สมาชิก

อีสา-รวีช่วงโชติ

ตอนที่ 36

ขบวนขันหมากสวยงามวิจิตร มีขบวนดนตรีไทยบรรเลงนำหน้ามาถึงบ้านเจ้าสาว ลูกน้องของสันทนาอยู่ในเครื่องแบบเรียบร้อย เพื่อนสาวของแหววใส่ชุดไทยทำหน้าที่กั้นประตูและรับแขก

นายพลสันทนาแต่งตัวเต็มยศยืนคู่กับเฉิดฉวีในชุดไทยเรือนต้นสง่างาม

“เชิญครับ เชิญข้างในเลย”

ขบวนขันหมากถูกแยกไปจัดเรียงในห้องจัดงาน สันทนารับรองพวกหม่อมพริ้มในห้องรับแขก หญิงจิ๋มหน้าบาน กุลีกุจอแนะนำสองฝ่ายให้รู้จักกัน

“หม่อมแม่ขา ท่านนายพลสันทนากับคุณหญิงเฉิดฉวีค่ะ”

เฉิดฉวีพนมมือไหว้หม่อมพริ้มด้วยท่าทีนอบน้อมอ่อนหวาน ขณะที่สันทนาก็ไหว้ด้วยรอยยิ้ม

“ไหว้พระเถอะจ้ะ” หม่อมพริ้มตอบตามมารยาท ในใจคิดเสมอว่าสันทนาไม่ใช่คนดี ทั้งเป็นชู้กับสาและเป็นตัวการมาติดต่อเรื่องโสภิตพิไล

“หญิงขออนุญาตแนะนำนะคะคุณสันทนา นี่หม่อม ราชวงศ์หญิงโศภี พี่สาวคนโตค่ะ นี่หม่อมราชวงศ์หญิงศุภลักษณ์ คนรอง กับหลวงหาญชาญณรงค์สามี แล้วนี่ก็หม่อมราชวงศ์หญิงศรีลักษณา น้องคนสุดท้อง”

“เอ๊ะ คนสุดท้องหรือจ๊ะ ฉันคิดว่าคุณชายรวีเป็นน้องเล็กเสียอีก” เฉิดฉวีท้วงขึ้นมา

หญิงจ้อยรีบบอกว่า “ฉันเป็นลูกสาวคนสุดท้ายค่ะ ไม่ใช่ลูกคนสุดท้อง ชายรวีเป็นลูกคนสุดท้องของหม่อมแม่ค่ะ”

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” สันทนาพยักหน้าเข้าใจ

“นี่ก็จวนจะได้ฤกษ์แล้ว จะเริ่มกันหรือยัง”

“สักครู่ครับหม่อม ผมกับคุณชายรวีมีธุระที่จะต้องจัดการกันนิดหน่อยก่อนจะเริ่มพิธีแต่งงาน เชิญครับคุณชาย”

สันทนาเดินนำ ชายรวีลุกขึ้นเชิญหลวงหาญไปด้วย ปวุติไม่ได้ถูกชวนแต่ก็ก้าวตามหลังทุกคนไป หม่อมพริ้มและลูกสาวทุกคนมองตามแววตาเป็นกังวล ยกเว้นหญิงจิ๋มคนเดียวที่ยิ้มพอใจ

ภายในห้องทำงาน สันทนายื่นซองเอกสารสีน้ำตาลข้างในมีเอกสารปึกใหญ่ให้ชายรวีลองอ่านดู หลวง-หาญเปิดซองแล้วช่วยอ่าน

“ในสัญญาฉบับนี้ระบุว่าคุณสันทนาจะรับภาระไถ่ถอนจำนองวังรวีวารจากธนาคาร และจ่ายดอกเบี้ยที่ติดค้างทั้งหมดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นสามล้านสี่แสนบาท”

“เมื่อผมไถ่ถอนจำนองเรียบร้อย วังรวีวารก็จะกลับมาเป็นของหม่อมแม่ของคุณชายตามเดิม” สันทนาเน้นย้ำด้วยรอยยิ้ม

“แต่ผมจะเป็นหนี้คุณสามล้านสี่แสนบาท”

“ใช่! คุณชายจึงต้องลงนามในสัญญาว่าจะขายวังรวีวารให้ผมในราคาสิบล้านบาท”

“นั่นมันครึ่งเดียวของราคาตลาดนะครับท่าน” หลวงหาญติงขึ้นมา

“อย่าเพิ่งตกใจครับ” สันทนายิ้มบางๆ ยื่นเอกสารไปอีกซองให้ชายรวีเปิดดู

“พินัยกรรม!” ชายรวีค่อนข้างตกใจ

“ในนั้นระบุว่าผมยกวังรวีวารให้สวาทโฉม สุนทราภพ ลูกสาวของผม เป็นของขวัญวันแต่งงาน ทันทีที่คุณชายจดทะเบียนสมรสกับยายแหวว วังรวีวารก็จะกลับไปเป็นของคุณชายตามเดิมในฐานะสามีของยายแหวว”

“ท่านนายพลนี่เหนือชั้นจริงๆ จ่ายเงินครึ่งเดียวแลกกับสิทธิ์การเป็นเจ้าของวังรวีวารครึ่งนึง” ปวุติเอ่ยยิ้มๆ

“ของเมียก็เหมือนของผัว มันจะไม่มีปัญหาอะไรเลย ถ้าคุณชายไม่ได้คิดจะทอดทิ้งลูกสาวผม”

“ผมเป็นลูกผู้ชาย ถึงแม้ผมจะไม่ได้รักคุณแหววมาก่อน แต่เมื่อผมตัดสินใจแต่งงานกับเธอแล้วผมก็ตั้งใจจะดูแลเธอไปชั่วชีวิต”

สันทนามองชายรวีอย่างชื่นชม “ผมคิดแล้วว่าผมเลือกคนไม่ผิด เอ้า งั้นก็เซ็นชื่อเลย”

“ยังครับ ยังมีเรื่องของโสภิตพิไล”

“ตอนนี้ท่านยังอยู่ในโรงพยาบาล โสภิตพิไลยังปลอดภัย เสร็จจากงานแต่งงานแล้วผมจะจัดการเรื่องนี้ให้...ผมก็ลูกผู้ชายคนหนึ่งเหมือนกันคุณชาย คุณมีศักดิ์เป็นลูกเขยผม ผมจะผิดคำพูดกับคุณได้ยังไง”

ชายรวีลงนาม สันทนายิ้มพอใจ แล้วอีกครู่ต่อมาก็พาทุกคนกลับออกไปที่ห้องจัดงาน หม่อมพริ้มนั่งเป็นประธาน ร่วมกับสันทนาและเฉิดฉวี บรรดาแขกเหรื่อซุบซิบกันในประเด็นว่าทำไมจัดงานฉุกละหุก เจ้าสาวเรียนจบแล้วหรือ ไปรู้จักกับเจ้าบ่าวตั้งแต่เมื่อไหร่ คุณหญิงทั้งสี่และสามีนั่งห่างออกมาแต่ได้ยินชัดเจน เลยแอบคุยกันเบาๆ

“คนถามกันทั้งงานว่าชายรวีไปรู้จักกับฝ่ายหญิงตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เบื่อก็เลิกพูดกันไปเองแหละคุณหญิง”

“แล้วดูตกลงทำสัญญากันอย่างกับซื้อขายคนก็ไม่ปาน”

“จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ เขาก็ซื้อผู้ชายดีๆให้ลูกสาวเขา ทางเราก็รักษาวังรวีวารเอาไว้ได้” หลวงหาญพูดตรงๆ

“แต่ก็ต้องแลกกับความสุขทั้งชีวิตของชายรวี หญิงไม่เห็นด้วยเลยค่ะ”

เสียงบ่นของศุภลักษณ์เงียบลง เมื่อผู้ใหญ่พาแหววในชุดไทยสวยงามเดินออกมา โศภีจับตามองแล้วหันมาซุบซิบกับหญิงจ้อยว่านี่หรือเจ้าสาว ยังดูเด็กอยู่เลย

“ค่ะพี่หญิง เห็นว่าเด็กกว่ายายโสภิตของเราเสียอีก ยังเรียนไม่จบเลย ไม่รู้ทำไมรีบร้อนแต่งงานนัก”

หญิงจิ๋มที่นั่งอยู่ข้างๆได้ยินเอะใจ มองไปที่แหววอย่างจับผิด แล้วเอาศอกสะกิดปวุติถามว่าแหววดูแปลกๆไปไหม

“ไม่รู้สิ ทำไมเหรอ”

“หญิงชักสงสัยว่าทำไมยัยเฉิดฉวีถึงอยากให้ลูกแต่งงานนัก”

ทันใดเสียงเพลงดังกระหึ่มที่หน้าบ้าน ศิวพจน์ขับรถยนต์คันหรูมาจอด สันทนายังไม่รู้ว่าใครแต่ไม่ชอบใจในเสียงเพลงจึงขอตัวลุกออกไป ส่วนแหววที่ชายรวีเพิ่งสวมแหวนหมั้นให้หยกๆ พอจะเดาได้ว่าใครมาจึงลุกตามบิดาไป โดยมีคนในงานพากันชะเง้อชะแง้ หม่อมพริ้มกับชายรวีลุกขึ้นยืนตาม

“อ้าว เจ้าสาวไปไหนเสียแล้วล่ะ ไม่แต่งแล้วรึ”

“แต่งสิคะหม่อม ยัยแหววคงไปทำธุระน่ะค่ะ” ตอบไปแล้วเฉิดฉวีสีหน้าไม่สู้ดี

ศิวพจน์ลงจากรถโดนทหารของสันทนาล้อมกรอบไม่ยอมให้เข้าไปในบ้าน สันทนาออกมาเห็นยิ่งโมโห จำไอ้หนุ่มคนนี้ได้ สั่งทหารเอามันออกไป

“เดี๋ยวครับคุณพ่อ ฟังผมก่อน”

“ถ้าไม่เดินออกไปดีๆ ก็ลากมันออกไป”

ทหารกรูเข้าจับตัวศิวพจน์ แหวววิ่งออกมาตะโกนห้ามก่อนจะปรี่เข้าไปตบหน้าศิวพจน์ดังฉาด ถามว่ามาทำไม?

“ผมมาห้ามคุณ คุณจะแต่งงานกับใครไม่ได้ทั้งนั้น”

คนในห้องจัดงานเริ่มออกมาแอบมอง เฉิดฉวีก้าวไปหาสันทนากระซิบบอกให้ทำอะไรสักอย่างเพราะคนมองกันใหญ่แล้ว สันทนาเดินไปลากแขนแหววและสั่งศิวพจน์ให้ตามมา พอพ้นสายตาผู้คนมาทางหลังบ้านแล้ว สันทนาบอกทั้งคู่ให้ตกลงกันต่อหน้าตนเดี๋ยวนี้

“แหววจะแต่งงานกับคนอื่นไม่ได้ครับคุณพ่อ เขาต้องแต่งงานกับผม ผมรักเขา เรารักกัน คุณพ่อไม่มีสิทธิ์แยกเราสามคนออกจากกัน”

“เท่านี้ใช่ไหม” สันทนาถามโดยไม่รอคำตอบ...เรียกลูกน้องมาเอาตัวศิวพจน์ออกไป แต่แหววรีบห้ามแล้วหันมาถามศิวพจน์ “หมายความว่ายังไง เราสามคน”

“ผม แหวว แล้วก็ลูกของเราไง”

“ฉันไม่อนุญาต” สันทนาสวนทันควัน

“คุณพ่อไม่มีสิทธิ์ค่ะ ทุกอย่างมันอยู่ที่แหวว...เธอยอมรับลูกในท้องของแหววแล้วหรือพจน์”

“ผมยอมรับ...ลูกของแหววคือลูกของผม ตอนนั้นผมผิดเอง แต่ตอนนี้ผมรู้ตัวแล้ว ผมยอมรับผิดทุกอย่าง ผมจะไม่ทำให้แหววเสียใจอีก”

“คนบ้า...ทำไมเพิ่งจะมาบอกตอนนี้” แหววเสียงเครือ น้ำตาคลอ

“ผมพยายามโทร.หาแหววทั้งคืนจนถึงเช้า แต่ไม่มีใครยอมให้ผมพูดกับแหวว หลังๆผมโทร.มาโทรศัพท์ที่บ้านแหววก็ไม่มีสัญญาณ”

แหววหันขวับไปที่บิดา...สันทนายอมรับเสียงกร้าว

“พ่อทำเอง เพราะผู้ชายคนนี้มันไม่ดีพอสำหรับลูกของพ่อ...ลากมันออกไปทิ้งไกลๆ แล้วอย่าให้มันเข้ามาที่นี่อีก”

ศิวพจน์ร้องโวยวายระหว่างที่โดนทหารลากตัวออกไป สันทนาลากแหววกลับเข้าบ้าน พอดีเฉิดฉวีสวนออกมา ถามอย่างร้อนรนว่า “เป็นไงบ้างคะคุณพี่ ทางเจ้าบ่าวเขาถามกันใหญ่แล้ว”

“บอกเขาไปเลยค่ะคุณแม่ว่าแหววเลิก แหววไม่แต่ง!”

“ไม่ได้! แกต้องแต่ง”

“แต่แหววท้องกับเขานะคะคุณพ่อ ศิวพจน์เป็นพ่อของลูกในท้องแหวว”

“ไม่ใช่! ลูกในท้องของแกคือลูกของคุณชายรวีช่วงโชติ รวีวาร คนเดียวเท่านั้น...เข้าไป กลับไปแต่งงาน!”

“ขอประทานโทษนะครับ” ชายรวีก้าวออกมา สามคนพ่อแม่ลูกตกใจหน้าซีดเผือด “ผมขอประทานโทษที่มาขัดจังหวะ พอดีหม่อมแม่ท่านค่อนข้างกังวล อยากทราบว่ามันมีปัญหาอะไร มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ไม่มีอะไรหรอกคุณชาย ไปครับ เข้าไปทำพิธีต่อดีกว่าเดี๋ยวจะเสียฤกษ์...ไปลูก” สันทนาดึงแหววไป เฉิดฉวียืนหน้าเสีย ไม่แน่ใจว่าชายรวีได้ยินที่แหววพูดเรื่องท้องไส้หรือเปล่า

การแต่งงานดำเนินต่อไปตามธรรมเนียมประเพณีไทย หม่อมพริ้ม คุณหญิงทั้งสี่ สันทนา เฉิดฉวี และญาติผู้ใหญ่เวียนกันมารดน้ำสังข์ เสร็จแล้วลูกๆพาหม่อมพริ้มถอยกลับไปนั่งที่โซฟา แอบซุบซิบกันเรื่องชายหนุ่มที่ไม่ได้รับเชิญว่าเป็นใคร

“พี่จะไปรู้เหรอ หญิงจิ๋มแน่ะ สนิทสนมกับเขา รู้หรือเปล่า”

“ไม่ทราบค่ะพี่หญิง แต่ท่าทางไม่ดีเลย ดูไม่น่าไว้ใจ”

“นั่นน่ะสิ แล้วดูเจ้าสาวทำหน้าอย่างกับจะร้องไห้ หญิงว่ามันชักจะยังไงๆพิกลนะคะหม่อมแม่”

หม่อมพริ้มกลุ้มใจเหมือนกันแต่พูดไม่ออก...อีกมุมหนึ่ง สันทนากับเฉิดฉวีหลบมานั่งด้วยกัน มองไปที่กลุ่มหม่อมพริ้มและลูกๆ

“ทางฝ่ายชายคงสงสัยแน่ๆ โชคดีนะว่าก๊กนี้เขาเป็นผู้ดีแท้ๆ เลยเงียบอยู่ได้ ไม่อย่างนั้นยายแหววโดนซักฟอกกลางงานแน่ๆ”

“พวกนั้นฉันไม่ห่วงเท่าไหร่หรอกค่ะ ห่วงแต่คุณชายรวีนั่นแหละ คุณพี่ว่าเขาได้ยินที่ยายแหววพูดไหมคะ เรื่องนั้นน่ะ”

“เดี๋ยวก็รู้” สันทนาตอบแล้วถอนหายใจอย่างเป็นกังวล

แต่ปรากฏว่าความกังวลนั้นจางหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อถึงเวลาจดทะเบียนสมรส ชายรวีเซ็นชื่อแต่โดยดี ขณะที่แหววจำใจเซ็นเพราะโดนบิดาบังคับทางสายตา

ooooooo

สากระสับกระส่ายอยู่ไม่เป็นสุขอยู่ที่ร้านเสริมสวย คิดแต่เรื่องงานแต่งงานของชายรวี อยากไปร่วมงานแต่ไม่มีใครเชิญ...

ตรงข้ามกับหม่อมพริ้มที่กลับจากพิธีตอนเช้าแล้วรู้สึกเหนื่อยล้าไม่อยากไปงานเลี้ยงตอนเย็นที่โรงแรม หญิงจ้อยก็เช่นกัน แต่ถ้าไม่ไปกลัวชายรวีจะเสียใจ หม่อมพริ้มจึงคะยั้นคะยอหญิงจ้อยให้ไปประหนึ่งเป็นตัวแทนของตน

ทางด้านหัวอกคนเป็นแม่ตัวจริงอย่างสา หลังจากบ่นอยู่ไปมาตั้งแต่สายๆ ตกเย็นเธออดรนทนไม่ได้บอกเพ็ญศรีกับใจสว่างว่าปิดร้านเลยดีกว่าตนจะไปงานแต่งงานคุณชายรวี

“แต่เขาไม่ได้เชิญคุณป้านะคะ คุณป้าจะเข้าไปในงานได้ยังไง”

“เขากินเลี้ยงที่โรงแรมนะหนูใจ ใครก็ไปได้ ป้าไม่ได้เข้าไปในงานซักหน่อย กะว่าจะไปแอบดูเท่านั้น”

“แต่ถ้าคุณหญิงเฉิดฉวีเห็นคุณเข้า เธอเล่นงานคุณแน่ ถ้าเกิดไปมีเรื่องกันในงานคุณชาย คุณไม่อายแย่หรือคะ”

ฟังเพ็ญศรีพูดมาแล้วสานิ่งไปนิด แต่ยังเดินหน้าตึงไปปิดประตูร้านปึงปังอย่างเอาแต่ใจ เพ็ญศรีกับใจสว่างไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่มองหน้ากันอย่างอ่อนใจ

ที่หน้าโรงแรมสถานที่จัดงานเลี้ยง สันทนา เฉิดฉวี แหวว และชายรวีมาถึงแล้วในชุดสวยหรู แต่จู่ๆมีพนักงานหญิงคนหนึ่งเดินมาชนแหววแล้วกระซิบบอกบางอย่าง ก่อนที่แหววจะหันมาบอกพ่อแม่ให้เข้างานไปก่อน ตนขอตัวไปห้องน้ำสักครู่

“คุณพี่พาคุณชายเข้าไปที่งานก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเฉิดรอลูกแหววเอง”

“อย่าเลยครับ ท่านกับคุณหญิงเป็นผู้ใหญ่ เข้าไปก่อนดีกว่า ผมรอคุณแหววเอง”

“คุณชายทำหน้าที่สามีที่ดี อย่าไปแย่งหน้าที่เขาเลยน้อง เราไปเถอะ ฝากด้วยนะคุณชาย”

ชายรวียิ้มบางๆ สันทนากับเฉิดฉวีผละไป ส่วนแหววตรงดิ่งไปอีกทางตามที่พนักงานชี้นำ พลันศิวพจน์โผล่ออกมาดึงเธอเข้ามุมลับตา

“พจน์! มาทำอะไรที่นี่”

“ก็มาหาแหววน่ะสิ ผมจะพาแหววหนีไปด้วยกัน”

“จะบ้าเหรอ”

“หรือว่าแหววอยากแต่งงานกับมัน”

“ไม่!”

“งั้นเราไปด้วยกัน แหววรออยู่นี่นะ ผมจะไปเอารถมาจอดหน้าโรงแรม แล้วพอผมให้สัญญาณ แหวววิ่งออกไปขึ้นรถข้างหน้า เราจะหนีไปด้วยกัน”

แหววพยักหน้ารับโดยไม่ตรึกตรอง ศิวพจน์หอมแก้มเธอทันใดแล้วผละจากไปด้วยความรีบร้อน...

เวลาเดียวนั้น สาเดินตัวลีบแอบเข้ามาในโรงแรม ถึงบริเวณล็อบบี้  เห็นชายรวีในชุดโก้หรูก็หยุดยืนพึมพำด้วยความปลาบปลื้ม

“คุณชายของแม่ งามสง่าที่สุดเลยวันนี้”

ชายรวียืนหันซ้ายหันขวารอแหวว พอสายตาสะดุดที่สาก็ตรงไปหาอย่างประหลาดใจ

“ไม่นึกว่าจะได้เจอคุณอุษาที่นี่ มาทำอะไรครับ”

“สามาหาคุณชายนี่ล่ะค่ะ อยากมาอวยพรให้มีความสุขมากๆ”

“ขอบคุณครับ ความจริงที่ผมไม่ได้เชิญคุณสาเพราะว่า...”

“ฉันเข้าใจค่ะ ทั้งท่านสันทนาทั้งคุณหญิงคงไม่มีใครอยากเห็นหน้าฉันเท่าไหร่ แล้วคุณชายมายืนทำอะไรตรงนี้คนเดียวล่ะคะ เป็นเจ้าบ่าวแท้ๆ”

“ยืนรอเจ้าสาวครับ คุณแหววไปเข้าห้องน้ำตั้งนานแล้วทำไมยังไม่ออกมา ไม่รู้มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

“ฉันไปดูให้เอาไหมคะ ฉันเป็นผู้หญิงด้วยกัน น่าจะสะดวกหน่อย”

“ดีเลยครับ งั้นผมรบกวนหน่อยนะครับ”

สาเดินออกไปทางห้องน้ำ เป็นจังหวะที่แหววตัดสินใจเดินแกมวิ่งออกมาหน้าโรงแรมเพื่อขึ้นรถศิวพจน์ สองคนกำลังจะสวนทาง ต่างก็เรียกชื่อของกันและกันอย่างตกใจ เสียงนั้นทำให้ชายรวีหันขวับไปมอง

แหววเห็นท่าไม่ดีจึงไม่รอช้า ผลักสาแล้ววิ่งพรวดออกไปหาศิวพจน์ จังหวะนั้นสันทนากับเฉิดฉวีตั้งใจออกมาตามลูกสาวและลูกเขยเห็นเข้าพอดี

“คุณพี่ นั่นมัน...”

“เฮ้ย! จับตัวมันไว้”

คณะผู้ติดตามของสันทนาวิ่งกรูไปทันที ศิวพจน์พาแหววหนีไปถึงบันไดทางเข้า พอจวนตัวแหววก็ตะโกนลั่น

“พวกแกอย่าเข้ามานะ...คุณพ่อ สั่งให้พวกนี้ถอยไป”

สันทนาไม่สน ลุแก่โทสะสั่งลูกน้องจับศิวพจน์ให้ได้ ส่วนแหววให้แยกออกมา เฉิดฉวีร้อนรนร้องบอกลูกสาวให้เชื่อพ่อ พาตัวเองออกมาเดี๋ยวนี้ แต่แหววไม่ทำตาม

ในที่สุดลูกน้องสันทนาชักปืนออกมาขู่ ชายรวีเป็นห่วงแหววรีบวิ่งเข้าไป สาชะเง้อชะแง้ด้วยความเป็นห่วงลูกชาย

ศิวพจน์กับแหววอยู่ท่ามกลางวงล้อม ลูกน้องสันทนาหลอกล่อจนแยกตัวแหววออกมาได้ ชายรวีรีบเข้าไปดึงเธอไว้

“คุณแหววอย่าครับ มันไม่ปลอดภัย”

แหววไม่สนใจ ดิ้นพราดๆจะไปช่วยศิวพจน์ที่โดนรุมจับ แต่ไม่สำเร็จเพราะชายรวีล็อกตัวเธอไว้ ศิวพจน์ไม่ยอมถูกจับง่ายๆ ต่อสู้จนแย่งปืนลูกน้องคนหนึ่งของสันทนามาได้แล้วเล็งไปยังชายรวีที่จับแหววอยู่

“ปล่อยแหววมาเดี๋ยวนี้” พูดขาดคำ ศิวพจน์ยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าหนึ่งนัด...คนทั้งโรงแรมแตกตื่น สาที่ซุ่มแอบมองอยู่ตัวสั่นด้วยความกลัว

“คุณพี่...ไปกันใหญ่แล้ว ทำอะไรซักอย่างสิคะ” เฉิดฉวีเร่งเร้า แต่สันทนายังไม่กล้าทำอะไรเพราะกลัวแหววกับชายรวีเป็นอันตรายถ้าศิวพจน์บ้าระห่ำขึ้นมาจริงๆ

“ปล่อยแหววมานี่” ศิวพจน์ตะโกนเร่ง ชายรวีไม่มีทางเลือกจำเป็นต้องปล่อยเธอไป

แหวววิ่งไปหาศิวพจน์ สองคนกอดกันกลม...พริบตานั้น ลูกน้องของสันทนาเข้าประชิดตัว แต่ศิวพจน์ดิ้นรนต่อสู้ ทำให้กระแทกแหววเซเสียหลักตกบันได โดยที่ชายรวีวิ่งเข้าไปรับเธอไม่ทัน

ร่างแหววกระแทกขั้นบันไดอย่างแรง ศิวพจน์ตกใจแต่มือแย่งปืนกับลูกน้องสันทนา...เสียงปืนลั่นเปรี้ยง กระสุนพุ่งเข้าใส่ชายรวีในจุดสำคัญจนร่างทรุดฮวบเลือดกระฉูด

สาตกใจสุดขีดวิ่งออกมาอย่างลืมตัว ประคองชายรวีที่ทรุดลงกับพื้น เฉิดฉวีกับสันทนาไม่ทันสนใจสา ต่างพุ่งเข้าไปหาแหวว แล้วเฉิดฉวีก็กรีดร้องตกใจเมื่อเห็นเลือดไหลเต็มขาลูกสาว

สันทนาเห็นกระโปรงสีขาวของแหววเต็มไปด้วยเลือดแดงฉาน ตะโกนสั่งลูกน้องให้เรียกรถพยาบาลมาเร็ว!

แหววเจ็บปวดหน้าซีดและหมดสติในอ้อมแขนของเฉิดฉวีในอีกไม่กี่นาทีถัดมา สันทนาเพิ่งได้สติหันไปเห็นสาประคองชายรวีที่เลือดไหลทะลัก ปากพร่ำเพ้ออย่างทุกข์ร้อนปานจะขาดใจ

“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย ท่านคะ ช่วยคุณชายด้วย...”

ooooooo

อีสา-รวีช่วงโชติ

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด