างเป็นสิทธิ์ของนาย แต่ตอนนี้องค์กรเลือกนายให้ทำงานด้วยแล้ว”
ooooooo
ลุยยังนั่งอึ้งอยู่ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์แม้จะนึกถึงความหลังจนจบไปแล้ว เขานั่งมองตราสัญลักษณ์ขององค์กรอยู่ด้วยแววตาครุ่นคิด หันตัวไปหยิบปืนแม็กนั่มขึ้นมาดูนิดหนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงไทรงามถามว่า
“คิดถึงความหลังเก่าๆอีกแล้วเหรอคะ...เหตุการณ์ทั้งหมดมันผ่านมาหลายสิบปีแล้วนะคะ”
“หลายสิบปี...กับหลายสิบชีวิตที่ต้องตายเพราะปืนกระบอกนี้”
“คุณเลือกทำผิดเฉพาะกับคนที่สมควรลงโทษนี่คะ”
“แต่มันก็เป็นตราบาปอยู่ดี ผมไม่สบายใจเลยที่ต้องทำงานแบบนี้”
ไทรงามเดินเข้ามาโอบไหล่เขา บอกว่า “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอนะคะลุย ครอบครัวของเราจะก้าวผ่านมันไปด้วยกัน...”
พูดไม่ทันจบ ทอมลูกชายของสองคนก็วิ่งตื๋อเข้ามาบอกว่าถึงยังไงครอบครัวนี้ก็ต้องมีเขาอยู่ด้วยแน่ๆ ทำเอาพ่อกับแม่อดหัวเราะไม่ได้ ทอมเข้ามาชวนพ่อให้รีบไปส่งเขาเพราะจะต้องแวะรับเพื่อนชื่อบอยซึ่งเป็นลูกของเดือนเพื่อนรักของลุยไปโรงเรียนด้วยกัน พอไปถึงบ้านนั้นบอยก็คอยอยู่แล้ว แถมเดือนพ่อของบอยยังร้องสั่งลุยว่าฝากบอยด้วย และวันนี้โรงเรียนเลิกให้รับบอยกลับไปที่บ้านของลุย เขาเสร็จงานแล้วจะไปรับกลับ ที่เดือนพูดอย่างนี้ ก็เพราะว่าบอยกำพร้าแม่นั่นเอง ลุยพยักหน้ารับคำสั่งเพื่อนที่ขาดเมียแล้วก็เลยคิดถึงเรื่องระหว่างเขากับไทรงามตอนยังหนุ่มยังสาวที่เพิ่งรู้จักกัน
ooooooo
เขาคิดถึงเมื่ออดีตที่ยังอยู่ต่างจังหวัด เพิ่งจะย้ายไปอยู่อำเภอนั้นได้เพียงวันเดียวก็รู้จักกับไทรงามเพราะเธอเป็นลูกสาวของเจ้าของร้านอาหารตามสั่ง ไทรงามเป็นคนเอาอาหารที่เขาสั่งมาเสิร์ฟให้ สองคนคุยกันพักเดียวเหมือนได้รู้จักกันมาเป็นปี
แล้วก็มาถึงเหตุการณ์ที่ไทรงามถูกพ่อยกให้กับเส่ย หนุ่มเจ้าของโรงเลื่อยหัวไม้ มีลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลังเวลาไปไหนไม่เคยเห็นหัวคน วันนี้มาทวงหนี้ที่ร้านเตี่ยของไทรงามจึงพูดจาข่มขู่จะเอาลูกสาวไปเป็นเมียให้ได้ เตี่ยจำเป็นต้องยกให้โดยเส่ยบอกว่าจะจัดงานแต่งงานวันพรุ่งนี้ ไทรงามรู้เรื่องร้องไห้เป็นวักเป็นเวร แต่ไม่สามารถขัดเตี่ยกับแม่ได้
วันรุ่งขึ้นจึงต้องเข้าพิธีแต่งงานด้วยน้ำตาอาบหน้า
และวันนั้นเอง ลุยก็ลุยเข้าไปในงานสมชื่อ กำราบลูกน้องของเส่ยจนเรียบไม่เหลือ แล้วอุ้มไทรงามขึ้นมอเตอร์ไซค์ขับข้ามหัวเส่ยออกไปหน้าตาเฉย แต่เส่ยที่เก่งแต่ปากไม่กล้าหือ
ลุยพาไทรงามไปที่บ้านหลังหนึ่ง บอกกับเธอว่า สองคนจะหลบอยู่ที่บ้านหลังนี้สักพักหนึ่ง เพราะเส่ยอาจจะส่งคนไปเที่ยวตามหาจนทั่วเมืองก็ได้ ไทรงามถามว่าพ่อของเส่ยเป็นผู้มีอิทธิพลเขาไม่กลัวหรือ ลุยถามกลับทำไมต้องกลัว ทำเอาไทรงามอึ้งและนึกชอบลุยขึ้นมา
“คืนนี้นอนห้องนี้แหละ เสื้อผ้าฉันเตรียมไว้ให้แล้ว คิดว่าคงใส่ได้”
ไทรงามเดินไปเปิดตู้ ในนั้นมีเสื้อผ้าแขวนอยู่หลายตัว ลุยยังบอกอีกว่า เขาเดาๆเอาว่าเธอใส่เสื้อผ้าเบอร์อะไร พูดแล้วก็ทำท่าเขินๆกันทั้งคู่ พอถึงกลางคืนลุยก็บอกให้ไทรงามนอนบนเตียง เขาจะนอนข้างฝานี่เอง
ลุยทำตามที่ปากพูดไว้ ตลอดเวลาเจ็ดคืนเขานอนอยู่ที่เก่าจนไทรงามรู้สึกสงสาร จนในที่สุดก็เรียกให้ลุยขึ้นไปนอนด้วยกันบนเตียง และตั้งแต่นั้นมาสองคนก็อยู่ด้วยกันจนมีลูกคนหนึ่งซึ่งก็คือทอมนั่นเอง
ooooooo
ลุยชะงักความคิดเมื่อรถแล่นมาถึงโรงเรียนของเด็กทั้งสอง เสียงทอมร้องดังลั่นว่าถึงโรงเรียนตามแผนที่วางไว้เลย เพราะบอยพูดไว้ว่า พ่อลุยของทอมจะขับรถถึงหน้าโรงเรียนภายในเวลา 31 นาที 20 วินาที
“ตรงเป๋งเลยครับ” บอยสนับสนุนเพื่อน ส่วนลูกชายเขายกนิ้วให้บอกว่าแน่จริงๆ ลุยเลยบอกว่า
“ไปเรียนหนังสือกันได้แล้ว ช้าเกินกว่านี้อีกสักวินาทีอาจจะสายได้”
สองคนยกมือไหว้สวัสดีแล้วลงจากรถ ลุยร้องบอกว่า “วันนี้อาไทรงามจะมารับนะครับ...บ๊ายบาย” เด็กสองคนพากันเข้าไปในโรงเรียน ลุยขับรถกลับ ขณะกำลังติดไฟแดงอยู่มีโทรศัพท์เข้า พอรู้ว่าเป็นกริช ลุยจึงตอบรับ เสียงกริชพูดมาเร็วจี๋
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วลุย”
“มีอะไรครับ” ลุยชักเกร็ง
“เดือนเพื่อนรักของแกถูกสายหักหลัง พวกมันเป็นสายลับสองหน้า ตอนนี้เดือนถูกล้อมอยู่ที่โกดังเก็บของริมน้ำ”
“เตรียมคนของเราให้พร้อมนะครับนาย ผมจะไปช่วยเดือนเดี๋ยวนี้”
จบการพูดพร้อมกับไฟเขียวพอดี ลุยตบเกียร์ขับรถพุ่งตรงไปยังที่หมายอย่างรวดเร็ว
เดือนเพื่อนลุยกำลังถูกพวกสายลับสองหน้าทรมานอยู่ในโกดังริมน้ำสายหนึ่ง โดยใช้โซ่สำหรับมัดของผูกโยงห้อยหัวลงมากับขื่อกลางโกดัง เขาถูกเตะถีบรุมซ้อมจนตัวแกว่งไปมาในอากาศพร้อมการสอบเค้นเอาความจริง
“พวกเอ็งอยู่ที่ไหน...บอกมา” สายลับคนนึงตวาดถาม
แต่เดือนกลับหัวเราะแทนคำตอบ ยังผลให้พวกมันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เจ้าคนที่ถามเมื่อกี้รู้สึกเสียหน้าเลยยิ่งโมโห
“หัวเราะหาพ่อมึงหรือไงวะ”
“พ่อข้าตายไปนานแล้ว” คราวนี้เดือนตอบมัน แล้วหัวเราะอีก
“แล้วเอ็งหัวเราะหาพระแสงด้ามยาวอะไร”
“ก็หัวเราะที่พวกเอ็งกำลังจะไปเจอพ่อข้าไง...” จบคำพูดพร้อมกับเหวี่ยงตัวเต็มแรงเอาโซ่ที่เหลืออีกด้านไปรัดคอวายร้ายคนหนึ่งที่อยู่ใกล้สุด ไอ้หมอนั่นตาเหลือกลาน พวกที่เหลือยกปืนจะยิงเดือน แต่เดือนใช้ความไวก้มลงล้วงปืนจากไอ้คนที่โดนเขาเอาโซ่รัดคอไว้ยิงใส่ไปก่อน แถมยังเอาไอ้คนที่อยู่ในกำมือแล้วเป็นกำบังให้ตัวเองอีก เสียงปืนยิงโต้ตอบกันดังหูดับตับไหม้
ด้านนอกโกดังรถกระบะของพวกมันที่ยกกำลังมาเสริมวิ่งเข้ามาจอด พอได้ยินเสียงปืนก็พากันโดดพรวดวิ่งเข้าไปในโกดังพร้อมอาวุธครบมือทั้งสิบคน
ooooooo
ข้างในโกดังพวกที่ซ้อมเดือนอยู่ถูกเดือนยิงตายหมดแล้ว เดือนจึงเงยหน้าเล็งปืนไปที่โซ่บนขื่อพร้อมกับเหนี่ยวไก แต่รู้สึกแปลกใจที่เขายิงไปนัดเดียวทำไมจึงมีเสียงปืนดังตัดโซ่หลายนัด พอก้มลงมองจึงเห็นพวกที่เพิ่งเข้ามาใหม่กำลังช่วยยิงด้วย และตอนนี้โซ่ก็ขาดลงมาแล้ว เดือนตกแอ้กลงมากับพื้น พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นปืนสิบกระบอกกำลังจ่อมาที่เขา
“เฮ่อ...นึกแล้ว ว่ามันต้องไม่ง่ายอย่างที่คิด” เดือนพึมพำกับตัวเอง เอื้อมมือไปหยิบปืนที่ตกลงมาด้วยก็โดนไอ้คนหนึ่งเตะปืนจนกระเด็น พอหันไปมองหน้าคนเตะก็เจอลูกเตะอีก และมันช่วยกันเตะส่งเขาไปให้กันทีละตีนจนรอบวง เดือนช้ำจนแทบยืนไม่ไหว
พวกมันเห็นอาการเขาก็หยุดเตะ เจ้าคนหนึ่งล็อกเขาให้ยืนขึ้นพลางเอาปืนจ่อหลัง
“พวกเอ็งที่เหลืออยู่ที่ไหน”
“ข้าไม่เสวนากับพวกหมารับใช้” เดือนตะคอกใส่
“งั้นก็ตายไปซะ” มันจ่อปืนใส่ แต่ยังไม่ทันลั่นไก เสียงมอเตอร์ไซค์ดังกระหึ่มขึ้น ก่อนที่จะเห็นว่าแทนที่จะเข้ามาทางประตูมันกลับพุ่งเข้ามาทางหน้ากระจก เสียงเพล้งของกระจกที่ร่วงลงพื้นยังไม่ทัน สิ้นเสียงมอเตอร์ไซค์คันนั้นก็พุ่งลงมากลางวงล้อมของพวกมันเหมือนปาฏิหาริย์ พวกมันยิ่งประหลาดใจกำลังสอง เพราะคนขับเข้ามาเป็นผู้หญิง
แวววัลย์เปิดหมวกออก สะบัดผมให้ดูซะด้วย ยังไม่ทันตั้งสติพวกมันก็โดนเธอกราดปืนยิงใส่จนตายไปหลายคน พวกมันโดดหลบอย่างอกสั่นขวัญหาย แวววัลย์ขับมอเตอร์ไซค์ฉวัดเฉวียนไล่ยิงพวกที่เหลือ พร้อมกับตะโกนบอกเดือน
“พี่เดือน มาทางนี้เร็ว...” พลางขับรถพุ่งเข้าไปจะรับ มือปืนคนหนึ่งตวัดโซ่เข้าไปในล้อทำให้รถเสียหลักล้มลง แวววัลย์กลิ้งไปบนพื้น เดือนเข้าไปช่วย สองคนหันหลังชนกันต่อสู้กับพวกที่เหลือห้าคนนั่น คนหนึ่งกระชากตัวแวววัลย์ไป แล้วเอาปืนจ่อที่เอวเธอ
“อยากเห็นนังนี่ตายมั้ย...” มันถามเดือน แต่แวววัลย์ ตะโกนบอกว่า
“พี่เดือน ไม่ต้องห่วง...ฉันยอมตาย...” แวววัลย์ร้องบอกเดือนไม่ทันขาดเสียง ฉับพลันมีเสียงดังครืดๆที่ประตูโกดัง ทุกคนหันไปมอง เห็นแผ่นเหล็กบานประตูพะเยิบพะยาบ แล้วก็หงายออกไป มองเห็นรถคันหนึ่งกำลังลากบานประตู พวกวายร้ายสามคนผละจากเดือนกับแวววัลย์หันไปยิงใส่รถคันนั้นทันที
เดือนกับแวววัลย์รู้เลยว่าเป็นใครไปไม่ได้นอกจากลุยที่มาช่วย จึงร้องตะโกนพร้อมกันให้ลุยระวัง มือปืนคนหนึ่งรีบล้วงระเบิดขว้างไปที่รถ พอเสียงระเบิดดังขึ้นไฟก็ลุกท่วมรถ พวกมันหัวเราะร่า
“นี่เหรอวะ ลุย หล่มสัก ที่เขาว่าฝีมือระดับยมทูต...ถุย...”
เดือนโกรธจัด ตวัดศอกเข้าใส่มือปืนที่ยืนอยู่ข้างๆตัวจนมันล้มคว่ำ เขาวิ่งไปที่รถของลุย แต่โดนอีกคนหนึ่งยิงใส่เข้าไหล่เดือนจนล้ม แวววัลย์ฮึดสู้เลยโดนมือปืนอีกคนหนึ่งตบด้วยปืนจนหน้าคว่ำ แถมเตะเข้าที่กลางลำตัวอีกพลั่ก แวววัลย์ จุกจนร้องไม่ออก
เดือนเห็นสภาพของแวววัลย์แล้วฮึดขึ้นมาอีก พยายามจะเข้าไปช่วย แต่เขากลับโดนยิงซ้ำเข้าที่ขาอีกนัดหนึ่ง เดือนลงคลาน มือปืนอีกคนขยับเข้ามายกแขนเหยียดปืนตรงไปที่ร่างของเดือนซึ่งอยู่ไกลจากมันนิดหน่อย กะว่าคราวนี้จะเอาให้ตายไปเลย เดือนหันมาเห็นแต่ช่วยอะไรตัวเองไม่ได้แล้ว คิดว่าคราวนี้คงตายแน่
“ปัง...” ไอ้เจ้านั่นลั่นไกปืนทันที เดือนเห็นกระสุนพุ่งตรงเข้าหาจึงหลับตา
“เปรี้ยง...” เสียงกระสุนดังขึ้นจากมุมสูงใต้หลังคานัดหนึ่ง และกระสุนนัดนั้นเองที่พุ่งมาชนกับกระสุนที่มือปืนยิงเดือน สะเก็ดลูกปืนทั้งสองนัดแตกละเอียดกลางอากาศพร้อมเสียงเปรี้ยงอีกนัด คราวนี้เจาะเข้ากลางอกมือปืนอีกคน เดือนเงยหน้ามอง ยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นลุยยืนอยู่บนนั้น
ลุยโหนโซ่ลงมาจากหลังคา ขณะเดียวกันก็เก็บพวกมือปืนไปด้วยทีละคนตายเรียบ พอถึงพื้นก็วิ่งเข้าหาทั้งคู่ แซวเพื่อนว่า
“ปล่อยให้พวกสวะลูบคมได้ยังไงวะ...เสียชื่อเดือน แรมกล้าหมด” ยิ้มให้อีก แต่เดือนไม่ยิ้มตอบกลับร้องบอกลุยให้ระวัง ลุยม้วนตัวกลับกดไกปืนอีกครั้งเพื่อส่งเจ้าคนที่วิ่งมาจากข้างนอกไปพบเพื่อนมัน แล้วร้องบอกสองคนนั่นว่า
“ไม่เหมาะแน่ อยู่ที่นี่เป็นเป้านิ่งอย่างเดียว” เอาแขนคล้องไหล่เพื่อนดึงขึ้นมาพลางร้องบอกแวววัลย์ให้ไปหารถมารับเดือน
ออกมาด้านนอก ขณะรอแวววัลย์ไปหารถ ลุยบอกกับเพื่อนว่า
“ฉันรู้ว่าตอนนี้กระสุนมันยังไกลหัวใจแกอยู่...แต่อยากรู้ว่าพวกมันเป็นพวกไหนวะเดือน”
“ตำรวจชั่วกลุ่มหนึ่ง มันส่งสายมาล่อซื้อของนายกริช แล้วดัดหลังจะฮุบทั้งเงินทั้งของ กะให้ฉันเปิดปากโยงไปถึงนายใหญ่...”
ลุยส่ายหน้า “มันไม่รู้รึไงว่าเล่นอยู่กับใครน่ะ”
เดือนยังไม่ทันจะพูดอะไรอีก มีเสียงปืนกระหน่ำยิงมาจากตู้คอนเทนเนอร์ ลุยกดหัวเดือนให้หมอบลงแล้วหันไปจัดการพวกที่อยู่บนนั้นทีละคนจนหมด พอดีแวววัลย์ขับรถเก่าบุโรทั่งที่หาได้แถวนั้นเข้ามาจอด ลุยจึงลากเดือนขึ้นรถ ระหว่างทางยังเจอกับการตามล่าตามล้างอีกจนแวววัลย์ต้องขับรถลงในคลองทำเอาเดือนเกือบตาย แต่ลุยถึงยังไงก็ไม่ยอมทิ้งเพื่อน แม้กระทั่งสุดท้ายยังถูกตามล่าด้วยเครื่องยิงระเบิด แต่ในที่สุดลุยก็พาเพื่อนรักและแวววัลย์มาถึงบ้านเขาจนได้
ooooooo
ลุยพาเดือนมาทำแผลที่บ้านเขาโดยไทรงามเป็นคนทายาและผ้าพันแผลให้ พอรู้สึกตัวขึ้นมาได้ เดือนกล่าวขอบใจแวววัลย์กับลุย ลุยยิ้มให้เพื่อนบอกว่าจะขอบใจเขาทำไม เขาจะปล่อยให้เพื่อนรักอย่างเดือนตายไม่ได้หรอก สองคนยิ้มให้กันอย่างมิตรแท้
ขณะที่ไทรงามไปหยิบกล่องพยาบาลข้างนอกห้อง เจอแวววัลย์นั่งกอดอกหนาวสั่นอยู่มุมหนึ่ง ไทรงามรีบเข้าไปถามว่าทำไมไม่เข้าไปในบ้าน แวววัลย์บอกว่าเกรงใจไทรงาม ไทรงามร้องโธ่ แล้วเข้าไปกอดแวววัลย์ เอาผ้าขนหนูคลุมตัวที่เปียกปอนให้ บอกว่า
“อย่าคิดว่าที่นี่เป็นที่อื่นเลยนะ...เธอทำงานกับลุย...ลุยเขาเล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟังอยู่ตลอด...คิดเสียว่าเธอมีพี่สาวชื่อไทรงาม ที่จะคอยห่วงคอยดูแลเธออีกคนนะจ๊ะ”
แวววัลย์รู้สึกซาบซึ้ง ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดอยู่ในใจที่ตัวเองไปชอบลุยซึ่งเขามีเมียอยู่แล้ว แถมยังเป็นเมียที่ดีอีกด้วย
ไทรงามเข้าไปในห้อง เห็นเดือนหน้าซีด ปากขาว นอนไม่รู้สึกตัวอยู่บนที่นอน เธอรีบบอกสามีว่าเดือนจะต้องผ่าตัดแน่ๆ แต่ตอนนี้จะเอาหมอมาจากไหน ลุยรีบโทร.ไปบอกกริชทันที ไม่นานหลังจากนั้นหมอก็มาถึงบ้านพร้อมกับพยาบาลและลงมือรักษาเดือนโดยด่วน
ขณะที่หมอรักษาเดือนอยู่ แวววัลย์ ไทรงามและลุยต้องออกไปนอกห้อง ไทรงามหน้าเครียดถามลุยเบาๆว่า ถ้าคนที่อยู่บนเตียงนั่นเป็นเขาล่ะ ลุยนึกรู้ว่าไทรงามหวาดหวั่นจึงปลอบว่า
“วันนี้เดือนแค่โชคร้ายไปหน่อย...อย่ากังวลเลยไทรงาม มันจะไม่เกิดขึ้นกับผมหรอก”
“ทำไมคุณมั่นใจขนาดนั้น ชีวิตคนทุกคนมีค่าเสมอนะคะ ถึงเขาจะเป็นคนเลวที่สุดก็เถอะ...คนพวกนั้นมีค่าสำหรับญาติพี่น้อง มีคนข้างหลังที่ต้องรับความสูญเสีย...วันหนึ่งความเจ็บชํ้าจะทำให้พวกเขาต้องมาแก้แค้น แล้วถึงวันนั้นฉันกับทอม...ก็จะต้องกลายเป็นคนที่ต้องร้องไห้นํ้าตาแทบเป็นสายเลือด ที่ต้องเสียคุณไปให้กับงานที่ไร้มนุษยธรรม...” ไทรงามเดินหนีไป ลุยคอตก แวววัลย์ขยับเข้ามาใกล้เขา ปลอบว่า
“ตอนนี้คุณไทรงามเธอกำลังกลัว คงไม่ได้ตั้งใจว่าพี่ หรอกค่ะ”
“ไทรงามพูดถูก แวววัลย์...” ลุยตอบเบาๆ “มือของ เราเปื้อนเลือด ต่อให้เราเลือกแล้วว่าเป็นเลือดชั่วก็เถอะ สักวันมันต้องพลาด...”
ลุยมองแวววัลย์แล้วนึกถึงความหลังที่เคยพลั้งมือฆ่าสิงห์พ่อของแวววัลย์
“บาปที่ทำร้ายคนดีจะติดตัวเรา...เหมือนเงา...สลัดเท่าไหร่มันจะยิ่งเกาะกุมในใจ...” ลุยมองแวววัลย์อีก ภาพวันที่สิงห์ถูกเขายิงพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจวันนั้นชัดขึ้นในความคิดเมื่อเธอบอกว่า
“มันควรจะหยุดที่ฉัน...ฉันไม่น่าพาเธอมาเดินเส้นทางสายนี้เลยแวววัลย์”
“ฉันเต็มใจค่ะ ถ้าไม่มีคนที่ชื่อลุย ป่านนี้เด็กกำพร้าอย่างฉันก็คงเร่ร่อนไม่มีอนาคต ไม่ว่าใครจะว่าพี่ยังไง แวววัลย์คนนี้จะนับถือบูชาพี่...เหมือนพ่อผู้ให้กำเนิด...”
ลุยยิ่งฟังยิ่งรู้สึกเสียดแทงใจ เขาเดินหนีออกไปจากตรงนั้นทันที สายตาแวววัลย์หมองลง มองไปเห็นภาพถ่ายของลุยในกรอบรูปและอีกหลายภาพที่ถ่ายกับครอบครัว แวววัลย์ เดินไปหยิบภาพเดี่ยวของลุยมาถือไว้
“พี่ลุย...พี่สำคัญกับชีวิตของฉัน...ยิ่งกว่ารัก...ยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างค่ะ...”
ooooooo
เย็นวันนั้น ไทรงามเป็นคนขับรถไปรับเด็กสองคนที่โรงเรียน จอดรถแล้วไทรงามก็ไม่เปิดประตูออกไป เพราะมัวแต่นั่งเหม่อคิดถึงแต่เรื่องงานที่ลุยกับเพื่อนๆทำอยู่ เธอรู้ว่ามันเป็นงานที่อันตรายมากหมายถึงชีวิตทีเดียวถ้าพลาด จนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูรถ เธอจึงสะดุ้ง หันไปดู เห็นลูกชายตัวเองกับเพื่อนยืนอยู่
“แม่...แม่ครับ...แม่เป็นอะไรใจลอยฟิ้วเลย ประตูรถก็ไม่เปิด”
ไทรงามรีบกดล็อกเปิดประตูให้ พอลูกชายกับเพื่อนขึ้นนั่ง เธอรีบขอโทษ
“ขอโทษนะจ๊ะ...แม่กำลังคิดว่า...” พยายามหาข้ออ้างแต่ยังนึกไม่ออก ลูกชายรีบต่อให้
“แม่กำลังคิดว่า...เย็นนี้จะทำอะไรให้พวกเรากินดีใช่ไหมครับ” ไทรงามรับสมอ้างว่าใช่ เด็กสองคนชูมือร้องเย้อย่างถูกใจ ไทรงามออกรถทันที แต่พอถึงบ้านทอมกับบอยจะจับประตูรถ ไทรงามรีบร้องห้ามว่าอย่าเพิ่งลง บอยกับทอมสงสัย
“ทำไมล่ะครับ...มีอะไรในบ้านหรือเปล่า...อ๋อ...รู้แล้ว... มีมนุษย์ต่างดาวบุกโลกอยู่ในบ้านเราแน่ๆเลย”
ทอมพูดเพราะชินกับเรื่องนี้มาก พ่อกับแม่ชอบพูดบ่อยๆ เด็กสองคนหัวเราะกันลั่น แต่ไทรงามไม่ขำด้วย กำชับอีกว่า
“ห้ามลงจากรถ จนกว่าแม่จะมา เข้าใจมั้ย” ไทรงาม เสียงเครียด ก้าวลงจากรถไป บอยถามเพื่อนว่า
“ทอม...ทำไมวันนี้คุณอาไทรงามเป็นอะไร ไม่ เห็นยิ้มเลย”
ทอมไม่มีคำตอบให้เพื่อน แต่กลับชวนเพื่อนลงจาก รถเข้าบ้านโดยไม่ฟังคำสั่งของแม่ ไทรงามที่ลงก่อนรีบตะโกน เพื่อส่งสัญญาณให้สามี
“ลุย...แวววัลย์ ลุย...ลูกกลับมาแล้วนะคะ...”
กำลังเอื้อมมือจะเปิดประตูห้อง เสียงทอมก็ร้องเรียก พ่ออยู่ข้างหลังเธอนั่นเอง
“พ่อครับ...ผมกลับมาแล้วครับ”
ไทรงามสะดุ้งหันขวับไปดู เด็กชายสองคนยืนยิ้มแป้น หิ้วกระเป๋าหนังสืออยู่ เธอแทบเป็นลม ดุสองคนนั่นด้วยเสียงเข้มๆ แต่ประตูถูกเปิดออกมาพร้อมเสียงของลุย
“ไม่เป็นไรหรอก ไทรงาม...ยังไงผมกับเดือนก็มี เซอร์ไพรส์พร้อมแล้ว”
ไทรงามรีบหันกลับมาดู แต่เด็กๆสองคนต่างคนต่าง โผเข้ากอดพ่อตัวเองที่อยู่ในชุดพ่อครัวน่ารัก ทอมรีบถามหา ของที่พ่อบอกว่าเซอร์ไพรส์ทันที ลุยก้มลงอุ้มลูกมาที่โต๊ะอาหาร โดยเดือนจูงลูกตามมาด้วย เขาไม่กล้าอุ้มลูก เพราะ แผลยังเจ็บมาก พอถึงโต๊ะอาหาร ทอมกับบอยเห็นคาโบนารา ฝีมือสองพ่อก็ยิ้มแก้มแทบปริ สองคนแข่งกันกินจนพุงกางถึง กับหลับคาโต๊ะเลย
ต่างคนต่างอุ้มลูกตัวเองพาไปนอน ระหว่างเดินเข้าห้อง ลุยเอาอีกมือที่ยังว่างจากการอุ้มลูกมาโอบไทรงามพาเดินเข้าห้องด้วยกัน เขากระซิบบอกเธอว่า
“คุณกับลูก คือหัวใจของผม”
ooooooo
เช้าวันรุ่งขึ้น เดือนมาหาลุยแล้วพากันเดินไป เที่ยวที่ทุ่งกว้างข้างหมู่บ้าน เดือนบอกกับลุยว่า ถ้า เมื่อวานลุยไม่ไปช่วย เขาคงไม่มีโอกาสได้กอดลูก อีกแน่ๆ
“ต่อให้นายไม่มีคำสั่ง...ฉันก็ต้องไป เพราะแกคือ เพื่อนคนเดียวของฉัน” ลุยบอกเสียงหนักๆ
เดือนหยุดเดิน จ้องหน้าเพื่อน “ลุย...ฉันไม่เก่งเท่าแก สักวันฉันอาจจะพลาด...ถึงตอนนั้น ฉันฝากบอยด้วย นะเพื่อน...ฉันมั่นใจว่าแกกับไทรงามจะดูแลบอยได้”
“ฉันไม่รับฝาก” ลุยพูดหน้าเฉย เห็นเดือนชะงัก ลุยเลยพูดต่อ “บอยคือลูกชายคนเดียวของแก แกต้องมีชีวิตรอด คอยดูบอยเติบโตมาเป็นคนดี มีอนาคต มีศักดิ์ศรี ที่ดี...ดีกว่าพวกเรา...จำไว้...”
เสียงมือถือลุยดังขึ้น ลุยมองเบอร์ที่เรียกเข้ามาแล้ว หน้าเครียด ยกขึ้นจ่อปากตอบกลับไปสั้นๆ
“ครับ นายกริช”
“งานใหม่...ลับที่สุด พลาดไม่ได้นะลุย เดี๋ยวจะส่ง ข้อมูลทั้งหมดไปให้ทางมือถือ” เสียงกริชตอบมา
“นายกริชโทร.มาเหรอ...ทำไมยังมีงาน ธรรมดาองค์กร ไม่รับงานติดต่อกันแบบนี้นี่” เดือนถามเพื่อน
“ชีวิตอย่างพวกเราเลือกได้เหรอ”
“แต่อีกไม่กี่วันจะมีประชุมใหญ่”
“ประชุมใหญ่อีกแล้วเหรอ” ลุยมีสีหน้าคิดๆ “ระยะ หลังฉันรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ...องค์กรสั่งฆ่าเป้าหมายบ่อย
ขึ้นกว่าเดิม หลายคนเป็นคนรุ่นใหม่ที่ประวัติไม่แน่ชัดว่า ด่างพร้อย”
“แกสงสัยอะไร”
“ยังตอบไม่ได้ แต่ฉันคงไม่ปล่อยให้ความไม่ถูกต้อง ชี้นำชีวิตหรอก” ลุยผละเดินจากเพื่อนไปจนถึงมุมหนึ่ง จึงยกโทรศัพท์ตัวเองขึ้นเปิดดูภาพที่ส่งมาให้ พอเห็นภาพชัดก็อุทานด้วยความแคลงใจว่าเป็น ส.ส.อภิชัยเองหรือ ทั้งนี้ก็เพราะลุยไม่แน่ใจว่า ส.ส.ผู้นี้จะเป็นคนเลวนั่นเอง
ooooooo
สองวันหลังจากวันที่ลุยได้รับคำสั่งก็ถึงวันที่ ส.ส. อภิชัยต้องไปสวนสาธารณะแห่งหนึ่งเพื่อเป็นประธานเปิดงาน และแน่นอนว่าลุยได้มาเตรียมพร้อมงานของเขาตามที่เจ้านายสั่งมาแล้ว ขณะนั้นในงานมีพวกตำรวจเดินเพ่นพ่านไปทั่ว ประชาชนที่มาในงานแต่งตัวสวยเตรียมมาซื้อข้าวของราคาประหยัดกัน โทรทัศน์ก็มาทำข่าวเพียบ นักข่าวกำลังรายงานว่า
“อีกไม่กี่นาทีแล้วนะคะที่ท่านอภิชัยจะมาเป็นประธานเปิดงาน ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่าอาจมีการล้มกระดานทางการเมือง เพื่อเปิดทางให้นักการเมืองน้ำดีรุ่นใหม่อย่างท่านอภิชัยเข้ามาเป็นผู้นำแก้วิกฤติของชาติที่กำลังย่ำแย่ในสายตาประชาคมโลก เราสังเกตดูนะคะ รู้สึกว่าวันนี้ตำรวจที่มาอารักขารอบงานจะมีมากกว่าปกติ เพราะมีข่าวลือว่า อาจมีกองกำลังใต้ดินที่ต้องการขัดขวางการขึ้นสู่ตำแหน่งของท่าน อ้อ...มาถึงแล้วนะคะท่านอภิชัย นักการเมืองคลื่นลูกใหม่ผู้ที่จะมาเปลี่ยนแปลงการเมือง รถจอดแล้วค่ะท่ามกลางการอารักขาอย่างแน่นหนา ขอแนะนำอีกนิดนะคะ...ผลงานเด่นของ ส.ส.หนุ่มอภิชัย คือการอภิปรายโครงการสร้างสนามบินแห่งใหม่ ที่ได้ชื่อว่าเป็นโครงการอภิมหากินบ้านกินเมืองของท่านสถิตย์ที่เพิ่งเสียชีวิตไป...”
โฆษกยังบรรยายภูมิประวัติของ ส.ส.อภิชัยไปเรื่อยๆ โดยหารู้ไม่ว่าทุกคำบรรยายลุยเก็บเข้าเมมโมรี่ในหัวเขาจนหมดสิ้น สีหน้าเขาเครียดขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าขณะนี้เขาอยู่บนหลังคารถโอบี โดยมีผ้ายางคลุมตัวเอาไว้มิดชิด และปืนก็เล็งไปที่อภิชัยเรียบร้อยแล้ว
ooooooo
เวลาเดียวกันนี้ที่ตลาดน้ำอัมพวาซึ่งเป็นสถานที่นัดประชุมของพวกองค์กรนอกกฎหมาย ทุกคนที่ถูกเรียกเข้าประชุมแยกย้ายกันมาจากทิศต่างๆเพื่อจะมารวมตัวกัน กริชมาด้วยเรือยนต์ลำหนึ่งในเสื้อผ้าสีสันแบบสบายๆ ด้านหลังของเขามีเดือนกับบอดี้การ์ด อีกสองคนนั่งอย่างระมัดระวังอยู่ กริชหยุดเรือซื้อของจากพวกแม่ค้ากินด้วยท่าทีปกติ แต่พอจะเลี้ยวเข้าอีกทางก็มีเรืออีกลำวิ่งตัดคลื่นมาปาดหน้า
กริชเหลือบมองคนในเรือลำนั้น เห็น เทียว สิบทิศ ซึ่งเป็นคนในองค์กรเดียวกัน แต่ไม่ค่อยจะกินเส้นกัน นั่งอยู่กับลูกน้อง เดือนกับบอดี้การ์ดของกริชยกมือแตะปืนที่เอวทันที แต่กริชกลับส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม แล้วเขาก็ร้องทักว่า
“ไม่นึกว่าเทียว สิบทิศ จะมีอารมณ์นั่งเรือเล่น”
“ฮ่า ฮ่า...นานๆจะได้เปลี่ยนบรรยากาศออกมาสูดอากาศดีๆ ใครจะพลาดล่ะ ท่านกริช จริงมั้ย...” หัวเราะอีกแบะท่านักเลงเต็มที่
“มัวแต่นั่งสูดอากาศดีๆ เดี๋ยวก็เข้าประชุมไม่ทันหรอก” กริชหยอกกลับไปบ้าง
“ไม่ต้องกังวลหรอก ลืมไปแล้วหรือว่า ที่นี่ถิ่นใคร” เทียวเกทับ สองคนมองกันแบบไม่ค่อยเป็นมิตรกันเท่าไหร่ พอขับเรือมาถึงบ้านชายน้ำที่ประชุมต่างคนต่างขึ้นจากเรือ... บนฝั่ง เด็ดกำลังยืนคอยอยู่ เขารีบบอกว่า
“นายใหญ่ปกาศิตให้มารับทุกคน...ไปเร็วๆหน่อย”
ooooooo
ที่สวนสาธารณะ ส.ส.อภิชัยเดินทักทายเจ้าหน้าที่และผู้มาร่วมงานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม บอดี้การ์ดที่เดินประกบอยู่บังเอิญเหลือบไปเห็นจุดแดงๆที่อกเสื้ออภิชัยก็ตกใจ หันไปกวาดตาดูรอบๆ มองขึ้นไปบนรถโอบีที่มาทำการถ่ายทอดสดเห็นมีผ้าใบสีดำนูนๆคลุมอยู่จึงร้องออกมาดังลั่น
“บนรถโอบี...ย้ำ บนรถโอบี...”
พวกบอดี้การ์ดขยับตัว แต่ยังไม่ทันทำอะไรเสียงปืนก็ดังขึ้นหลายนัด กระสุนโดนถังแก๊สของแม่ค้าในแผงหลายแผงทำให้เกิดระเบิดขึ้น เสียงระเบิดยิ่งทำให้ผู้คนโกลาหล บอดี้การ์ดรีบเข้ามาล้อมอภิชัยพาแยกออกไป หัวหน้าตะโกนสั่งให้พาเขาไปที่รถ ส่วนพวกที่เหลือกระโจนขึ้นไปบนรถโอบี กระชากผ้าคลุมออก แต่ไม่มีใครอยู่ในนั้น
บอดี้การ์ดสองคนที่กันตัวอภิชัยออกไปรีบพาเขาไปที่ลานจอดรถ พอถึงก็ดันตัวอภิชัยให้ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว คนหนึ่งรีบขึ้นด้านหน้าออกคำสั่งคนขับซึ่งใส่หมวกสีดำนั่งคอยอยู่แล้วว่า
“ออกรถ...เร็ว...”
คนขับทำตามอย่างรวดเร็ว รถกระชากตัวออกแล้วเพิ่มความเร็วทันทีเมื่อถึงทางตรง พอจะถึงทางแยกเขาก็สั่งคนขับให้เลี้ยวซ้าย แต่คนขับกลับเลี้ยวขวา เลยถูกบอดี้การ์ดตวาดว่า
“ฉันสั่งให้เลี้ยวซ้ายไง...”
“ผัวะ...” คนขับหันมาฟาดสันมือใส่บอดี้การ์ดสองคนนั่นอย่างรวดเร็วจนสลบคาที่ แถมบอกอภิชัยว่าแค่สลบไม่ถึงตายหรอก อภิชัยสีหน้าเปลี่ยนไปนิดเดียวแล้วถามออกมาว่า
“คุณคือคนที่จะลอบสังหารผมใช่ไหม”
“ยิ่งถามจะยิ่งตายเร็ว” เป็นเสียงตอบจากลุย
“บนโลกใบนี้ใครหนีความตายพ้นบ้างล่ะ” คำตอบเนือยๆของอภิชัยทำให้ลุยชะงัก มองสบตาอภิชัยแล้วยิ้มเยาะ
“นักการเมืองเลวๆมักจะกลัวความตาย เพราะอยากอยู่เสพเงินที่ปล้นชาติบ้านเมืองไปนานๆ”
“แต่...นักการเมืองดีๆที่ไม่เคยโกงกินประชาชนยังมีอีกหลายคน ประเทศชาติไม่มีวันสิ้นหวังหรอก”
“ผมจะมั่นใจในตัวคุณได้ยังไง” ลุยถามเอาดื้อๆ
“คุณมั่นใจไม่ได้หรอก...อดีตกำหนดปัจจุบันและอนาคต...ชั่วชีวิตของผมไม่เคยคิดร้ายต่อประเทศ ผมรู้จักพอ ต้องการตอบแทนคุณแผ่นดินเกิด...วันนี้ เวลานี้...คุณคงต้องเชื่อในความรู้สึกตัวเอง”
ลุยจ้องหน้าอภิชัย ซึ่งเขาก็มองตอบแบบไม่สะทก สะท้าน ทั้งสองคนยังแลกเปลี่ยนการพูดคุยกันอีกครู่หนึ่งก่อนจะไปจากกัน
ที่ระเบียงบ้านริมน้ำ พวกปกาศิตกำลังนั่งประชุมกันอยู่ กริชถามว่าทำไมต้องนัดประชุมด่วนขนาดนี้ เทียวเสริมว่าอีกหลายคนก็ยังไม่กลับจากต่างประเทศด้วยซ้ำ แต่ปกาศิตตอบเสียงเฉียบว่า
“ขณะนี้...องค์กรต่างชาติต้องการร่วมมือกับเรา...เพื่อต่อยอดอำนาจในภูมิภาคนี้...เขาส่งตัวแทนเข้ามาเจรจากับพวกเราแล้วด้วย” ปกาศิตหันไปพยักหน้ากับเด็ด ซึ่งก็รีบไปเปิดประตูทันที
ผู้หญิงสาวสวยเข้มคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างสง่า ทุกคนแปลกใจเมื่อเห็นว่าเป็นสร้อยคีรี เพราะเธอก็เป็นหนึ่งในสมาชิกระดับหัวหน้าขององค์กรมาก่อน สร้อยคีรีนวยนาดเข้ามายืนอยู่หัวโต๊ะ เธอยิ้มให้กับทุกๆคน
“ฉัน...ในนามของมิสเตอร์ทากาดะ ยินดีที่ได้พบทุกท่านอีกค่ะ”
ปกาศิตรีบอธิบายให้สมาชิกฟังว่า “สร้อยคีรีเป็นตัวแทนขององค์กรต่างประเทศ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปองค์กรของเราจะไม่อยู่แค่เบื้องหลังความสำเร็จทางการเมืองอีกแล้ว แต่เราจะก้าวมาอยู่เบื้องหน้า...”
“คิดจะทำพรรคการเมืองเหรอ” เทียวถาม
“ไม่ใช่...เราจะยิ่งใหญ่กว่านั้น เราจะเป็นผู้บงการ ผู้มีอำนาจ...” ปกาศิตยิ้มอย่างสมใจที่เคยคิดเอาไว้
“งั้น...งานสั่งฆ่าท่านอภิชัยคงเป็นส่วนหนึ่งของแผนนี้น่ะซิ...เพราะท่านอภิชัยไม่ยอมให้องค์กรบงการใช่ไหม” กริชซัก
ปกาศิตนิ่งไม่ตอบ เพียงแต่หันไปสบตากริชเท่านั้น กริชเข้าใจความหมายทันที
“แต่...ท่านอภิชัยเป็นนักการเมืองน้ำดีนะ...”
ปกาศิตส่ายหน้าตอบว่า “ทุกคนที่ขวางองค์กร...มันไม่มีสิทธิ์มีชีวิต...ไม่เกินค่ำวันนี้อภิชัยจะไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว”
ooooooo
รถของ ส.ส.อภิชัยเลี้ยวเข้ามาหน้าที่ทำการพรรคการเมืองที่เขาสังกัดอยู่ ขรรชัยที่ดูแลบริเวณหน้าพรรครีบพุ่งเข้าไปข้างรถพร้อมกับพวกนักข่าวก็ฮือตามเข้าไป นักข่าวสาวคนเดิมลากสายไมค์ตามเข้าไปด้วย ปากก็รายงานว่ารถของท่านอภิชัยมาถึงหน้าพรรคแล้ว หลังจากขาดการติดต่อไปนับชั่วโมง ตอนนี้ยัง ไม่รู้ว่าท่านจะยังมีชีวิตอยู่ในรถของท่านหรือเปล่า
“ถอยออกไปก่อน...ใครไม่เกี่ยวถอย ให้ตำรวจเข้าไปก่อน” ขรรชัยจัดการไล่แบบไม่ไว้หน้า รถจอดสนิทพอดี อภิชัย เป็นคนเปิดประตูรถออกมาเอง แสงแฟลชวูบวาบไปหมด นักข่าวแย่งกันเอาไมค์จ่อปากเขา คำถามต่างๆพรูออกมา
“ใครลอบสังหารท่านคะ...ท่านรอดมาได้ยังไงครับ...มีการลักพาตัวท่านไปหรือเปล่าคะ...”
“ผมปลอดภัยดีครับ...ขอตัวสักครู่นะครับ” อภิชัยรีบเดินจะเข้าพรรค ขรรชัยเหลือบไปทางประตูรถที่เปิดอยู่มองเห็นบอดี้การ์ดสองคนนอนสลบ เขาหน้าเครียดทันที แหวกผู้คนตามหลังอภิชัยเข้าไปในพรรครีบเชิญอภิชัยไปที่ห้องประชุม
ในระหว่างที่ขึ้นลิฟต์ไปด้วยกัน ขรรชัยซักอภิชัยถี่ยิบว่าคนที่เอาอภิชัยไปเป็นใคร แล้วอภิชัยเห็นหน้าหรือเปล่า แต่อภิชัยไม่ตอบ พอถึงชั้นที่อภิชัยต้องออกจากลิฟต์กลับโดน ขรรชัยกั้นเอาไว้ ถามตะคอกอย่างลืมตัวว่า
“ผมถามว่ามันเป็นใคร!”
อภิชัยจ้องหน้าแล้วบอกว่า “ท่านผู้การเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า คุณเป็นตำรวจ...ไม่ใช่ผม! ถ้าคุณไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...แล้วผมจะรู้ได้ยังไง...”
“แล้วทำไมท่านไม่เป็นอะไร” ขรรชัยยังไม่รู้ตัวอีกว่าท่าทางเขาไม่ควรทำกับอภิชัยแบบนั้น
“ผมบอกได้แค่ว่า...มัจจุราชคุณธรรมพิพากษาไว้ชีวิตผม” อภิชัยปัดมือขรรชัยที่กั้นตัวเอาไว้ออกเดินไปเลย ขรรชัย ชะงัก สีหน้าไม่พอใจ กดปุ่มบลูทูธโทร.ออกไปทันที
“ไอ้ลุยทรยศองค์กร! อภิชัยไม่ถูกลอบสังหาร!”
ooooooo
ปกาศิตที่ประชุมอยู่หันไปจ้องหน้ากริชอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ตะคอกออกมาว่า ไอ้ลุย หล่มสัก ลูกชายนอกไส้ของแกมันกล้าขัดคำสั่งองค์กร กริชชะงักไปนิดหนึ่งเพราะเขาคิดอยู่แล้วว่าลุยต้องไม่ยอมฆ่าคนที่ไม่เลวแน่ๆ ส่วนสร้อยคีรีสะดุ้งนิดๆเมื่อได้ยินชื่อลุย เพราะเคยเป็นคนรักกันมาก่อน ปกาศิตพูดกับขรรชัยทางโทรศัพท์ต่อ
“ทำตามแผนสอง...ลอบยิงไอ้อภิชัยทันที...อะไรนะ ...เฮ้ย...ไม่มีคำว่าแต่...ถ้าไม่มีใครยิงมันได้ แกนั่นแหละขรรชัย ...ที่ต้องฆ่าไอ้อภิชัยด้วยตัวเอง!”
สร้อยคีรีที่ฟังอยู่ด้วยหน้าถอดสี รู้สึกเป็นห่วงลุยขึ้นมา แต่ขรรชัยพี่ฟังคำสั่งปกาศิตอยู่ทางโน้นกลับรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
ooooooo
ขรรชัยเดินไปเดินมาอยู่ที่หน้าห้องประชุมพรรคการเมือง คิดหาหนทางที่จะฆ่าอภิชัยตามคำสั่งของปกาศิตอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องที่อภิชัยกับสมาชิกพรรคคนอื่นๆกำลังช่วยกันเตรียมข้อมูลแถลงข่าวอยู่ เข้าไปก้มตัวบอกเบาๆว่า
“ทีมงานเตรียมพร้อมแถลงข่าวแล้วครับ ที่หน้าที่ทำการพรรค”
อภิชัยชะงัก “มันไม่เสี่ยงเกินไปเหรอ ท่านผู้การ”
“ผมเตรียมคนคุ้มกันไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าจัดแถลงภายในพรรคเกรงจะไม่ปลอดภัย”
“ก็ได้...ถ้าคุณต้องการแบบนั้น” อภิชัยเดินตามขรรชัยออกไป
ที่ด้านนอก พวกนักข่าวมากันเกือบทุกสำนัก ใน ขณะที่พวกมือปืนของขรรชัยก็เพียบเหมือนกันเตรียมการฆ่าอภิชัยเต็มที่
อภิชัยก้าวขึ้นโพเดียมที่เตรียมไว้แล้วเปิดการแถลงทันทีด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอาการตื่นเต้นหวาดกลัวที่ตัวเขาเพิ่งจะผ่านเรื่องราวระทึกใจมาสดๆร้อนๆ เล่าเหมือนคุยอยู่กับเพื่อนสนิท
“วันนี้ผมเกือบจะตายโดยคนที่ไม่รู้จัก แต่ผมก็รอดมาได้”
พวกผู้สื่อข่าวฮือฮากันใหญ่ อภิชัยกล่าวต่อ
“เราอาจจะเรียกคนที่ลอบสังหารผมวันนี้ว่า มัจจุราชก็ได้ แต่ผม...ถือว่าเขาคือมัจจุราชคุณธรรม...มัจจุราชลึกลับคนนี้ไว้ชีวิตผมเพื่อแลกกับสัจจะบางข้อ...” อภิชัยหยุดทบทวนการสนทนากับคนที่เขาเรียกว่ามัจจุราชคุณธรรม เพราะลุยบอก อภิชัยว่าเขาเชื่อในความดีของอภิชัยที่เคยทำมา และที่มาวันนี้ก็เพื่อมาเตือนว่า ชีวิตของอภิชัยกับประเทศชาติกำลังอยู่ในอันตราย ขอให้ใช้เวลาที่เหลือของชีวิตทำความดีเพื่อตอบแทนคุณแผ่นดินเกิด ทำลายคนชั่วให้หมดไปด้วยวิธีการและอาชีพของอภิชัยกับอนาคตของประเทศนั้นอยู่ในมือแล้ว...
อภิชัยไม่ได้บอกว่านักฆ่าคุยอะไรกับเขาบ้าง แต่จบการสัมภาษณ์ว่า “ผมจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเขา...ผมจะขอเปิดอภิปรายในสภา จะไม่มีการปกปิดข้อมูลลับที่ใช้ในการอภิปราย ประชาชนจะได้รู้ว่านักการเมืองคนไหนบ้างที่กำลังทำลายชาติบ้านเมืองของเรา...”
อภิชัยและนักข่าวกับทุกคนที่ฟังการให้สัมภาษณ์อยู่นั้นไม่มีใครรู้ว่าในขณะที่อภิชัยพูด เขาถูกมือปืนของขรรชัยแอบยิงใส่มาสองครั้งแล้ว แต่ถูกลุยยิงพวกนั้นก่อนทุกครั้ง เพราะเขาอยู่ในที่สูงและเช็กสถานที่ที่พวกนั้นซุ่มไว้หมดทุกคน แต่เจ้ามือปืนคนที่สามกำลังเหนี่ยวไกก็โดนลุยยิงใส่จนล้มควํ่าลงไปต่อหน้านักข่าว จึงเกิดโกลาหลอลหม่านไปทั่ว ขรรชัยเห็นผิดแผนรีบตะโกนบอกว่า
“มีคนจะลอบยิงท่านอภิชัย...” แล้วก็รีบถลาเข้าไปทำท่าเหมือนจะเข้าไปช่วย แล้วลากอภิชัยไปอีกทาง ปากก็บอกอภิชัยให้หนีตามเขาไป ลุยเห็นเหตุการณ์ตลอด เขาพูดบลูทูธที่ติดอยู่ที่หูทันที
“ขรรชัย...จะทำอะไรมีสติยั้งคิดด้วย... ฉันรู้ว่าแกจะใช้ความโกลาหลยิงท่านอภิชัย แล้วป้ายความผิดให้มือปืนที่เป็นศพพวกนั้น...ไม่ต้องมองหาฉันหรอก เพราะยังไงก็ไม่เจอ ล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าคนดีซะที ไม่งั้นแกนั่นแหละที่จะตาย...เก็บปืนในมือซะ...”
ขรรชัยเลิ่กลั่ก ก้มลงมองหน้าอกตัวเอง เห็นมีแสงเลเซอร์สีแดงวงอยู่ยิ่งสั่น เสียงลุยสั่งมาอีก
“เก็บปืนแล้วพาท่านอภิชัยไปที่บอดี้การ์ดส่วนตัวของท่าน...เดี๋ยวนี้...”
ooooooo
ลุยจัดการกับขรรชัยเสร็จแล้วก็ขับรถไปกะว่าจะไปหาปกาศิตถามเรื่องอภิชัยนั่นเอง แต่พอดีได้รับโทรศัพท์จากเดือนโทร.เข้ามาบอกว่าให้รีบหนีไปเสีย เพราะขณะนี้ปกาศิตออกคำสั่งไปทั่วประเทศแล้วว่าหน่วยงานไหนขององค์กรเจอลุยให้จับตาย แต่ลุยไม่ฟังกลับบอกว่าเขาจะต้องพบกับนายปกาศิตให้ได้ เสียงพูดของเดือนหายไป ได้ยินแต่เสียงพวกแม่ค้าร้องขายขนมแซ่เข้ามา ลุยจึงรู้ว่าเดือนคงจะพูดมาจากตลาดนํ้าอัมพวานั่นเอง จึงรีบหันหัวรถกลับขับไปที่นั่น
เทียวกับลูกน้องกำลังจะลงเรือกลับ แต่ยังไม่วายทำกร่างด้วยความสะใจ หันไปสั่งลูกน้องว่า “ไอ้ลุยต้องตายสถานเดียว เจอที่ไหนควํ่าที่นั่น”
กำลังก้าวลงเรือ แต่เรืออีกลำมาเกยใส่ เทียวเกือบหัวคะมำ หันกลับไปตวาด กลายเป็นลุยลุกขึ้นมาจากเรือลำที่เขานั่ง พูดกับเทียวว่าเขาต้องการมาเจอนายปกาศิต
“แต่นายเขาไม่อยากเจอแกตอนเป็นๆโว้ย...จับมัน” เทียวตะโกนสั่งลูกน้อง ซึ่งก็รีบควักปืนยิงใส่ลุยทันที ลุยกระโดดหลบ แต่ยังพูดอย่างใจเย็น
“ผมต้องการเจอนายใหญ่ ใครไม่เกี่ยวอย่าขวาง”
“ข้าเกี่ยว...เพราะนายสั่งให้ล่าหัวเอ็ง” พูดไม่ทันขาดคำถูกลุยยิงเฉี่ยวหมวกจนเป็นรูกระเด็นตกลงตรงหน้าเจ้าของ เทียวตะลึง ตกใจจนตัวแข็งไปหมด
ooooooo
กริชกับเดือนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามคลองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เทียวกับลุยสู้กัน เห็นเทียวที่หายจากตกใจแล้วร้องสั่งลูกน้องให้ฆ่าลุยให้ได้ แต่เวลาผ่านไปไม่นานนักลุยก็เก็บพวกนั้นจนหมดโดยไม่ได้ทำให้ถึงตายแม้แต่คนเดียว เพียงเจ็บแค่แขนบ้างขาบ้าง เพื่อให้สู้กับเขาไม่ได้เท่านั้นเอง พอจัดการเสร็จลุยก็เดินต่อเพื่อไปพบปกาศิตให้ได้
“ลุย...อย่าไปเลย...ถ้านายใหญ่ไม่อนุญาตแกไม่ได้พบเขาหรอก” กริชร้องตะโกนเตือนข้ามฝั่งมา
“แต่ผมต้องการคำอธิบายจากปากนายใหญ่” ลุยร้องตอบ
เดือนมีสีหน้าไม่สบายใจ ทำท่าจะวิ่งตามแต่ถูกกริชห้ามให้ปล่อยลุยไป เดือนยังทำท่าจะตามอีกกริชเลยตวาด
“ฉันบอกให้ปล่อยมันไปไง...”
เดือนหยุดทันที ลุยจึงได้โอกาสวิ่งต่อ พอไปถึงสถานที่ประชุม ไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียว ลุยหันซ้ายหันขวาร้องตะโกนว่า
“นายปกาศิต ผมต้องการคำอธิบาย...ผมไม่ต้องการฆ่าคนดี”
เงียบ ไม่มีเสียงใครอยู่ที่นั่นเลย ลุยกวาดตามองไปรอบๆอย่างผิดหวัง สายตาเหลือบไปเห็นระเบิดมัดรวมกันเป็นแท่งอยู่ที่ขาโต๊ะประชุม ลุยหันกลับพุ่งตัวออกทางหน้าต่างลงไปในคลองหน้าบ้านพร้อมๆกับเสียงระเบิดดังกึกก้อง สะเก็ดปลิวว่อนไฟลุกท่วมแดงฉาน
ooooooo
ลุยทะลึ่งขึ้นจากน้ำหลังจากนั้น พอเงยหน้าก็เจอปากกระบอกปืนจ่ออยู่ที่ขมับ เขามองไล่จากมือที่ถือปืนขึ้นไปก็เห็นดวงหน้าของสร้อยคีรีที่กำลังเอาปืนจ่อหัวเขาโดยมีลูกน้องสองคนยืนอยู่ด้านหลัง เธอพูดเสียงหวาน
“ฉันมารับนักโทษ”
“ฮึ...ไม่ง่ายหรอก สร้อยคีรี” ลุยบอกพร้อมกับเอื้อมมือมาจับกราบเรือที่ข้างขาเธอ
“จำสร้อยได้เหรอคะลุย...ดีใจจัง...แต่ถึงยังไงคุณก็ต้องโดนทำโทษที่ขัดขืนคำสั่งขององค์กร” มือข้างที่จับปืนยังจ่อหัวเขาอยู่เช่นเดิม ส่วนข้างที่เหลือเอื้อมลงมาจิกหัวลุยโขกกับกราบเรือไม่แรงนัก แต่ก็ทำเอาลุยมึนไปพักหนึ่ง แต่ชาติเสืออย่างเขาก็ทำเอาสร้อยคีรีแสบไปเหมือนกัน เพราะลากเธอลงจากเรือมาอยู่ในน้ำกับเขาได้ แต่แทนที่จะโกรธ สร้อยคีรีกลับยิ้มให้ก่อนที่จะปีนขึ้นเรือไปยืนตัวเปียก เสื้อผ้าแนบส่วนเว้าส่วนโค้งให้ลุยจ้องแทบตาไม่กะพริบ
“คุณยังไม่ลืมฉันเลยนะ...ลุย...ไม่กลัวที่จะต้องอยู่ใกล้ฉันเหรอ...”
ถามแบบไม่ต้องการคำตอบ เธอเอื้อมมือลงมาจับแก้มแล้วกรีดเล็บยาวที่เคลือบสีสดลงไปที่แก้มลุยจนเลือดหยดก่อนจะยืนตัวตรงบอกเขาว่า
“วันนี้ฉันแค่มาทักทาย...เราจะได้เจอกันอีกแน่...ลุย...”
ลูกน้องสร้อยคีรีขับเรือพาเจ้านายห่างออกไปแล้ว แต่ลุยที่มองตามเรือลำนั้นกลับคิดไปถึงเรื่องเก่าระหว่างเขากับสร้อยคีรีในสระว่ายน้ำกลางคืนคืนหนึ่งที่เธอใช้อุบายหลอกเขาว่าว่ายน้ำไม่เป็นทำให้เขาต้องโดดลงไปช่วยแล้วถูกเธอเข้ามากอดและจูบเขาอย่างดูดดื่ม
ooooooo
สร้อยคีรีกลับบ้านเปลี่ยนชุดเสร็จก็เรียกปกาศิตไปพบที่ศาลาริมตลาดน้ำ เธอพูดเหมือนสั่งเขาให้หยุดคำสั่งฆ่าลุยเสีย แต่ปกาศิตปฏิเสธว่าไม่ได้ สร้อยคีรีเสียงเข้มทันที
“นี่เป็นความต้องการของมิสเตอร์ทากาดะ”
“แน่ใจเหรอว่าเป็นความต้องการของทากาดะ” ปกาศิตพูดอย่างรู้ทัน
“ฉันกับทากาดะเหมือนคนคนเดียวกัน เขาคงไม่พอใจนักหรอกถ้ารู้ว่าคุณขัดใจฉัน” เสียงเรียบ แต่แฝงด้วยอำนาจ
ปกาศิตกำมือแน่นด้วยความไม่พอใจ แต่ไม่รู้จะทำยังไงจึงต้องโทร.ไปหาพวกลูกน้อง ยกเลิกคำสั่งตามล่าลุย แล้วสั่งให้พวกเด็กที่ไปรังควานที่บ้านของลุยให้ออกมาจากที่นั่นทันที
ดังนั้น เมื่อลุยรีบกลับบ้านเพราะเป็นห่วงไทรงามกับลูก จึงไม่พบอะไรผิดปกตินอกจากรูปเดี่ยวที่เขาถ่ายใส่กรอบไว้บนโต๊ะในห้องหายไปรูปหนึ่ง ซึ่งก็คือรูปที่แวววัลย์แอบเอาไปนั่นเอง
ooooooo
ปกาศิตยังคาใจเรื่องที่สร้อยคีรีมีคำสั่งให้เลิกตามล่าลุยไม่หาย คืนนั้นไปหาสร้อยคีรีที่คอนโดฯของเธอ ขณะที่เขายืนมองแสงสีของกรุงเทพฯยามค่ำคอยสร้อยคีรีอยู่นั้น สร้อยคีรีปรากฏตัวขึ้นในชุดกิโมโนสั้น เดินมานั่งลงที่โซฟา ปกาศิตเดินเข้า มาหามองด้วยสายตาโลมเลีย เธอจึงขยับขาไขว่ห้าง ให้ปกาศิตรู้ตัว
“ไอ้ลุยมันขัดคำสั่ง...มันต้องตาย” ปกาศิตเอ่ยขึ้นแก้ขวย
“ก็แค่ขัดคำสั่ง...เขายังไม่ได้ฆ่าคนขององค์กรตายแม้แต่คนเดียว วันนี้ก็โดนยิงแค่ที่แขนที่ขาเพื่อไม่ให้ต่อสู้กับเขาได้เท่านั้น”
“ฉันไม่เข้าใจ...เธอห้ามไม่ให้ฉันฆ่าไอ้ลุยทำไม หรือว่า เพราะเรื่องในอดีต”
ปกาศิตพูดไม่ทันจบสร้อยคีรีลุกพรวดเอามีดสั้นที่ชายแขนเสื้อจ่อคอเขาทันที
“อย่าลืมสิว่า ตอนนี้ฉันเป็นใคร”
ปกาศิตชะงักจ้องหน้าสร้อยคีรีเขม็ง “...นี่ถ้าไม่ใช่เมียมิสเตอร์ทากาดะ เธอไม่มีสิทธิ์ยืนอยู่ตรงนี้แน่” เขาปัดมีด สั้นของเธอออกไปอย่างไม่กลัว ยกมือชี้หน้า “ฉันยอมให้แค่ครั้งนี้เท่านั้น...” ปกาศิตเดินออกไปอย่างหัวเสีย ยังไม่ทันพ้นห้องเสียงสร้อยคีรีดังตามหลัง
“ห้ามใครแตะลุย...จนกว่าคำสั่งตายจะออกจากฉัน”
ปกาศิตกระแทกประตูปิดดังโครม สร้อยคีรีเดินไปที่รูปถ่ายของเธอกับทากาดะ หยิบมันโยนลงถังขยะทันที พูดกับตัวเองว่า
“ผู้ชายคนเดียวที่อยู่ในใจฉันตั้งแต่วันแรกถึงวันนี้ คือคุณเท่านั้น...ลุย”
ooooooo
หลังจากวันนั้นแล้ว ลุยซื้อกล้องวงจรปิดมาติดที่บ้านหลายตัวเพราะเริ่มไม่ไว้ใจปกาศิต ไทรงามถามทำไมต้องมากมายอย่างนี้ ลุยบอกว่าเขาเป็นห่วงเธอกับลูก ไทรงามกลับคิดว่าพวกที่มาวันนั้นคงเป็นแค่โจรธรรมดาเท่านั้นเองเพราะไม่มีอะไรหายไปเลยนอกจากรูปของลุยใบเดียวเท่านั้น ลุยคิดว่าคงไม่ใช่อย่างที่ไทรงามคิดแน่ๆ เช้าวันรุ่งขึ้นลุยไปส่งทอมที่โรงเรียนเอง
พอคุณครูออกมารับ ลุยสั่งบอยว่า “เย็นนี้อาไทรงามจะมารับนะ...จำไว้ อย่าไปไหนกับใครทั้งนั้นรออยู่ในโรงเรียนทั้งสองคน”
เด็กสองคนรับปาก ลุยจึงขับรถไปบ้านกริช พอเจอหน้า ลุยบอกกับกริชว่า
“ผมต้องการคุยกับนายใหญ่ อุดมการณ์ขององค์กรเราเปลี่ยนไปแล้ว พาผมไปรับโทษกับนายใหญ่เถอะ ผมไม่ต้องการให้ครอบครัวเดือดร้อนมากไปกว่านี้...”
“นายใหญ่ยกเลิกโทษตายของแกแล้ว เพราะเป็นคำสั่งจากหุ้นส่วนใหม่ขององค์กร...”
“สร้อยคีรี...” ลุยโพล่งทันที
“ลุย...” กริชเรียกคำเดียวเท่านั้นลุยก็รู้ว่ากริชจะพูดอะไรต่อ
“นายครับ...ผมรู้ว่านายกำลังจะเตือนเรื่องสร้อยคีรี... ผมไม่เคยคิดอะไรกับเธอเลย ตั้งแต่แรกจนถึงวินาทีนี้...”
“แกอาจจะไม่เคยคิด แต่ผู้หญิงคนนี้ร้ายกว่าที่แกคิดมาก ระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะลุย...”
คำเตือนของกริชทำให้ลุยรู้สึกกังวลขึ้นมา
ooooooo
ความกังวลของลุยเป็นความจริง เพราะขณะที่ไทรงามกำลังซื้อของอยู่ในซุปเปอร์มาร์เกต เธอรู้ สึกว่ากำลังถูกใครสักคนหนึ่งติดตามอยู่ ไทรงามรีบวาง ตะกร้าของแล้วหนีออกไปจากที่นั่น แต่ก็เหมือนโดนติดตามแบบไม่ปล่อย ท้ายที่สุดไทรงามก็ขับรถออก ไปจากห้างนั้นด้วยใจเต้นเป็นตีกลอง
ขณะขับรถเธอพยายามโทร.หาลุย แต่เผอิญลุยลืมมือถือไว้ในรถจึงไม่มีคนรับ ไทรงามจึงโทร.หาเดือนบอกว่าตอนนี้ เธอติดธุระด่วนมากให้เขาไปรับทอมกับบอยที่โรงเรียนให้ที
“ได้สิ ไม่ต้องห่วง เอ้อ...เธอเป็นอะไรหรือเปล่าไทรงาม เสียงเธอเหมือนเครียดๆชอบกล...”
“ไม่...ไม่มีอะไร เดือน ฉันโทร.หาลุยเขาไม่รับสาย... เธอพาเด็กสองคนนั่นไปกินไอติมก่อนนะ อย่าเพิ่งเข้าบ้าน แล้วโทร.บอกลุยให้ติดต่อฉันด้วย แบตของฉันกำลังจะ
หมด ดูทอมด้วยนะเดือน อย่าให้ลูกฉันเป็นอะไรไป...” เสียงโทร.ขาดหายเพราะแบตของไทรงามหมด
เดือนรีบโทร.หาลุย บอกว่าตอนนี้เขามารับทอมกับบอยแล้ว เพราะไทรงามสั่ง “...เออลุย...ฉันคิดว่ามันมีอะไร แปลกๆนะโว้ย...ตอนเขาโทร.มาเสียงรีบร้อนมากเลย...”
ลุยที่กำลังขึ้นรถแล้วรีบกลับลงไปที่ห้องทำงานกริชอีก ร้องถามว่า
“นาย...มีใครสั่งให้จองเวรเมียผม...”
“เฮ้ย...ไม่มี”
“แน่นะ...” ลุยถามย้ำอีกครั้ง กริชตอบคำเดิม
ooooooo
ไทรงามขับรถหนีการติดตามออกไปต่างจังหวัด ตาก็มองรถคันหลังที่จี้ตามมาไม่หยุด ถึงทางแยกเข้าบ้านโป่ง ไทรงามรีบเลี้ยวรถเข้าเส้นทางนั้นอย่างรวดเร็ว คันที่ตามเลี้ยวไม่ทันจึงเลยไปแล้วเลี้ยวกลับมาใหม่ตามเข้าไปบ้าง ไปเจอรถของไทรงามจอดอยู่ แต่ประตูรถเปิดทิ้งไว้ สร้อยคีรีลงจากรถตัวเองมองไปรอบๆ
ไทรงามวิ่งเข้าสวนโดยถอดรองเท้าทิ้งแล้ววิ่งต่อด้วยเท้าเปล่า กำลังจะข้ามท้องร่องเธอสะดุดขาตัวเองล้มลง พอจะลุกก็มีผู้หญิงคนหนึ่งก้าวเข้ามาดักไว้ เป็นสร้อยคีรีนั่นเอง ไทรงามตัวสั่นด้วยความกลัว
“เธอ...เธอคือใคร ต้องการอะไรจากฉัน...” พูดพลางถอยหลัง แต่ไปเหยียบตะปูเลยร้องอุ๊ยด้วยความเจ็บก่อนจะทรุดลงนั่ง
“นี่เหรอผู้หญิงของลุย...อ่อนแอ เหยาะแหยะ น่าสมเพช” มองไทรงามอย่างเหยียดๆ
“เธอจะทำอะไรกับครอบครัวฉัน...ตามฉันมาทำไม”
“เฮ่อ...นอกจากอ่อนแอแล้ว ยังฉลาดน้อยอีกด้วย...แล้วมีดีอะไรนะ ลุยถึงยอมให้เป็นแม่ของลูกเขา”
“เธอ...เธอผิดหวังที่ลุยไม่ได้รักแต่มารักฉันใช่ไหม” ไทรงามเริ่มเอะใจ
สร้อยคีรีเงื้อมือขึ้นทันที แต่ยังไม่ทันถึงตัวไทรงาม มะพร้าวทั้งทะลายก็หล่นลงมาเฉียดหัวสร้อยคีรีไปนิดเดียวเมื่อเสียงปืนลูกซองดังขึ้นนัดหนึ่ง ทั้งสองคนหันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนถือปืนอยู่ สร้อยคีรีชักมีดสั้นปาใส่ทันที แต่ผู้หญิงคนนั้นเอียงตัวหลบมีดไปปักอยู่ที่ต้นมะพร้าวพร้อมกับเสียงกระชากลูกเลื่อนของปืนลูกซองดังขึ้น ปากกระบอกของมันเล็งไปที่สร้อยคีรีพร้อมเสียงตวาด
“ที่นี่....อำเภอร่มเย็น ทุกตารางนิ้วอยู่ในความดูแลของฉัน”
“แก...แกกล้าผิดเวลาแล้ว” สร้อยคีรีกำลังจะปามีดสั้นใส่อีก
“เปรี้ยง...” สร้อยคีรีถูกผู้หญิงคนนั้นยิงทะลุแขนเสื้อของเธอพร้อมคำพูด
“บ้านเมืองไม่ใช่ของพวกมีอิทธิพล ออกไปให้พ้นก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจยิงแค่ชายเสื้อ”
ไทรงามรีบวิ่งไปอีกฝั่ง สร้อยคีรีขยับตัวจะตาม เสียงปืนดังเปรี้ยงอีกครั้ง
“ฉันบอกให้ไปซะ มาตามล่าเมียคนอื่นก็น่าอายไร้ศีลธรรม มากพอแล้ว จะต้องให้โดนข้อหาบุกรุกข่มขู่ด้วยใช่มั้ย...”
สร้อยคีรีไม่รู้จะทำยังไงเลยได้แต่ฝากคำอาฆาตไว้ว่า “แกกับฉันไม่ได้เจอกันแค่วันนี้แน่!”
สร้อยคีรีกระแทกเท้าเดินกลับไปแล้ว บุปผารีบก้าวเข้าไปหาไทรงาม สองคนกอดรัดกันอย่างดีใจ เพราะเป็นเพื่อนกันมาก่อน ไทรงามขอบใจบุปผาที่ช่วยเธอเอาไว้ แล้วเล่าถึงเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง บอกว่าเธอไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครและชื่ออะไร แต่...เหมือนกับจะตามเอาชีวิตเธอ
“ฮื่อ”...บุปผาเห็นด้วย “ผู้หญิงคนนั้นท่าทางไม่ธรรมดาเลยนะ ถ้าแค่รักสามีเธอเขาก็ไม่น่าหึงโหดตามมาถึงนี่...ว่าแต่เธอเถอะ ผัวมีกิ๊กแบบนี้มันอันตรายไปหน่อยนะ”
“ไม่หรอก...ลุยไม่เคยมีคนอื่น” ไทรงามรีบบอกเพื่อนอย่างมั่นใจ ทำให้บุปผาชักอยากเห็นหน้าสามีของเพื่อน และยังถามอีกว่าลุยทำงานอะไร ไทรงามอึกอักแล้วก็ตอบส่งๆว่า
“เขาทำงานรับจ้าง...เอ้อ รับจ้างทั่วไปน่ะ”
บุปผาแคลงใจที่ไทรงามพูดอึกอักเมื่อถามถึงอาชีพของลุย เพราะเธอคิดว่าจะเกี่ยวกับผู้หญิงที่ตามมาทำร้ายไทรงามเมื่อกี้หรือเปล่า ก็ไม่รู้
ooooooo
ไทรงามโทร.บอกลุยว่า ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ลุย จึงตามมารับ ใกล้จะถึงบ้านของบุปผา ลุยไม่เห็นว่าสร้อยคีรีแอบจอดรถรออยู่ ด้วยคิดจะหาทางเข้าไปฆ่าไทรงามให้ได้ แต่ก็ต้องผิดหวังแถมยังเพิ่มศัตรูขึ้นมาอีกคนหนึ่งคือกำนันบุปผานั่นเอง เพราะพอเจอกับลุยซึ่งเดินเข้ามาในสวนตอนมืดๆ บุปผาคิดว่าลุยเป็นศัตรูของไทรงามจึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น และจบลงเมื่อไทรงามร้องบอกว่า สองฝ่ายเป็นเพื่อนกัน บุปผาเริ่มรู้สึกติดใจฝีมือและหน้าตาหล่อเหลาของลุยเสียแล้ว แม้พยายามห้ามใจยังไงก็ไม่สำเร็จ
ลุยพาไทรงามกลับถึงบ้าน เขาขอโทษเธอที่งานที่ทำพาเอาไทรงามต้องเข้ามาเกี่ยวด้วย แต่ไทรงามบอกว่าคงไม่ใช่ เพราะคนที่ตามเธอไปเป็นผู้หญิง และจากการพูดจาดูเหมือนโกรธเคืองว่า เพราะเธอเป็นเมียของลุย ทำให้ลุยนึกออกว่าน่าจะเป็นสร้อยคีรีนั่นเอง จึงคิดว่าจะหาโอกาสไปตักเตือนสร้อยคีรีเสียหน่อยไม่ให้มายุ่งกับไทรงาม
ที่ห้องทำงานของปกาศิต เขากับเด็ด สมุนสนิทกำลังดูภาพของสร้อยคีรีในจอแอลซีดี เห็นภาพของเธอในอิริยาบถ ต่างๆที่ถ่ายในญี่ปุ่นหลายสิบภาพ ส่วนใหญ่แล้วจะถ่ายกับนายทากาดะ ทำงานร่วมกันบ้าง ออกงานร่วมกันบ้าง เด็ดเอ่ยขึ้นว่า
“ตั้งแต่สร้อยคีรีออกจากองค์กรของเราไปอยู่กับทา-กาดะ ผู้หญิงคนนี้ไปไกลกว่าที่เราคิดนะครับ”
“แน่ละสิ...เพราะทากาดะมันเป็นเบอร์ต้นๆขององค์กรต่างประเทศนี่...แต่...คงอีกไม่นานหรอก...”
“นายหมายความว่ายังไงครับ”
ปกาศิตยิ้ม กดปุ่มเลื่อนไปเป็นเครื่องหมายขององค์กร คำว่าลับสุดยอดปรากฏขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเป็นใบหน้าของทากาดะเต็มหน้าจอ
“เพิ่งมีคำสั่งจากต่างประเทศ...ทากาดะเป็นนายใหญ่ขององค์กรญี่ปุ่นก็จริง...แต่...คนเรายิ่งสูงยิ่งหนาว องค์กรต่างประเทศเพิ่งมีคำสั่งขอความร่วมมือจากเรา...เก็บทากาดะ ซะที่เมืองไทย!!”
ooooooo
และวันนี้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เด็ดได้รับคำสั่งจากปกาศิตให้ไปที่นั่น สองคนติดต่อกันทางโทรศัพท์ จนกระทั่งนายทากาดะออกมาด้านนอกแล้ว เด็ดก็โทร.ไปรายงาน
“นายครับ...ไอ้ทากาดะมาถึงเมืองไทยแล้ว กำลัง จะเดินทางไปรับนังสร้อยคีรีที่ไหนไม่รู้ เดี๋ยวผมจะตามมัน ไปนะครับ”
สร้อยคีรีกำลังทำสปาอยู่ในห้องนวด มีพนักงาน สาวสองคนกำลังปรนนิบัติ กำลังนวดอยู่ดีๆ เสียงพูดคุยของ พนักงานสองคนนั่นเงียบไป สร้อยคีรีพลิกตัวขึ้นมอง กลายเป็น ลุยยืนอยู่ข้างเตียง เธอยิ้มหวานให้
“คิดถึงฉันจนทนไม่ไหวเลยเหรอคะ”
“ไม่ใช่ความคิดถึง...แต่จะมาบอกว่า ไทรงามไม่เกี่ยว ถ้าคุณตามรังควานเธออีก...”
“ทำไม...เมียรักไปฟ้องว่ายังไงล่ะ”
“ไทรงามจิตใจดีกว่าที่คุณคิดเยอะ...และที่สำคัญ เขาคือผู้หญิงที่ผมรัก...ถ้าคุณหรือคนขององค์กรเข้าใกล้ไทรงามอีกก้าว เดียว... ถ้าคนที่ผมรักเจ็บ... ผมจะจองเวรไอ้คนทำ ให้มันเจ็บ จนไปถึงชาติหน้า” ลุยกระชากสร้อยคีรีเหวี่ยงไปกระแทกกับโต๊ะ แจกันดอกไม้หล่นลงมาดอกไม้กระจาย เขาเดินออกไป สร้อยคีรีลุกขึ้นกระทืบดอกไม้เหล่านั้นพลางด่า
“คุณไม่รัก ฉันยังไม่เจ็บเท่าเชิดชูผู้หญิงอ่อนแออย่าง ไทรงาม ลุย...ผู้หญิงที่คู่ควรและจะทำให้คุณแกร่งมากกว่านี้ คือฉัน ไม่ใช่ใครทั้งนั้น”
ooooooo
ลุยเดินออกมาจากสปา กำลังจะขึ้นรถ เสียงมือถือเข้าจึงหยุด กดรับ เสียงกริชดังมาทันทีบอกว่า องค์กรมีงานใหม่จะให้ทำ งานนี้ลุยจะได้แก้ตัวจาก ข้อหาคนทรยศ ตอนนี้กำลังจะส่งรายละเอียดไปให้
กริชวางโทรศัพท์แล้วพูดกับปกาศิตที่ยืนอยู่ด้วยว่า งานนี้เท่ากับส่งลุยไปตาย ปกาศิตตอบว่า
“มันขัดคำสั่งองค์กรก็เท่ากับตายไปแล้ว ที่ฉันยังให้ โอกาสหายใจ ปล่อยให้ลูกเมียมันใช้ชีวิตอยู่ถึงเดี๋ยวนี้ ยัง เมตตาไม่พออีกเหรอ...หรือแกจะตายแทนไอ้ลูกชายนอกไส้ก็ได้นะ กริชฉันจะจัดให้...แต่ขอให้จำไว้ว่า แกกำลังเอาชีวิตทุกคน ในตระกูลมาแลกกับชีวิตของไอ้ลุยเพียงคนเดียว...”
กริชพูดไม่ออก ปกาศิตหันไปกดปุ่มโปรเจกเตอร์ด้าน หลังขึ้นภาพทากาดะ ปกาศิตยิ้มชอบใจ
“นี่ไง...งานแก้ตัวของคนทรยศอย่างไอ้ลุย เป้าหมายใหญ่...”
ลุยที่กำลังกดปุ่มโหลดภาพในมือถือชะงักเมื่อภาพของทากาดะปรากฏขึ้นชัดเจน
กลับถึงบ้าน ขณะที่ไทรงามกำลังทำกับข้าว และเด็ก สองคนกำลังเล่นเกมกันอยู่ ลุยดึงเดือนออกมาคุยกันด้าน นอก บอกว่าองค์กรเพิ่งสั่งงานใหม่มาโดยนายใหญ่อ้างว่า เพื่อชดใช้ความผิดที่เขาขัดคำสั่งครั้งที่แล้ว คราวนี้เป็นคนที่แก แทบคิดไม่ถึงเลย
ลุยหยุดพูดนิดหนึ่งด้วยท่าทางขบคิด แล้วบอก กับเพื่อนว่า“ถึงองค์กรจะเปลี่ยนอุดมการณ์ แต่ยังไงซะ...ฉันก็ ไม่มีวันยอมฆ่าคนดีๆแน่”
เดือนจับมือเพื่อนมาบีบ “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันอยู่ ข้างแกเสมอ ลุย”
ลุยยิ้ม หันไปมองเด็กสองคนที่กำลังเล่นกันอยู่ พลางเอ่ยออกมาว่า เดือนไม่คิดจะหาแม่ใหม่ ให้บอยบ้าง เหรอ... เด็ก...บางครั้งก็ต้องการมากกว่าพ่อนะ ลุยพูดเพราะนึกไป ถึงแวววัลย์นั่นเองซึ่งเขาคิดว่าเหมาะกับเดือนมาก
พอดีวันรุ่งขึ้น โรงเรียนของทอมกับบอยมีการแข่งขัน กีฬาหลายอย่าง บางอย่างก็ต้องให้พ่อแม่และลูกแข่งด้วยกัน ไทรงามเลยแอบชวนแวววัลย์ไปด้วยและภาพของแวววัลย์กับเด็กๆวัน
นั้นก็ทำให้เดือนเริ่มนึกชอบเธอขึ้นมา
ooooooo
เช้าอีกหลายวันต่อมา ทากาดะกับสร้อยคีรี ที่ไป พักผ่อนที่พูลวิลล่าริมทะเลกันอยู่ สร้อยคีรีแอบเมสเสจ ไปหาลุย บอกว่าคิดถึงลุยที่สุด แถมมีภาพสร้อยคีรีที่ถ่าย อยู่หน้ารีสอร์ตส่งมาให้ พอลุยเห็นก็รู้ว่าเป็นที่ไหน จึง ตามไปเพื่อทำงานให้องค์กร ตอนแรกก็หลอกให้สร้อยคีรี ออกมาห่างจากทากาดะ จัดการเก็บเธอใส่ร่างแห เพื่อไม่ให้ไปขัดขวางงานของเขา แล้วตัวเองก็เข้ามา จัดการกับบอดี้การ์ดของทากาดะทั้งหกคนนั่น ก่อนจะ จัดการกับทากาดะ ซึ่งก็ค่อนข้างยาก เพราะทากาดะ เก่งรอบตัว กว่าจะได้ตัวลากขึ้นไปที่เกาะเล็กๆ ก็ใช้เวลา พอสมควร
ตอนที่สร้อยคีรีส่งข้อมูลมาให้ลุยนั้นพอดีไทรงามแอบเห็น เธอรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากแต่ไม่รู้ว่าสร้อยคีรีคือใคร พอดี แวววัลย์ไปที่บ้านถามหาลุย เธอจึงถามแวววัลย์ ว่ารู้จักคนชื่อนี้ไหม พอแวววัลย์รู้ก็ตกใจรีบไปหาเดือน เค้นเอาความจริง ว่าตอนนี้ ลุยไปทำงานที่ไหน เดือนทนตื๊อไม่ไหว จึงเปิดจีพีเอสใน โทรศัพท์ของลุยแล้วบอกแวววัลย์ว่าลุยกำลังไปทำงานสำคัญ อยู่ที่เกาะช้าง แวววัลย์จึงขับรถตามไปทันที
ส่วนสร้อยคีรี พอหลุดจากร่างแหได้ก็เที่ยวเดินหา ทากาดะ พบแต่พวกบอดี้การ์ดนอนสลบอยู่จึงโทร.ไปหาปกาศิต กรอกเสียงลงไปว่า
“ฉันต้องการรู้ว่าตอนนี้ทากาดะอยู่ที่ไหน”
ปกาศิตที่กำลังยืนมองจอโปรเจกเตอร์ เห็นพิกัดกูเกิ้ล กำลังซูมไปหาทากาดะอยู่จนเห็นอักษรกะพริบถี่ๆบอกมาว่าเกาะช้าง แต่เขาไม่ยอมบอกสร้อยคีรี กลับถามเธอว่า
“ทำไมฉันต้องบอกเธอ”
“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
ปกาศิตหัวเราะเยาะ “สถานะของคนเปลี่ยนไปได้ ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะยอมรับความจริงได้แค่ไหน” เขาพยักหน้า ให้เด็ดออกไปทำตามที่เขาสั่งไว้
“แกกับองค์กรทรยศฉัน” สร้อยคีรีแทบจะตะโกนใส่
“ไม่ใช่ฉัน...แต่เป็นพวกแกที่เล่นงานกันเองต่างหาก งานนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เพื่อผลประโยชน์ล้วนๆ ทากาดะ ตายซะคน ฉันกับองค์กรต่างชาติจะทำงานง่ายขึ้น ลาก่อน... สร้อยคีรี” พูดจบก็หัวเราะอย่างมีความสุข “ฮ่า ฮ่า...ให้มัน ได้อย่างงี้สิ...ไอ้ลุย”
ooooooo
ทากาดะถูกลุยขุดทรายฝังไว้โผล่แต่หน้า เขากำลังถามเอาความจริงจากทากาดะ เรื่องความ เปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ขององค์กร ทากาดะตอบว่า
“โลกนี้ไม่มีคนดี มีแต่คนฉลาดกับคนโง่ แกอยาก เป็นคนประเภทไหนล่ะ แต่ที่แน่ๆ เจ้านายที่สั่งแกมา มันคือคนโง่ที่คิดกำจัดฉัน”
“ทำไมเราต้องกำจัดคุณ...”
“เพราะฉันอาจจะเป็นคนดีที่เหลืออยู่...ในนิยามของแกไง...อุดมการณ์ฆ่าคนเลว สนับสนุนคนดี คงใช้ไม่ได้แล้วในโลก สมัยใหม่ ฉันเป็นคนเดียว ที่ต้องการให้องค์กรสืบทอดเจตนารมณ์นี้ต่อไป...องค์กรในเมืองไทยที่แกทำงานอยู่...อุดมการณ์กำลังจะเปลี่ยนไปเช่นกัน...อำนาจกับผลประโยชน์มีใครบ้างที่ไม่ต้องการ...”
ลุยชะงักนิ่งฟังอย่างขบคิด
“ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้มาตายในดินแดนที่แสนสงบอย่างเมืองไทย ชีวิตคนในองค์กรไม่เคยมีใครออกไปได้ทั้งที่ ยังมีลมหายใจ...ทันทีที่แกฆ่าฉันสำเร็จ ขอให้แกมีชีวิตรอด ได้กลับไปเจอคนที่แกรัก...ฝากบอกสร้อยคีรีด้วย เขาเป็น ผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้ฉันมีความสุข และคิดจะวางมือตั้ง ต้นชีวิตครอบครัว ที่มีสร้อยคีรีเป็นแม่ของลูก...”
ลุยมองแววตาของทากาดะที่เรียบเฉย สงบก่อนจะหลับ ตายอมรับความตาย โดยมีลุยยืนอยู่เหนือหลุม เสียงปืนดังเปรี้ยง ขึ้นหลายนัดซ้อนๆกัน
ที่ห้องทำงานของปกาศิต เขากำลังนั่งหลับตาฟังเพลง ด้วยความสบายใจ กดโทรศัพท์พูดกับเด็ดทางปลายสาย “เด็ด...คนอย่างไอ้ลุย...ถ้าตั้งใจมันไม่เคยพลาด...จ่ายค่าตอบแทน ให้มันอย่างสาสมด้วยนะ”
ooooooo
ที่ริมทะเล คนขององค์กรร่วมยี่สิบคนกำลังบอกกับสร้อยคีรีว่าองค์กรโดยคำสั่งของปกาศิตให้มารับตัวเธอไปจากที่นี่ สร้อยคีรีตะคอกว่าจำเป็นที่จะต้องเชื่อพวกมันด้วยหรือ พร้อมกับลั่นกระสุนใส่พวกนั้นทันที คนขององค์กรล้มลงคนแล้วคนเล่า แต่ในที่สุดเธอก็ถูกพวกมันจับตัวไป
ลุยกำลังเดินมาตามชายหาด ทันใดนั้นก็มีเรือแล่นเข้ามาจอด เด็ดนำลูกน้องกระโดดลงจากเรือพร้อมสาดกระสุนใส่ลุย ลุยยิงต่อสู้ เสียงเด็ดตะโกนบอกลูกน้องว่า
“ใครฝากกระสุนไว้ที่อกไอ้ลุยได้ นายจะเลื่อนตำแหน่งให้โว้ย”
ปกาศิตกำลังดูการต่อสู้ของพวกลูกน้องกับลุยอยู่ที่บ้าน ครึ่งหนึ่งของจอเป็นเรื่องของลุย อีกครึ่งหนึ่งเป็นเรื่องของสร้อยคีรี ปกาศิตนั่งดูเหมือนดูหนัง
“ไอ้ลุย...วันนี้ฉันจะจบตำนานของแกให้เหลือแต่ซาก...ส่วนนังสร้อยคีรี...วันนี้แกจะไม่มีทั้งผัวทั้งชู้เก่า ฉันจะรอดูนํ้าหน้าว่ามันจะเหนือฉันไปได้ยังไง”
ooooooo
สร้อยคีรีเตรียมตัวตายเต็มที่ ขณะที่นั่งรถมากับพวกสมุนของปกาศิตตามชายหาด ก็มีชายคนหนึ่งออกมายืนขวางถนนแล้วยิงเข้าใส่พวกลูกน้องของ
ปกาศิตร่วงลงไปทีละคนสองคน ขณะเดียวกันชายคนนั้นก็เดินเข้าหารถเรื่อยๆ สร้อยคีรีตัดสินใจม้วนตัวพุ่งออกจากรถ ยังได้ยินเสียงปืนอีกหลายนัด พอเธอยืนได้ก็หันไปดู แล้วร้องออกมาด้วยความดีใจ
“ทากาดะ...” แล้วพุ่งตัวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
ทางด้านลุยก็กำลังต่อสู้กับพวกเด็ดอย่างเต็มที่ บางทีก็แอบหลังก้อนหินยิงใส่พวกนั้น บางทีก็ยิงกันซึ่งๆหน้า จนเข้ามาใกล้เด็ด ซึ่งร้องอย่างย่ามใจเสียงสั่น แต่ลุยอาศัยจังหวะนั้นโดดเข้าเอาปืนจ่ออกเด็ดซะแล้ว
“เป็นเกียรติจริงๆโว้ย ที่จะได้ตายด้วยกระสุนของมัจจุราชคุณธรรมอย่างลุย หล่มสัก” เด็ดทำใจดีสู้เสือ แต่เสือไม่เล่นด้วย ตะคอกว่า
“นายปกาศิตใช้ให้แกมาใช่ไหม”
“ฉันมีนายคนเดียว” เด็ดเล่นลิ้น
“งั้นดีแล้ว...ฝากกระสุนนัดนี้ไปให้นายปกาศิตด้วย” ลุยยิงที่ขา เด็ดร้องลั่น ลุยซํ้าอีกนัด บอกว่าเอาไว้เตือนความจำ เด็ดถูกยิงขาสองข้างจนทรุดลงไปนั่งคุกเข่า เงยหน้าขึ้นมองเห็นปากกระบอกปืนอยู่ใกล้แค่คืบ
“แกกับฉันไม่เคยมีความแค้นส่วนตัว เป็นลูกน้องที่รับคำสั่งเหมือนกัน เพราะฉะนั้นแกไม่ควรมาตายเพราะฉัน...”
ลุยกดอีกนัด เด็ดนอนครางขาลาก ลุยก้าวข้ามผ่านไป เด็ดมองด้วยความแค้น ล้วงระเบิดออกมาจากเสื้อ
“มึงคิดว่าแน่กว่าคนอื่นนักเหรอวะไอ้ลุย...คนที่จะขึ้นไปเป็นใหญ่ ต้องไม่ใช่คนใจอ่อนอย่างเอ็งโว้ย”
เด็ดเงื้อมือจะขว้างระเบิด แวววัลย์ก้าวเข้ามาทางข้างหลังยิงแขนของมันทันที แต่เด็ดยังไม่ยอมปล่อยระเบิดในมือแม้เลือดที่แขนกำลังไหลพลั่กๆ มันเงื้อมือที่กำระเบิดอีก ลุยหันมาเห็นพอดีร้องบอกให้แวววัลย์หลบ แต่แวววัลย์กลับถลันเข้าเอาตัวบังลุยไว้พลางผลักเขาให้หลบเข้าโขดหิน ส่วน ตัวเองถูกระเบิดเข้าเต็มแผ่นหลังล้มลง เด็ดรีบคลานหนีไปทันที ลุยกระโจนออกมาอุ้มแวววัลย์ถามว่ามาที่นี่ทำไม แวววัลย์ตอบเสียงปนสะอื้นว่า “มาช่วยพี่ลุย...”
ลุยฟังแล้วแทบจะร้องไห้โฮออกมา กอดร่างแวววัลย์ไว้แน่น
ooooooo
เด็ดกลับถึงองค์กร ถูกส่งไปทำแผลเสร็จก็กลับไปหาปกาศิตอีก ปกาศิตเดินเข้าไปถีบไม้เท้าที่เด็ดใช้พยุงตัว ร้องด่าลั่น
“ทำไมแกไม่ตาย รอดกลับมาให้ทุเรศลูกตาฉันทำไม”
เด็ดถูกถีบจนล้ม แต่ก็ยังมองเจ้านายด้วยดวงตาที่ซื่อสัตย์ เหมือนหมามองเจ้าของ
“ไอ้ลุยมันตั้งใจปล่อยผม เพราะมันจะท้าทายนาย”
“ท้าทาย...” ปกาศิตสั่นด้วยความโกรธ
“เราไม่เจอศพทากาดะ คนที่ส่งไปเก็บนังสร้อยคีรีก็ตายเรียบเหมือนกับมีคนมาช่วยพวกมัน”
“ไอ้ลุย...ถ้ามันกล้าจะลองของกับองค์กร มันได้ลองสมใจแน่”
ปกาศิตแค้นจนแทบกระอัก
ooooooo
ทางบ้านของลุย ทอมกับบอยไม่รู้ว่าแวววัลย์ตายแล้ว เฝ้าแต่ถามพวกผู้ใหญ่ว่าทำไมแวววัลย์ไม่มาเล่นด้วยแต่ไม่มีใครกล้าบอก ลุยกับเดือนก็แทบจะไม่พูดอะไรเลยเอาแต่เงียบ สีหน้าเครียดทั้งสองคน หลังจากนั้นที่บ้านของลุยถูกพวกมือปืนมาตามล่าแต่ไม่เจอใครในบ้านเลย ปกาศิตไปหากริชคาดคั้นว่าลุยหนีไปไหน แต่กริชบอกว่าไม่รู้ ปกาศิตชี้หน้า
“ถ้าแกคิดจะปิดบังละก็...”
“องค์กรส่งมือดีมาล่า คิดว่าผมจะปกป้องมันได้เหรอ”
“แต่แกเหมือนพ่อมัน”
“พ่อที่ส่งลูกให้คนอื่นฆ่า...” กริชพูดอย่างเจ็บใจ จ้องหน้าปกาศิตอย่างแค้นๆ
“คนเรา ต่อให้ยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ถ้าเป็นคนไร้คุณธรรมก็ไม่มีใครอยากจดจำสรรเสริญหรอก” เขาผละเดินออกไปอย่างไม่แคร์ ปกาศิตมองตามอย่างเดือดๆ
“จะเอายังไงดีครับนาย” เด็ดถาม
“ตามตัวมันให้พบ ทั้งไอ้ลุยทั้งทากาดะกับนังสร้อยคีรี เราจะปล่อยให้มันลอยนวลอยู่อย่างนี้ไม่ได้”
“ครับนาย...” เด็ดหันไปพยักหน้าเรียกลูกน้องแล้วพากันออกไป
ooooooo
ลุยพาลูกกับเมียไปหลบอยู่ที่อื่น หลังจากที่ทำบุญไปให้แวววัลย์แล้ว ไทรงามไปถอนเงินออกจาก ธนาคารทั้งหมดโดยการปิดบัญชีเตรียมย้ายไปต่างจังหวัด ลุยบอกกับเธอว่า
“คุณล่วงหน้าไปก่อน...ทำตามที่ผมสั่งนะ...สำหรับผมเสร็จธุระแล้วจะตามคุณกับลูกไปเอง”
ส่งไทรงามกับลูกแล้ว ลุยก็ไปหาเดือน เดือนกำลังทดลองระเบิดที่ประกอบอยู่เพราะเขาชำนาญในเรื่องนี้ พอลุยร้องถามว่าทำอะไร เดือนสะดุ้ง รีบเอาผ้ามาปิดของที่กำลังทำอยู่ ตอบว่า
“ไม่มีอะไร...ลองทำเล่นๆ...เผื่อสักวันอาจได้ใช้” เดือนคิดไปถึงแวววัลย์ที่ตายเพราะระเบิดแล้วเสไปเรื่องอื่น “ยังไม่มีใครได้ข่าวสร้อยคีรีกับทากาดะ”
“นั่นแสดงว่าสองคนนั้นยังไม่ตาย”
เดือนหันมองหน้าเพื่อน “ลุย...แกรู้หรือยัง...นายใหญ่สั่งทุกคนตามล่าแก”
“ถ้าฉันไม่รู้ ฉันคงไม่มาหาแกที่นี่” ลุยบอกเสียงต่ำๆ
“แกรู้ความลับอะไรขององค์กรมากกว่าที่ฉันรู้เหรอ”
“ทากาดะบอกฉันหมดแล้ว องค์กรกำลังจะยิ่งใหญ่จากซากศพของทุกคน ไม่เลือกว่าชั่วหรือดี ต้องการคุมอำนาจบริหารบ้านเมืองไว้กับคนของตัวเอง...”
“แกพอมีเวลาหนีนะ...”
“ฉันไปแน่ แต่ก่อนไป...ฉันมีงานสำคัญต้องสะสางให้เสร็จ” น้ำเสียงของลุยกร้าว เดือนมองหน้าเพื่อนรักทันที
“ฉันเป็นมือระเบิด แกมาหาฉันแบบนี้ แกต้องการอะไร”
ลุยนิ่ง ไม่ตอบคำถามนั้น
ooooooo
วันนี้ พวกนายปกาศิตพากันไปที่สนามม้า จุดประสงค์ใหญ่ก็คือไปเล่นม้า ขณะเดียวกันก็ไปเปิดตัวต่อหน้าประชาชนให้รู้จักเขาไว้ โดยเด็ดพาลูกน้องไปคอยคุ้มกันให้ด้วย ปกาศิตขึ้นไปนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางอัฒจันทร์ รายล้อมไปด้วยบอดี้การ์ด นักพนันคนหนึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เห็นที่ว่างห่างจากพวกนั้นไปสามที่จึงเดินเข้าไปจะนั่ง แต่ถูกเด็ดเหวี่ยงแทบตกอัฒจันทร์
เสียงพิธีกรสนามประกาศได้ยินไปทั่วว่า “การแข่งม้าการกุศลครั้งนี้ ต้องขอบพระคุณคุณปกาศิต จอมพลังผู้อุปถัมภ์หลักของรายการ นอกจากนี้คุณปกาศิตยังได้บริจาคเงินสมทบทุนให้กับมูลนิธิเด็กด้อยโอกาสจำนวน 1 ล้านบาทด้วยครับ”
ผู้คนที่นั่งฟังอยู่ตบมือกันเกรียวกราว ปกาศิตยิ้มอย่างคนใจดี หันไปโบกมือกับคนเหล่านั้น พอเสียงคนซาลง เขาหันไปถามเด็ดว่า
“อัศวินของฉันเป็นยังไงบ้าง”
“จ๊อกกี้ของนายรับประกันครับ...ยังไงวันนี้ทุกคนก็จะทำให้ม้าอัศวินของนายเข้าเป็นที่หนึ่งได้”
ปกาศิตยิ้มอย่างพอใจ มองไปที่ซองม้าซึ่งเตรียมจะเริ่มแข่ง พอเสียงปืนสัญญาณปล่อยม้าดังขึ้น ม้าทุกตัวก็พุ่งออกจากซอง เสียงพิธีกรเชียร์ลั่น “ม้าออกแล้ว...ขณะนี้อัศวินเป็นตัวนำ...ตามด้วยขวัญใจตัวที่ 2 ถัดมาเป็นเดือนงามแล้วก็เจมส์ โอ๊ะๆ...สิงห์คู่ใจที่อยู่รั้งท้ายสุดตอนนี้นำมาเป็นตัวที่หนึ่งอย่างไม่คาดฝัน อัศวินตกไปเป็นตัวที่สองแล้วครับ...”
ปกาศิตหน้าเครียดหันไปถามเด็ด “ใครขี่ม้า สิงห์คู่ใจ”
“จ๊อกกี้ใหม่ครับนาย...” ก้มลงดูชื่อคนขี่ในโพย ยังไม่ทันหาเจอ เห็นปกาศิตลงไปด้านล่างของอัฒจันทร์เลยรีบร้องห้าม “นายครับ อย่าลงไป” ปกาศิตไม่ฟัง เด็ดกับพวกบอดี้การ์ดรีบตามลงไปทันที เห็นจ๊อกกี้ที่ขี่ม้าสิงห์คู่ใจเอื้อมมือไปที่เอว ควักปืนออกมา พอได้ระยะก็ยิงใส่นายปกาศิต บอดี้การ์ดคนอยู่ใกล้ที่สุดพุ่งเข้ามากันเลยถูกกระสุนเจาะเข้าอกยืนโงนเงนก่อนจะล้มลง เด็ดตะโกนสั่งลั่น
“คุ้มกันนายปกาศิตเร็ว...”
พวกลูกน้องพากันคุ้มกันปกาศิตออกไปได้ เด็ดวิ่งมาที่ขอบสนามยกปืนยิงจ๊อกกี้คนนั้น ซึ่งก็คือลุยนั่นเอง แต่ยิงไม่ถูก จึงวิ่งไปที่ลานจอดรถ พวกสมุนพาปกาศิตไปอยู่ที่นั่นแล้ว พอขึ้นรถกันหมดก็รีบขับแน่บออกไปที่ถนนทันที ปรากฏว่าลุยขี่ม้าไปคอยอยู่ก่อน พอรถแล่นผ่านก็ยิงใส่ แต่พอกระทบกระจกรถแล้วตกลง ลุยรู้ว่านั่นคือกระจกกันกระสุน จึงลงจากหลังม้ายิงเข้าใส่ยาง คราวนี้ได้ผล เพราะรถเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้าแล้วจอดนิ่ง ลุยเดินเข้าไปหาอย่างใจเย็น
นายปกาศิตลุกลี้ลุกลน พยายามจะเปิดประตูรถหนี ออกไปแต่เปิดไม่ได้ ลูกน้องคนหนึ่งบอกเขาว่า ระบบเซ็นทรัลล็อกโดนยิงทำลาย เปิดยังไงก็ไม่ออก ปกาศิตเลยบอกเด็ดว่าให้เรียกกำลังสนับสนุนด่วน เด็ดรีบทำตามสั่ง พอโทร.เสร็จ
ก็บอกปกาศิตว่า
“นายอย่าออกไปนะครับ อีกไม่เกินห้านาทีไอ้ลุยโดนถล่มแน่ๆครับ พวกเรากำลังจะมาถึงแล้ว”
ลุยเดินมาถึงรถ อ้อมมาที่ปกาศิตนั่ง แม้จะรู้ว่าเป็นกระจกกันกระสุน แต่เขาอดแค้นไม่ได้ จึงจ่อปืนยิงใส่อีกหลายนัด ปกาศิตยิ้มเย้ยเพราะมั่นใจว่าถึงยังไงเขาไม่มีวันตายแน่ ลุยคำรามออกมา
“แกฆ่าแวววัลย์ตายด้วยระเบิด เพราะฉะนั้น...ทุกอย่างต้องเท่าเทียมกัน” ชี้หน้าปกาศิตด้วยสีหน้าเหี้ยม ก่อนเดินไปที่หน้ารถ กระชากระเบิดมัดหนึ่งที่มีนาฬิกาดิจิตอลนับถอยหลังติดอยู่ ตั้งเวลาแค่ห้าวินาทีแล้ววางลงหน้ารถ เดินกลับไป ปกาศิตตาเหลือก เพิ่งจะรู้ว่าลุยเป็นเสือจริงก็เมื่อตัวเองจะตายแล้ว
เสียงระเบิดดังตูม รถปกาศิตลอยขึ้นสูงก่อนจะตกลงพื้นดินระเบิดยับ ลุยหันกลับไปมองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“แวววัลย์...พี่เอาชีวิตคนบงการมาชดใช้ให้เธอแล้วนะ...” มองตามเปลวไฟที่ลอยสูงขึ้นเหมือนฝากคำพูดไปบอกแวววัลย์
ooooooo
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ข่าวนี้ก็กระจายเข้าหูเทียว เขารีบไปที่บ้านของกริชพาลูกน้องไปเป็นสิบ ผลักประตูพรวดเข้าไปโดยไม่บอกกล่าวเจ้าของบ้าน กริชกับเดือนที่นั่งคุยกันอยู่หันขวับไปมอง เทียวตั้งข้อหาทันที
“ไอ้ลุยมันบังอาจมาก มันฆ่านายปกาศิต”
เดือนโต้ทันควัน “จะเป็นฝีมือลุยได้ยังไง ลุยคนเดียว แต่นายปกาศิตมีบอดี้การ์ดเป็นสิบ”
“หุบปากเลยไอ้เดือน หรือแกอยากถูกล่าเหมือนหมาอีกคน”
“เทียว สิบทิศ...เรื่องนี้ยังไงก็ต้องสอบสวนก่อน” กริชห้ามอย่างใจเย็น
เทียวหัวเราะเย้ย “สอบสวนเหรอกริช รถนายปกาศิตโดนระเบิดไม่เหลือซาก แกจะปลุกศพที่ไหนมาถาม” เขากราดสายตามองทุกคนก่อนประกาศว่า “ทุกคนฟังไว้ นับแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป แผ่นดินนี้จะไม่มีที่ให้ ลุย หล่มสักยืน...ล่ามันให้เหมือนหมาจนตรอก เราจะเอาหัวลุย หล่มสัก มาเซ่นวิญญาณนาย...”
พวกลูกน้องขยับตัว แต่กริชกับเดือนหน้าเครียด
ooooooo
ขรรชัยเองก็ได้รับคำสั่งเหมือนกัน อาศัยที่เป็นถึงผู้การจึงพาตำรวจที่ไม่รู้เรื่องราวเที่ยวตามจับลุย ตอนแรกก็ไปตั้งด่านตรวจรถทุกคันที่วิ่งเข้าออก ทางอากาศก็สั่งพวกทางหลวงให้บินค้นหา กริชกับเดือนนั่งเปิดดูภาพและติดตามข่าวอยู่ตลอดเวลาด้วยความเป็นห่วงลุย
“ลุยแย่แน่ๆ ทั้งบนบกบนฟ้าแบบนี้ มันจะรอดไปได้ยังไง”
“คนอย่างลุย ถ้าจะลงมือต้องเห็นทางรอดแล้ว...แล้วติดต่อไทรงามได้หรือยังล่ะ”
“ไม่ได้เลยครับ อาจจะเปลี่ยนเบอร์ไปแล้วก็ได้...”
“เฮ้อ...ขอให้ลุยกับลูกเมียรอดไปได้ด้วยเถอะ เพราะถ้าไม่...แม้แต่ซากของพ่อแม่ลูกสามคนก็คงไม่เหลือ” กริชถอนใจด้วยความเป็นห่วง
เดือนขยับตัวลุกขึ้น “ผมทนดูเพื่อนถูกล่าไม่ได้...”
“แกรู้เหรอ ว่าลุยมันไปไหน”
“ไม่รู้ครับ...แต่ลุยเป็นเพื่อนรักของผม สัญชาตญาณของผมจะพาไปเจอลุยเอง” เดือนเดินออกไป กริชมองตามหลังแล้วหันกลับไปตามข่าวลุยทางหน้าจออีก
ooooooo
ขรรชัยไปดักอยู่ที่ด่านตรวจเห็นเฮลิคอปเตอร์ลำนึงกำลังบินฉวัดเฉวียนโบกรถห้องเย็นคันหนึ่งให้มาจอด ตำรวจที่ด่านเดินเข้าไปมองๆ คนขับเปิดประตูจะถาม ตำรวจบอกว่าขอตรวจหน่อยเพราะมีการระเบิดเกิดขึ้น คิดว่าผู้ต้องสงสัยอาจใช้เส้นทางสายนี้หนี
คนขับลงจากรถยอมให้ตรวจโดยดี ตำรวจตรวจตราตรงที่นั่งคนขับแล้วไม่มีอะไรจึงไปด้านหลังรถเห็นกุญแจล็อกแน่นหนา หันไปบอกขรรชัยที่เดินมาดูด้วยว่า ข้างในเย็นจัดน่าจะไม่มีใครอยู่ได้ แต่ขรรชัยไม่ยอมสั่งให้เปิดประตูออก เท่านั้นไม่พอยังให้พวกตำรวจขนของแช่เย็นลงจาก
รถให้หมดเพื่อตรวจ พวกลูกน้องไม่ค่อยจะเต็มใจทำตามเท่าไหร่ แต่ก็ต้องทำ ขนของลงจนใกล้หมด หนาวจนสั่น ขรรชัยเองเพียงแต่เข้าใกล้ของแช่เย็นที่ขนลงมายังรู้สึกหนาวจนจามออกมา ลูกน้องขี้เกียจรื้อแล้ว บอกกับขรรชัยว่า “คนเป็นๆอยู่ไม่ได้หรอกครับผู้การ เย็นยังกะน้ำแข็งขั้วโลก”
ขรรชัยจึงยกเลิกคำสั่ง ปล่อยให้รถห้องเย็นคันนั้นผ่านไปได้ เขาไม่รู้ว่าถ้าอดทนรื้อของอีกนิดเดียวก็จะเจอลุยนั่งขดตัวอยู่ในนั้นแล้ว พอถึงสะพานปลาคนขับก็จอดรถแล้วรีบพาลุยออกมา ลุยกล่าวขอบใจและยื่นเงินปึกใหญ่ใส่มือให้ คนขับเร่งให้เขาไปจากตรงนั้นเร็วๆเพราะที่นี่คนเยอะ
ooooooo
ลุยนัดเจอกับไทรงามที่สะพานปลานี่เอง และตอนนี้เธอกำลังพาลูกมานั่งกินอาหารคอยเขาอยู่อย่างกระวนกระวาย ขณะนั้นก็เห็นผู้ชายกลุ่มหนึ่งท่าทางนักเลงเดินมาทางหน้าร้าน คนหนึ่งเอารูปส่งให้อีกคน มันรับไปดูแล้วเดินเข้ามามองหน้าคนในร้านทีละคน ไทรงามเห็นท่าไม่ดีรีบพาลูกชายหนีออกไปทางหลังร้านทันที ไปซ่อนตัวอยู่หลังแผ่นสังกะสีเก่าๆ กอดลูกไว้แนบอก
ลุยเดินมาถึงร้านอาหารที่นัดกันไว้ มองไม่เห็นไทรงามจึงหยิบมือถือออกมากดหา ไทรงามสะดุ้งเมื่อมือถือดังขึ้น พวกที่กำลังหาเธออยู่ก็ได้ยินด้วย มันพยักหน้าให้กันแล้วแยกกันเพื่อปิดล้อม พอเข้าใกล้สังกะสีเจ้าคนที่เป็นหัวหน้าพยักหน้าทันที ทุกคนยื่นปืนไปที่นั่นพร้อมกัน ไทรงามรีบเอาตัวเองบังลูกไว้
เสียงดังปุๆเบาๆ เธอค่อยๆหันไปมอง เห็นพวกนั้น ล้มลงทีละคนอย่างรวดเร็ว เพราะโดนยิงด้วยปืนเก็บเสียง ไทรงามแทบกระโดด ลุกขึ้นพาลูกออกไปหาลุยทันที ลุยคว้ามือเมียได้ ก็ร้องบอกคำเดียว “ไป” แล้วก้มลงอุ้มลูกมากอดแนบอก เอาตัวบังไม่ให้เด็กน้อยเห็นศพเจ้าพวกห้าคนนั่น
พาเมียกับลูกเดินอย่างรีบๆไปบนสะพาน มอง เห็นเรือให้เช่าลำหนึ่งจอดอยู่ ลุยชี้บอกเมียว่าลำนั้น พลางยกมือโบกให้สัญญาณ คนขับเรือโบกมือตอบ แต่ยังไม่ทันลดมือลงก็โดนยิงจากปืนของพวกลูกน้องเทียวสิบทิศ ตกลงไปตายในน้ำ ลุยร้องบอกเมีย
“พาลูกไปก่อน แล้วรีบเอาเรือออก ทำได้ใช่มั้ย”
“ค่ะ ค่ะ แล้วคุณล่ะคะ”
“เดี๋ยวผมจะตามไป ทอม...พ่อจะกลับไปซื้อของกินแป๊บนึงนะ ทอมไปลงเรือกับแม่ก่อน” ส่งมือลูก ให้เมียไทรงามคว้าแล้วพาลูกออกวิ่งไปทันที ไปถึงร้องสั่งลูกให้ลงไปอยู่ใต้ท้องเรือก่อน ส่วนตัวเองรีบมาแก้เชือกเรือ มือสั่น ออกเรือช้าๆ ไทรงามมองมาที่ลุย เห็นเขากำลังต่อสู้อยู่กับลูกน้องเทียวอีกห้าคน พอจัดการพวกนั้นเสร็จลุยหันกลับจะวิ่งไปที่ท่าเรือ แต่โดนยิงจากเฮลิคอปเตอร์ที่บินผ่านไปมาอยู่แถวนั้น
คนที่นั่ง ฮ.ยิงกราดใส่ลุยก็คือขรรชัยนั่นเอง ยิงไปหัวเราะไปเหมือนคนบ้า
“ฮ่า ฮ่า...ไอ้ลุย วันนี้เอ็งต้องสิ้นชื่อแน่...”
ไทรงามใจหายใจคว่ำมองเหตุการณ์ระหว่างลุยกับเฮลิคอปเตอร์ลำนั้น จนเห็นลุยคว่ำลงกับพื้น เพราะโดนยิงเจาะเข้าน่องขวา ไทรงามน้ำตาร่วงพรู ทอมได้ยินเสียงแม่ร้องเรียกชื่อพ่อจึงโผล่ขึ้นมา แต่ถูกไทรงามดุให้ลงไปอีก ไทรงามเห็นลุยลุกขึ้นลากขาวิ่งกะเผลกตามเรือมา
ส่วนขรรชัยกำลังย่ามใจ จ้องปืนเล็งไปที่ลุยอีกตั้งใจว่านัดนี้จะเอาให้ตกทะเลเลย เสียงปืนดังกราวขึ้น แต่ไม่ใช่จากปืนของขรรชัย แต่มันดังมาจากรถติดฟิล์มดำทึบคันหนึ่งที่จอดอยู่บนริมฝั่ง ยิงใส่ ฮ.ของขรรชัยจน ต้องเหออกไป ทากาดะ กับสร้อยคีรีก้าวลงจากรถคันนั้น ลุยหันไปมองว่าใคร ช่วยเขา
ลูกน้องของทากาดะยิงจน ฮ.ต้องบินหนี ลุยก้มหัวให้เป็นการขอบคุณแล้วจะวิ่งต่อเพื่อไปหาไทรงามที่ขับเรือรออยู่ ทากาดะกลับไปจะขึ้นรถ ขรรชัยตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายสั่งคนขับ ฮ.ให้โฉบมาที่ทากาดะ แล้วลั่นไกทันที กระสุนจากมือขรรชัยโดนเข้ากลางอกทากาดะจนล้มลงกับพื้น เสียงสร้อยคีรีตะโกนเรียกชื่อทากาดะทำให้ลุยหันมา พอเห็นสภาพแบบนั้น ลุยฝืนความเจ็บขาตัวเองวิ่งเร็วจี๋กลับมาถึงคว้าปืนยาวของลูกน้องทากาดะประทับบ่าโดดขึ้นบนหลังคารถ
“เปรี้ยง...” กระสุนแหวกอากาศพุ่งตรงไปที่ ฮ. โดนแกนใบพัดหัก ฮ.หมุนคว้าง ไฟลุกพรึ่บ ควงสว่านตกลงกระแทกน้ำพร้อมเสียงระเบิด...บึ้ม
ลุยไม่ได้รอดูผลงาน แต่รีบกระโดดลงจากหลังคารถตรงเข้าไปหาทากาดะ ซึ่งทั้งๆที่เจ็บปวดแต่ยังยิ้มให้ลุยอย่างขอบใจ บอกลุยว่า “ผมช่วยคุณ...เสมอกัน ไม่มีอะไร ติด...ค้างกันแล้วนะ...”
“แต่...คุณเจ็บมาก...สร้อยคีรี รีบพาทากาดะไปหาหมอเดี๋ยวนี้เลย”
“ไม่ต้อง...” ทากาดะห้ามลุยแล้วเบนสายตาไปที่สร้อยคีรี
“ผมขอตายในอ้อมกอด...ผู้หญิงของผม” ทากาดะมองสร้อยคีรีด้วยความรักอย่างท่วมท้น สร้อยคีรีพูดกับลุยว่า
“ลุย...ต่อไปนี้...เป้าหมายขององค์กรคือ...จะฆ่าคนไม่เลือก...”
ทากาดะพยักหน้ากับลุย จับมือเขามากุม “ผมดีใจที่ได้เจอคุณ...ช่วยปกป้องคนดีต่อไปด้วย...”
ทากาดะยิ้มให้ลุยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะคอพับหมดลมหายใจ
ooooooo
เทียว สิบทิศที่กำลังนั่งดูภาพอยู่ในจอยกมือทุบโต๊ะปัง คำรามออกมาว่า ไอ้ลุยมันรอดเพราะนังอสรพิษสร้อยคีรี... ส่วนกริชที่นั่งติดตามดูภาพอยู่ในห้องตัวเองก็ถอนใจด้วยความโล่งอก ร้องออกมาว่า ลุย...โชคดียังเป็นของแกนะ...
ที่ปลายสะพานท่าเรือ ลุยยืนอยู่กับสร้อยคีรี เขาแสดงความเสียใจกับเธอเรื่องทากาดะ บอกเธอว่า สามีของเธอเป็นคนดีมาก สร้อยคีรีไม่สนใจคำพูดของลุย แต่กลับถามเขาว่า
“ฉันต้องสู้ตามลำพังใช่ไหมลุย...คุณกำลังจะทิ้งเพื่อนอย่างฉันไปหาไทรงามเหรอ...”
“ไทรงามกับทอม คือทุกสิ่งทุกอย่างของผม...ขอบคุณสำหรับวันนี้”
สร้อยคีรีหันไปดูเรือของไทรงามหยุดเครื่องจอดรออยู่ไกลๆ “แล้วคุณจะไปยังไง”
“ไม่มีอะไรขวางทางที่ผมจะไปหาลูกกับเมีย” ลุยโดดลงน้ำว่ายไปทันที ไทรงามที่มองอยู่ที่เรือถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้แน่ว่าลุยเลือกเธอกับลูก สร้อยคีรีมองตามจนลุยว่ายน้ำไปถึงเรือ และไทรงามเอื้อมมือลงมาฉุดเขาขึ้นไปพร้อมกับทอมก็วิ่งขึ้นจากท้องเรือโถมเข้ากอดพ่อ แววตาของสร้อยคีรีเปลี่ยนเป็นเจ็บช้ำ
“ลุย...แล้วคุณจะได้รู้...ชีวิตสงบสุขมันไม่ใช่เส้นทางของคนอย่างเรา”
ooooooo
ลุยพาเมียกับลูกไปพักที่รีสอร์ตริมทะเลแห่งหนึ่ง เด็กชายทอมชอบเล่นน้ำมากจึงลงไปลอยคอในสระเกือบทั้งวัน ปล่อยพ่อกับแม่นั่งคุยกันอยู่สองคน เขาไม่ได้ยินว่าพ่อกับแม่คุยอะไรกันบ้าง ไทรงามถามลุยว่า จะบอกลูกว่ายังไงที่ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างมา เพราะตอนนี้ทอมเข้าใจว่าครอบครัวกำลังมาเที่ยวเท่านั้น
“ผมจะบอกเขาว่า เราจะไปทำไร่ เราจะไปอยู่กันอย่างเงียบๆ อาจจะไม่สะดวกสบายเหมือนที่ผ่านมา...แล้วคุณล่ะ”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ขอแค่มีคุณกับลูก...ที่นั่นก็เป็นสวรรค์สำหรับฉันแล้ว”
ทอมวิ่งตึงๆเข้ามาหาพ่อกับแม่ร้องบอกว่าสนุกจังเลย...
ไทรงามเอาผ้าขนหนูมาซับน้ำจากตัวลูก ก่อนจะห่มให้ ลุยดึงลูกชายไปกอดอย่างสุดรัก
วันรุ่งขึ้น เจ้าหนูก็ลงไปอาบน้ำอีกไทรงามตามลงไปดูแลลูกด้วย เสียงสองคนแม่ลูกหัวเราะกันอยู่ครู่หนึ่งก็เงียบไป ลุยที่กำลังเปิดอินเตอร์เน็ตเช็กข่าวอยู่เอะใจลุกไปดูที่หน้าต่าง ไม่เห็นลูกกับเมียอยู่ที่นั่น ลุยคว้าปืนที่แอบไว้ใต้หมอนวิ่งออกจากห้องทันที ปากก็ตะโกนเรียกชื่อทั้งสองคน แต่ไม่มี
เสียงตอบ เขาวิ่งเที่ยวหาไปเจอด้านหลังของลูกชายกำลังก้มๆเงยๆ อยู่หลังพุ่มไม้ ลุยพรวดเข้าไปทันทีแล้วก็ชะงัก เพราะเห็นทอมกำลังเล่นอยู่กับบอย เสียงเดือนดังขึ้นด้านหลัง
“หนีมาเที่ยวก็ไม่บอก”
ลุยตกใจ “แกมาได้ยังไง”
“นั่น...สองคนนั่น...” เดือนหันไปทางเด็กสองคน ทอมรีบรายงานเสียงแจ๋ว
“ผมโทร.ไปชวนบอยมาเองครับ” เด็กสองคนกระโดดกอดกันด้วยความคิดถึง
ooooooo
ลุยกับเดือนเดินออกไปคุยกันริมทะเล เดือนถามลุยว่าจะหนีไปไหน ลุยตอบว่าไปทำไร่ พอเห็นเดือนทำหน้าเหมือนไม่เชื่อถือจึงถามว่า
“ทำไม...มือที่จับปืน...มันจะจับจอบจับเสียมบ้างไม่ได้รึไง...”
“แล้วทอมล่ะ แกจะให้ลูกโตมาแบบไหน...”
“แบบไหนก็ได้ที่พ่อของเขาไม่ใช่ฆาตกร...ไม่ใช่คน เลว...ฉันไม่อยากให้ทอมเห็นภาพที่ฉันไล่ยิงคน ไม่อยากให้ลูกเห็นพ่อตายไปต่อหน้าต่อตา ฉันยังมีเวลาสร้างสิ่งดีงามจากมือที่เคยเปื้อนเลือด...” ลุยพูดอย่างหนักแน่น เดือนส่ายหน้า
“องค์กรไม่ปล่อยแกไปง่ายๆนะลุย ค่าหัวแกเพิ่มขึ้นทุกนาที...”
“อืม...แกไม่น่ามาที่นี่เลย เดือน”
“ฉันรู้ว่ามันไม่ปลอดภัยสำหรับแกเหมือนกัน...”
“สำหรับแกกับลูกต่างหาก แกไม่ควรมาเจอฉันอีก...”
“ไม่ได้หรอก...แกเป็นเพื่อน ฉันขอเจอให้แน่ใจว่าแกยังมีลมหายใจอยู่...ไหนจะทอมกับบอยอีก เด็กสองคนนี่โตมาด้วยกัน ให้เขาได้ลากันก่อนจะ...” เดือนหยุดแค่นั้น กลืนก้อนแข็งๆลงในลำคอ ลุยฟังเพื่อนอย่างเข้าใจ
ooooooo
ขณะที่พ่อคุยกันอยู่ ทอมกับบอยก็มีเรื่องคุยเหมือนกัน พอขึ้นมาจากสระน้ำบอยก็วิ่งมาเปิดกระเป๋า หยิบหุ่นยนต์ออกมายื่นให้ทอม บอกทอมว่านี่คือหุ่นตัวใหม่ที่พ่อเพิ่งซื้อให้ และเขาเอามาให้ทอม
“ฮึ...ไม่เอาหรอก...เดี๋ยวเราให้พ่อซื้อให้ก็ได้...”
“เราตั้งใจเอามาฝาก...เพราะเห็นพ่อว่านายจะย้ายไปอยู่ที่อื่นนี่”
“ไม่จริง พ่อกับแม่พาเรามาเที่ยวทะเลเฉยๆอีกไม่กี่ วันก็กลับบ้านแล้ว...พ่อบอยโกหก”
“พ่อเราไม่เคยโกหก...เอาไว้เถอะ เราให้นายจริงๆ...” บอยยื่นหุ่นยนต์มาจนเกือบชิดหน้า ทอมอยากได้ก็อยาก แต่ยังห่วงเรื่องที่บอยบอกว่าตัวเองจะย้ายไปอยู่ที่อื่นไม่กลับบ้านแล้วมีมากกว่า เลยชักโมโห ปัดหุ่นยนต์ตกจากมือบอยแล้ววิ่งไปที่ลุยทันที ลุยถามว่ามีเรื่องอะไรกัน ทอมฟ้อง
“พ่อบอยบอกบอยว่า พวกเราจะย้ายไปอยู่ที่อื่น ไม่จริงใช่มั้ยครับพ่อ”
บอยมายืนหลบหน้าจ๋อยๆอยู่ข้างเดือน ลุยตัดสินใจพูดความจริงกับลูกว่าจริง ทอมเริ่มงอแง
“ไม่เอา ทอมจะกลับไปอยู่บ้านเรา”
ไทรงามเข้ามากอดปลอบลูก “ทอม...ฟังพ่อก่อนนะจ๊ะ บ้านใหม่ที่เราจะไปอยู่มีที่กว้างๆให้ลูกวิ่งเล่น มีม้าให้ลูกขี่... มีอะไรอีกตั้งเยอะแยะที่บ้านเก่าเราไม่มี...”
“แต่...ไม่มีบอย ไม่มีอาเดือน” ทอมสะอื้นฮักๆ ผู้ใหญ่สามคนหน้าสลด ทอมพรรณนาอีก “แล้วใครจะคอยช่วยบอย เวลาบอยโดนรังแกที่โรงเรียน...ใครจะช่วยบอยทำการบ้าน...พ่อครับ เราพาบอยไปด้วยไม่ได้เหรอครับ...”
“ไม่ได้หรอกทอม...” ลุยบอกลูกอย่างหนักใจ เดือนรีบเสริมว่า
“วันนี้ยังไม่ได้...แต่วันนึง...อาจะพาบอยไปหาทอมนะ ไปขออยู่กับพ่อของทอม”
“จริงนะครับ เมื่อไหร่ครับ เมื่อไหร่บอยจะมาอยู่กับทอม” ทอมยิ้มอย่างมีความหวัง แต่ผู้ใหญ่สามคนไม่มีใครกล้าตอบ บอยสะอึกสะอื้นเดินเข้าหาทอม ยื่นหุ่นยนต์ให้ ทอมรับมากอดกับอกสั่งว่า
“รีบๆกลับมาอยู่กับเรานะบอย...เราจะรอ...รีบมานะ” สองคนกอดกันร้องไห้ พวกผู้ใหญ่เบือนหน้าหนี
ooooooo
ลุยกับไทรงามออกไปส่งเดือนกับบอย ขณะที่เด็กสองคนยังกอดกันไม่ยอมปล่อย เดือนบอกกับลุยว่า ลุยไปถึงไหนให้ติดต่อเขาด้วย ลุยรับคำ เดือนจึงดึงลุยเข้ามากอดพลางอวยชัยให้พร
“โชคดีเพื่อน...อีกไม่นาน ฉันคงได้ตามไปขอพึ่งแก...”
ทันใด มีเสียงปืนดังเปรี้ยงขึ้น กระสุนเฉี่ยวผ่านไหล่ลุยไปเจาะผนังบ้าน ไทรงามร้องว้ายด้วยความตกใจ เดือนกับลุยผละห่างจากกัน ไทรงามตะโกนเรียกเด็กสองคนให้มาหาเธอ ส่วนเดือนกับลุยช่วยกันยิงต่อสู้กับพวกที่ติดตามเดือนมาโดยเขาไม่รู้ตัว ในนั้นมีขรรชัยที่รอดตายจาก ฮ.ที่โดนลุยยิงตกเพื่อช่วยทากาดะอยู่ด้วย และติดตามมาด้วยความแค้น พอเจอหน้าลุย ขรรชัยตะโกนเสียงดังลั่น
“ฉันเองไอ้ลุย...ถ้าฉันไม่ได้ยิงเจาะหัวแก ฉันคงตายตาไม่หลับ” ยิงใส่ลุยอีก ลุยหลบแล้วตะโกนบอกเดือนให้พาลูกหนีไปก่อน แต่เดือนกลับตะโกนให้ลุยหนีก่อน แถมยังมีแก่ใจบอกลุยว่าเขาพ่อลูกแค่สองคน แต่ลุยมีถึงสามเพราะมีไทรงามด้วย ลุยอยากจะเขกหัวเพื่อน สั่งเสียงดัง
“แกไม่ต้องห่วงฉัน...พาบอยไปเดี๋ยวนี้”
เดือนจำใจวิ่งกลับไปดึงลูกตัวเองแยกจากทอม เด็กสองคนยังร้องสั่งกันอยู่นั่น
ลุยต่อสู้กับขรรชัยแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน แต่ขาของเขาที่โดนขรรชัยยิงลงมาจาก ฮ. เมื่อวันก่อนยังเจ็บอยู่เลยไม่คล่องแคล่วในการต่อสู้ประชิดตัว พอเสียหลักล้มลงจึงโดนขรรชัยกระทืบจนติดพื้น แถมยังเอาปืนจ่อหลังอีก คำรามออกมา
“แกไม่ใช่มือหนึ่งอีกแล้ว ไอ้ลุย”
“แน่ใจเหรอท่านขรรชัย...ระวังหน่อย...เพราะคนชั่วไม่เคยอยู่ได้นานสักคน”
“แต่ฉันคือข้อยกเว้น” ขรรชัยกระทืบซ้ำแล้วยกปืนจะยิง ลุยรอจังหวะนั้นอยู่แล้วหันมาเหวี่ยงขาใส่ปืนในมือของขรรชัยกระเด็นขึ้นฟ้า ลุยเสยปืนตัวเองเล็งขรรชัย เขากระโดดหลบเข้าหลังพุ่มไม้ ลุยยิงตามอีกสองนัดเพื่อสกัด แล้ววิ่งออกไปที่ถนน ไทรงามขับรถหนีออกมากับลูกชาย เห็นคนแวบๆอยู่ข้างหน้าคือลุย จึงจอดรถรับแล้วขับหนีไปอย่างรวดเร็ว
ขรรชัยวิ่งตามออกมาทันเห็น พอดีรถลูกน้องเทียว วิ่งมาเขาเลยโดดขึ้น บอกคนขับให้ไล่ตามรถลุยไป
ส่วนเดือนนั้นโชคร้าย เพราะพาลูกชายหนีแต่ไปเจอ พวกเด็ดกลุ่มใหญ่ไล่ตาม เห็นจวนตัวจึงผลักลูกให้ขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ แต่บอยเป็นเด็กไม่กล้าเหมือนทอมจึงไต่ขึ้นไปไม่สูง ในที่สุดพวกเด็ดก็ลากตัวลงมาต่อรองกับเดือนที่กำลังต่อสู้อยู่ เดือนละล้าละลัง เสียงบอยร้องเรียกให้เขาช่วย
“พ่อ...ช่วยบอยด้วย”
เดือนมืออ่อน ไม่กล้าต่อสู้กับพวกนั้นอีกเพราะเป็นห่วงลูก จึงถูกพวกมันซ้อมแล้วพากลับไปที่องค์กร
ooooooo
ลุยไม่รู้ว่าเดือนกับลูกถูกจับจึงยังหนีต่อไปเรื่อยๆ ลุยบอกทางให้ไทรงามขับรถหนีไปทางน้ำตก แต่พวกขรรชัยตามมาทันจึงยิงใส่ล้อรถขับต่อไม่ได้ ลุยพาลูกกับเมียลงจากรถบอกกับไทรงามว่าให้พาลูกหนีไปก่อน โดยเขาสัญญาว่าตัวเองจะไม่เป็นอะไร ไทรงามจึงพาลูกวิ่งเข้าไปที่น้ำตก ขณะที่ลุยต่อสู้กับพวกขรรชัยเพื่อถ่วงเวลา
ไทรงามพาลูกมาถึงน้ำตก เห็นสะพานข้ามเล็กๆ เธอก้มลงจะอุ้มทอมเดินข้ามแต่ทอมไม่ยอม
“ผมไปได้ครับแม่...”
“แต่...น้ำมันเชี่ยวนะลูก”
ทอมไม่ฟัง เดินข้ามสะพานที่มีเชือกขึงไว้อย่างระมัดระวัง ไทรงามหันไปดูด้วยความเป็นห่วงลุย เห็นกำลังวิ่งตามมาจึงเบาใจ ทันใดนั้นขรรชัยโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ เล็งปืนใส่เชือกสะพานที่ทอมกำลังข้ามอยู่ กระสุนโดนเชือกขาด ทอมหล่นลงไปในน้ำที่เชี่ยวกรากนั้นลอยไปตามกระแส ลุยโดดลงน้ำตามอย่างไม่คิดชีวิต ไทรงามทรุดตัวลงนั่งเกาะราวสะพานร้องไห้ใจแทบขาด ขรรชัยเอาปืนจี้หลังเธอ ตวาดว่า
“หมดเวลาหนีแล้ว...” ลากไทรงามมาจากที่นั่น ไทรงามดิ้นรนร้องลั่น ขรรชัยไม่ห้ามกลับบอกว่าให้แหกปากร้องดังๆ ให้ผัวแกตามมา ไทรงามตัดสินใจอ้าปากกัดแขนขรรชัยเต็มแรง ขรรชัยจึงตบเธอล้มคว่ำลง
ลุยว่ายน้ำตามไปช่วยลูกชายไว้ได้ พาขึ้นฝั่ง สองคนพ่อลูกเหนื่อยใจแทบขาด พอลูกชายถามถึงแม่ลุยจึงนึกได้ รีบกลับไปตามหา เห็นรอยที่ขรรชัยลากไทรงามไปจึงเดินตามรอยนั้น
ขรรชัยยังลากไทรงามไปไม่ไกลเท่าไหร่เพราะเธอดิ้นรนต่อสู้ไปตลอดทาง ขรรชัยลากไปด่าไป
“จะดิ้นไปทำไมหา...ป่านนี้ผัวกับลูกแกตายขึ้นอืดอยู่ด้วยกันแล้วมั้ง...”
พอได้ยินพูดถึงลูก ไทรงามไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ลุกขึ้นตบขรรชัยสุดแรงเกิด “แกนั่นแหละที่ต้องตาย”
ขรรชัยโกรธมาก มือหนึ่งจิกผมเธอกระชาก อีกมือหนึ่งจ่อปืนใส่
“ซ่านักใช่มั้ย...งั้นก็ตายซะเถอะ” ปืนที่จ่อหัวไทรงามกำลังถูกเหนี่ยวไก ฉับพลันก็โดนไม้ท่อนหนึ่งฟาดลงที่คอ เขาอย่างแรง ขรรชัยล้มลงสลบเหมือด ลุยทิ้งไม้แล้ว เอาปืนจ่อหัวขรรชัยทั้งๆที่ยังนอนสลบอยู่ ตั้งใจยิงเผาขนเลย แต่ไทรงามรีบเข้ามาจับแขนเขาห้ามไว้
“อย่าค่ะ...เขาเป็นตำรวจนะคะ ถ้าฆ่าเขาโทษจะหนักมาก”
ลุยชะงัก มองหน้าไทรงาม เขาอยากจะพูดออกมาว่าทีตำรวจทำกับประชาชนหนักหนาสาหัสกว่านี้ทำไมไม่ต้องรับโทษบ้าง แต่ก็พูดไม่ออก เปลี่ยนเป็นยกมือโอบกอดเธอ และเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด
“ผมขอโทษ...ผมไม่น่าพาคุณกับลูกมาเจอความเลวร้ายพวกนี้เลย”
ooooooo
ที่ประชุมองค์กร เดือนกำลังถูกเด็ดซ้อมอย่างทารุณทั้งๆที่เขาบาดเจ็บอยู่แล้ว ส่วนบอยถูกมัดอยู่อีกด้านหนึ่งของห้องประชุม ในห้องมีเทียวกับลูกน้องนั่งดูการซ้อมเดือนอยู่ด้วย ทุกคนนั่งมองอย่างสะใจ มีแต่เสียงบอยที่ร้องอ้อนวอนลั่นๆ
“อย่าทำพ่อบอยครับ อย่าทำพ่อบอย...”
แต่เด็กยิ่งร้องยิ่งทำให้พวกนั้นบ้าดีเดือดยิ่งขึ้น เทียวเดินกร่างลงไปร่วมวงกับเด็ดซ้อมเดือนด้วย ปากก็ตะคอกถามเดือนให้บอกว่าตอนนี้ลุยอยู่ที่ไหน เดือนตอบว่าไม่รู้ เทียวแสยะยิ้ม
“ได้...ถ้าแกไม่รู้...เด็ด...” หันไปพยักหน้ากับเด็ดไปทางบอย เด็ดละจากเดือนเดินไปหาเด็กน้อยทันที เดือนร้องลั่น
“อย่า...อย่าแตะลูกฉัน...ไอ้นรก อย่าทำเด็ก”
“พ่อ...ช่วยบอยด้วย” บอยสั่นด้วยความกลัว เมื่อเด็ดเงื้อมือเข้าไป
กริชพรวดเข้ามาในห้อง ผลักเด็ดเต็มแรงร้องห้าม “อย่า...เด็กไม่เกี่ยว”
เด็ดยังเกรงใจกริชอยู่บ้างจึงชะงัก กริชหันไปสั่งลูกน้องให้เอาเด็กออกไปจากห้องนี้ แต่บอยดิ้นรน
“ไม่ไป...บอยจะอยู่กับพ่อ ช่วยพ่อบอยด้วยครับ...อย่าให้เขาเตะพ่ออีกเลย”
ลูกน้องกริชพาบอยออกไปจากห้องนั้น กริชหันไปพูดกับพวกนั้นโดยไม่เจาะจงพูดกับใครว่า
“ไอ้เดือน...เป็นคนของฉัน”
“แต่...มันเป็นเบาะแสเดียวที่จะสาวถึงตัวไอ้ลุย...” เทียวค้านเสียงดัง
“ฉันจะถามมันเอง” กริชจ้องหน้าเทียว แต่มันกลับตะคอกว่า...ไม่ได้!
ooooooo
เสียงสร้อยคีรีดังขึ้นก่อนที่จะปรากฏตัวหน้าประตูห้องว่า “งานง่ายๆแบบนี้ ต้องถึงมือหัวหน้าเทียว สิบทิศ เชียวเหรอ แค่เดือน แรมกล้า ฝีมือปลายแถว ทำไมต้องให้เทียว สิบทิศมาเสียเวลาเค้นเอาความจริง”
ทุกคนหันไปมอง สร้อยคีรีก้าวเข้ามาด้วยมาดยั่วยวน กระโปรงสั้นจนอวดโคนขาเรียวสวย และเสื้อก็ผ่าแหวกลงโชว์เนินอกขาวผ่อง คนที่จ้องตาเป็นมันคือเทียว เขาเออออทันที
“นั่นน่ะสิ...”
สร้อยคีรีเดินไปนั่งเก้าอี้ ยกขาไขว่ห้างสูง กระโปรงที่สั้นอยู่แล้วยิ่งเลิกขึ้นมองเห็นถึงไหนๆสะกดสายตาของพวกผู้ชายในห้องให้มองไปยังเธอเท่านั้น
“ปล่อยให้กริชเขาสอบสวนคนของเขาเองก็ได้ เราจะได้มีเวลาไปคุยเรื่องธุรกิจร่วมกันดีกว่ามั้ยคะเทียว” ลงท้ายคล้ายพูดกับเทียวคนเดียวด้วยเสียงหวาน แถมทิ้งสายตาให้อย่างเชิญชวน
เทียวอ่อนเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลน ขยับเข้ามาใกล้ๆเอื้อมมือแตะขาของสร้อยคีรี ตอบนัยน์ตาเยิ้ม
“ได้เลยสร้อย...ตอนนี้เธอก็ไม่ใช่มาดามของหัวหน้าองค์กรต่างชาติทากาดะแล้ว เธอเป็นแม่ม่ายหัวใจเปลี่ยว เราคงมีเวลาคุยกันนานเลยละ...”
สร้อยคีรีไม่ได้ปัดมือเทียวออก เพียงแต่เอี้ยวตัวนิดเดียวมือเทียวก็หลุดจากขา แต่แกล้งยื่นหน้าเข้าใกล้แล้วกระซิบเบาที่สุด “เดี๋ยวฉันจะโทร.ไปหานะคะ”
เทียวกระดี๊กระด๊า หันไปเรียกลูกน้องกลับ เด็ดเข้ามาขวางไว้ร้องเรียกชื่อ เทียวตวาดทันที
“หยุด ไอ้เด็ด เป็นขี้ข้าอย่าสะเออะพูด ถ้าฉันไม่ถาม นายปกาศิตตายไปแล้ว ที่นี่มีแต่เทียว สิบทิศ ออกคำสั่งได้เท่านั้น” เทียวพาลูกน้องเดินออกไป เด็ดขบฟันสะกดอารมณ์ก่อนจะเดินออกไปอีกคน
สร้อยคีรีเปลี่ยนท่าทางยั่วยวนเป็นจริงจัง เดินเข้ามาหาเดือนถามเสียงรัวเร็วว่าลุยจะหนีไปไหน เดือนยังไม่ตอบ สร้อยคีรีอ้างว่า รู้ไหมว่าเธอกับลุยสนิทกันมากแค่ไหน คราวนี้ เดือนตอบทันที
“ลุยไม่เคยพูดถึงผู้หญิงคนไหน นอกจากไทรงาม...แม่ของลูกเขา”
สร้อยคีรีโมโห เอื้อมมือกระชากผมเดือนจนหน้าหงาย
“ฉันไม่มีเวลาฟังแกเล่นลิ้น ถ้าไม่อยากให้ลุยตายอย่างหมาจนตรอก บอกมาว่าลุยกำลังจะหนีไปไหน”
ooooooo
คืนนั้น ที่บ้านของเทียว สิบทิศ เขาอาบน้ำแล้วก็ฉีดน้ำหอมทั่วตัวแทบหมดขวดจนพวกลูกน้องจามกันใหญ่ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนสไตล์เจ้าพ่อ พลางสั่งลูกน้อง
“เดี๋ยวพวกเอ็งออกไปให้หมดเลยนะตอนสร้อยคีรีมา”
“ครับนาย...” ลูกน้องแอบยิ้มกัน ด้วยความหื่นเหมือนเจ้านาย
เสียงมือถือดังขึ้น เทียวรีบกดรับ... “ว่าไงจ๊ะ...สร้อยคีรี ใกล้จะถึงแล้วใช่มั้ย...”
“ค่ะ...ใกล้ถึงแล้วค่ะ”
เทียวหัวเราะชอบใจ วางโทรศัพท์ลงหันไปบอกพวก ลูกน้อง
“ผู้หญิงอย่างสร้อยคีรีจะมีพิษสงอะไร ผัวตาย ชู้รักเก่าก็โดนตามล่า หัวเดียวกระเทียมลีบแบบนั้นยังไงก็ต้องคลานมาซบตีนข้า....”
เทียวไม่รู้ว่า คืนนั้นต้องนอนน้ำลายยืดทั้งคืน เพราะสร้อยคีรีไม่มาตามนัด แต่เธอขับรถไปหาลุยเพื่อช่วยเขาตามสถานที่ที่เดือนบอกแต่เพียงว่า ลุยหนีเตลิดเข้าไปในป่า...เราคลาดกันตรงนั้น
ข้อมูลจากเดือนเพียงเท่านี้ สร้อยคีรียังอุตส่าห์ขับรถมาคนเดียว พอถึงชายป่าตามท่ีเดือนบอกเธอก็ลงเดิน แม้ป่าจะมืดแค่ไหน เพราะเป็นเวลาค่ำแล้วเธอก็ยังเอาไฟฉายเล็กๆส่องทางฝ่าความมืดเข้าไป ส่วนลุยนั้นถือโอกาสที่มืดแล้วพาไทรงามกับลูกออกจากป่าเพื่อหนีไปจากที่นั่นให้ได้ พอมองเห็นแสงไฟฉาย ลุยรีบพาไทรงามหลบเข้าพุ่มไม้
“สร้อยคีรี...” ไทรงามอุทานเมื่อแอบมองแล้วจำได้ บอกกับลุยว่า สร้อยคีรีคงมาช่วยเขา
“ไม่...เราจะไปกันเอง” ลุยบอกกับเมีย เพราะรู้ว่าเธอน้อยใจที่สร้อยคีรียังตามหาไม่เลิก
คำตอบของสามีทำให้ไทรงามยิ้มออกมาได้ “ขอบคุณค่ะลุย ที่ไม่ให้สร้อยคีรีเข้ามาวุ่นวายกับครอบครัวของเรา...ฉันไว้ใจคุณค่ะ...” ลุยยิ้ม พาไทรงามกับลูกเดินออกไปด้านตรงข้ามกับสร้อยคีรี
ขณะที่สร้อยคีรีเดินมะงุมมะงาหราตามหาลุยอยู่นั้น เทียวที่คอยเธออยู่ในห้องนอนก็เฝ้าแต่คอยจนหลับแล้วหลับอีก ลุกขึ้นเดินแก้ง่วงในชุดนอน ในที่สุดก็โทรศัพท์ไปตามบอกว่าเขารอเธอนานแล้ว แต่เสียงสร้อยคีรีตอบมาอย่างเย็นชาว่า
“ของดีๆ ถ้าได้มาง่ายเกินไป...มันจะมีค่าเหรอ เทียว สิบทิศ” พูดจบเธอตัดสายทันทีเลย
“อ้าว...ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ” เทียวพูดเองฟังเองอยู่คนเดียว ลูกน้องที่เหลืออยู่คนเดียวในบ้านเพราะคนอื่นๆถูกให้ออกไปคอยนอกบ้านกันหมดแล้วเดินเข้ามาถามว่า
“นายครับ...ไอ้พวกนั้นออกไปที่อื่นกันหมดแล้ว ทำไมสร้อยคีรียังไม่มาซะทีล่ะครับ”
“ไม่รู้โว้ย...มึงกลับไปหาเมียมึงที่บ้านเลยไป๊...” ว่าแล้วก็ง้างตีนยันโครมส่งมันออกไปนอกห้องเลย
ooooooo