ตอนที่ 9
แม้การตายของสิริรัตน์กับแก้วกล้าจะทำให้อภิวัฒน์กลายเป็นผู้ ต้องหาในคดีอภิมุข แต่ทีมสอบสวนก็ไม่ยกเลิกข้อสันนิษฐานที่ว่าฆาตกรเป็นผู้หญิงเพราะยังไม่มี หลักฐานมากพอ โดยเฉพาะรัดเกล้าที่คิดว่าคำให้การจากสิริรัตน์อาจเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี พัทธยาหันขวับด้วยความไม่พอใจและสวนกลับเสียงเข้ม
“ถึงอยู่ก็ไม่มีประโยชน์ สอบปากคำกี่ครั้งเธอก็ปฏิเสธเหมือนอภิวัฒน์ ทั้งๆที่สองคนนี้วางแผนกันอำพรางศพ”
“ขอโทษครับ...เรายังตัดสินไม่ได้นะครับว่าสองคนนี้วางแผนกันเพราะปืนในมืออภิมุขก็ไม่มีรอยนิ้วมือสิริรัตน์”
“ถุงมือราคาถูกนิดเดียวนะวิว หรือนายจะไม่เชื่อหลักฐานการสอบปากคำที่พวกเราทำมาทั้งหมด”
“ในกรณีของนายอภิวัฒน์ ถุงมือก็ราคาถูกเหมือนกัน ทำไมจะต้องทิ้งหลักฐานไว้มัดตัวเองด้วยครับ”
พัทธยา จะโต้แต่สถบดีแย้งขึ้นว่าเห็นด้วยกับวิวรรธน์กับรัดเกล้าว่าหากไม่มีหลักฐาน เป็นคำสารภาพก็ไม่ควรฟันธง คฑารัตน์เห็นผู้กองที่หมายปองสีหน้าเคร่งเครียดเลยช่วยพูด
“แต่จากหลักฐานทั้งหมดก็เหมือนที่ผู้กองพัทธ์พูด คดีนี้มันมีแรงจูงใจมาจากหญิงร้ายชายชั่วสมรู้ร่วมคิด”
คำ พูดคฑารัตน์กระแทกใจพัทธยาอย่างแรงแต่ก็ตีหน้าซื่อเป็นผู้บริสุทธิ์ได้แนบ เนียนมาก ทีมสอบสวนคร่ำเคร่งถกกันยาว คฑารัตน์ถึงกับเบ้หน้าเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหากอภิวัฒน์เป็นคนทำจริง
“ถึงกับฆ่าพี่ชายตัวเองเพราะอยากได้มรดก แต่จุดจบคนเลวก็เหมือนกันหมด ทรยศ หักหลัง...แล้วก็ฆ่ากันเอง”
พัทธยา ยิ้มน้อยๆแต่สถบดีก็พูดดับฝันเสียก่อน “ตราบใดที่ไม่มีคำสารภาพก็ยังไว้ใจไม่ได้ ผมขอให้ทุกคนทำงานต่อ หลักฐานทุกอย่างที่เราจะส่งศาลต้องสมบูรณ์ ไม่มีอะไรโต้แย้งได้ถ้าเราจะให้ฆาตกรรับโทษ”
พัทธยาทำเป็นเห็นด้วยแต่ในใจคุกรุ่นที่สถบดีกัดไม่ปล่อย ส่วนรัดเกล้ากับวิวรรธน์ยังคิดว่าคนร้ายเป็นผู้หญิง
“พี่อยากได้ยินสิริรัตน์รับสารภาพ มากกว่าตายไปโดยไม่บอกอะไรเลยอย่างนี้ มันคาใจนะเกล้า”
“ใช่ค่ะ...ดูเหมือนทุกอย่างจะคลี่คลายได้หมดแต่ยังมีตอนจบที่เรานึกไม่ถึงเหมือนเรื่องที่คุณนรสิงห์เล่า”
สถบดี ได้ยินก็แขวะเคืองๆ เพราะไม่อยากให้ลูกทีมเก็บเรื่องเพ้อเจ้อของนรสิงห์มาประกอบคดี แต่ไม่ทันพูดอะไร ยอดชายกับมุรธาก็เดินคุยคิกคักเข้ามาเสียก่อนเรื่องงานวันเกิดของรัดเกล้า ซึ่งคฑารัตน์จะจัดให้ที่บ้านในวันรุ่งขึ้น สถบดีหน้าเสียเพราะไม่รู้มาก่อน รัดเกล้าได้แต่ปลอบว่าเธอไม่ได้ให้ความสำคัญขนาดนั้นแต่ผู้กองหนุ่มก็ไม่รู้ สึกดีขึ้นเลย
ooooooo
เพชรดาออกจากบ้านพัทธยาในเช้าวันเดียวกันด้วย ท่าทีที่เปลี่ยนไป เธอปฏิรูปเสื้อผ้าหน้าผมใหม่หมดและขับรถสปอร์ตคันหรูที่เพิ่งซื้อเข้าบ้าน อย่างมาดมั่น... ในที่สุดอาณาจักรของบ้านอภิมุขก็ตกเป็นของเธอสักที!
ขณะเดียวกันคฑารัตน์ก็ตามตื๊อพัทธยาอย่างจริงจังเพราะอยากให้เขาไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดรัดเกล้าในวันรุ่งขึ้น
“วิกกี้อยากให้น้องได้พรวันเกิดจากผู้กอง อยากให้พรุ่งนี้เป็นวันเริ่มต้นความผูกพันดีๆของเราในอนาคต”
คฑารัตน์ทอดสายตามองมาอย่างมีความหมายซึ่งพัทธยาก็รับสารได้ดีแต่ทำเป็นเฉย
“ใช่ครับ...ผมว่าน้องเกล้าควรได้รับสิ่งดีๆ น่าจดจำในวันสำคัญของตัวเอง”
คฑา รัตน์ยิ้มหวานเพราะเข้าใจว่าผู้กองหนุ่มจะมาร่วมงาน แต่เขากลับบอกสถบดีว่าจะไม่ไปเพราะติดธุระ สำคัญ ผู้กองหนุ่มมาดกวนแปลกใจนิดหน่อยแต่ไม่อยากละลาบละล้วงชีวิตส่วนตัวของ เพื่อน เลยได้แต่พยักหน้ารับแกนๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น...เมื่อคฑารัตน์ทราบ ว่าพัทธยามาไม่ได้ก็หน้ามุ่ยจนใครก็เข้าหน้าไม่ติด สถบดีมุ่งหน้าไปหารัดเกล้าพร้อมดอกไม้ช่อโตเป็นของขวัญ คฑารัตน์เห็นคู่ปรับทำคะแนนก็ทนไม่ได้ปรี่ไปเอาเรื่องจนวิวรรธน์อดแซวไม่ได้
“โธ่เจ๊...ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าอิจฉา ตั้งแต่งานรับปริญญาก็ยังไม่เคยได้ช่อดอกไม้จากใครอีก”
ทุกคนฮากลิ้ง โดยเฉพาะมุรธาที่สะใจมาก คฑารัตน์ตั้งท่าจะวีนแต่วิวรรธน์ยั้งไว้เพราะไม่อยากเสียบรรยากาศดีๆ รัดเกล้าเห็นพี่สาวโดนรุมเลยช่วยแก้หน้าว่าคฑารัตน์มีคนจีบเยอะแยะ สถบดีไม่อยากเชื่อเลยแหย่
“มันคงนานมากแล้ว สมัยเรียนอนุบาลหรือเปล่าครับเจ๊”
“คำถาม แบบนี้ ไม่โง่ถามไม่ได้นะ ฉันคงไม่มานั่งอวดว่าผู้ชายคนล่าสุดที่โดนฉันทิ้งดูดีกว่าผู้กองไม่รู้กี่ เท่า แค่ให้มายืนรกหูรกตาในบ้านนานๆนี่ ฉันก็พะอืดพะอมเต็มที”
สถบดีไม่สะทกสะท้านแถมขู่จะมาเป็นสมาชิกในบ้านสักวัน “สิทธิ์ความเป็นพี่ มันใช้บังคับหัวใจน้องไม่ได้”
“ฉันไม่ได้บังคับ เพราะยายเกล้าฉลาดพอ รู้ดีว่าอะไรควรเลือก อะไรควรหยอกเล่นขำๆ และอะไรควรเขี่ยทิ้ง”
คฑา รัตน์สะบัดหน้าออกไปแล้ว ทิ้งให้บรรดาลูกน้องในทีมหน้าส่ายหน้าเอือมๆกับอาการเหวี่ยงอย่างไม่เกรงใจ ใครเพราะพัทธยาไม่ปรากฏตัว แถมพาลไปลงกับสถบดีที่ยืนยันว่าไม่รู้จริงๆว่าเพื่อนรักไปทำธุระสำคัญที่ไหน
เวลา เดียวกันที่ริมทะเลอันเงียบสงบ...พัทธยากำลังรอการมาถึงของธุระสำคัญด้วยใจ จดจ่อ เพชรดาเดินมาหาในชุดบางเบาเซ็กซี่จนเขาแทบลืมหายใจ แล้วค่อยๆดึงมือเธอมากุมและก้มลงจูบแผ่วเบา
“ผมรอวันนี้มานานที่ต้องอดทน...ทำเป็นไม่รู้จัก กัน ทั้งๆที่คุณเป็นของผม”
เพชรดาซบอกเขานิ่ง “คุณอดทนเพื่ออนาคตของเรานะคะพัทธ์ ชีวิตของเราเริ่มต้นด้วยความทุกข์เหมือนกัน”
“ถึงเวลาแล้วที่ชีวิตของเราจะจบลงด้วยความสุขเหมือนกัน”
พัทธยาจูบหน้าผากเธออย่างอ่อนโยน พากันไปเดินเล่นริมหาดและกลับไปนอนหยอกล้อกันที่ริมระเบียงในห้อง
“เพื่อนคุณ พรรคพวกคุณเขาจะคิดยังไงกันบ้างคะถ้ารู้ว่าคุณมาอยู่กับเพชร”
“ไม่มีใครรู้หรอกครับจนกว่าเราจะเป็นเจ้าของทุกสิ่งในบ้านหลังนั้น”
เพชรดาจูบแก้มเขา “เพชรรักคุณนะพัทธ์...รักที่สุดในชีวิต”
พัทธยาสบตาหวาน “ผมรักคุณมากกว่าที่คุณรักผม รักจนให้ได้กระทั่งชีวิตเช่นกัน”
พัทธยาอุ้มเธอไปวางบนเตียงอย่างทะนุถนอม เพชรดาโน้มคอเขามาจูบจนเขาแทบสำลักความสุขตาย
ฟากคฑารัตน์ก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดงานจนทุกคนเหนื่อยใจ วิวรรธน์แอบไปคุยด้วยเพื่อปลอบใจและอยากให้เธอเห็นคุณค่าในตัวเองแบบที่เขาชื่นชอบมาตลอด คฑารัตน์หันมามองแล้วตัดสินใจพูดตรงๆ
“หมายถึงตัวแกล่ะสิ...ฉันรู้ว่าแกคิดยังไงกับฉัน”
วิวรรธน์อึ้งไปอึดใจแล้วก็ต้องทึ่งกว่าเก่าเมื่อคฑารัตน์พูดเหมือนรู้ใจเขาทุกอย่าง
“ฉันเชื่อว่าความรู้สึกของแกบริสุทธิ์ แต่ความรักฉันต้องการคำว่าเหมาะสม ฉันไม่ใช้หัวใจตัดสินทุกสิ่งทุกอย่าง”
“งั้นเราก็ต่างกัน เพราะผมเชื่อสัญชาตญาณกับหัวใจตัวเอง”
สถบดีกับรัดเกล้าแอบฟังที่อีกมุม ผู้กองหนุ่มถอนใจเบาๆ เพราะเชื่อว่ารัดเกล้าคงไม่ดื้อรั้นและใจแข็งเหมือนพี่สาว แต่รัดเกล้ากลับย้อนเขาเสียงเรียบว่าไม่เหมือนแต่ก็รักกันมาก
“เมื่อไหร่เกล้าจะให้โอกาสผมพิสูจน์ความจริงใจบ้างล่ะครับ”
“อย่าให้เกล้าต้องเลือกเลยค่ะ ระหว่างคุณกับพี่วิกกี้ คุณก็รู้คำตอบดีอยู่แล้วว่าเกล้าต้องเลือกใคร”
สถบดีหน้าเสียแต่ไม่ท้อ คนอย่างเขา...รักแล้วไม่มีถอย เขาต้องหาทางพิสูจน์ความจริงใจกับเธอให้ได้
ooooooo
ท่าทางหมายมั่นของสถบดีทำให้รัดเกล้าคิดหนัก แม้จะมีใจกับเขาไม่น้อยแต่ก็ไม่อยากเสี่ยงให้พี่สาวไม่สบายใจ คืนนั้นเธอเข้านอนด้วยใจที่สับสน ภาพติสสากับมรันมาถูกองค์นรสิงห์ทำร้ายทำให้นอนกระสับกระส่ายจนถึงเช้า เลยตัดสินใจโทร.หาวิวรรธน์ให้ไปหานรสิงห์เป็นเพืิ่อนเพราะเชื่อว่าเขาคงจะเข้าใจเธอที่สุด
ด้านคฑารัตน์...นอนไม่หลับเช่นกันเพราะมัวเครียดเรื่องวิวรรธน์แสดงท่าทีชัดเจนถึงความรู้สึกที่มีต่อเธอ เจ้าแม่เก๋โก๊ะประจำสำนักงานตื่นแต่เช้ามาออกกำลังแก้เซ็ง แต่ต้องหงุดหงิดกว่าเดิมเมื่อเห็นสถบดีมาหารัดเกล้า แม้เธอจะไล่เท่าไหร่เขาก็ไม่กลับ คฑารัตน์ถอนใจหน่ายๆและบอกว่าน้องสาวออกไปข้างนอกแต่เช้าและไม่รู้ว่าไปไหน
เวลาเดียวกันที่บ้านนรสิงห์...รัดเกล้ากับวิวรรธน์เดินตามชายชราเข้าบ้านด้วยท่าทางนิ่งสงบพร้อมจะฟังทุกเรื่องเพื่อไขความสงสัยในใจ นรสิงห์กวาดตามองทั้งสองด้วยแววตาเป็นมิตรมากกว่าแต่ก่อน
“ถึงเวลาแล้วที่พวกเธอทั้งหมดจะรู้เรื่องราวที่ผูกพันกันไว้ ไม่ใช่แค่กรรมของตัวเอง”
“ทั้งหมด...คุณนรสิงห์ไม่ได้หมายถึงแค่เราสองคน ยังมีเจ๊วิกกี้กับผู้กองไผ่ด้วยใช่ไหมครับ”
“ฉลาด...สัญชาตญาณเธอไม่เคยพลาด ถ้ามีคนฟังแล้วเชื่อสิ่งที่เธอพูดบ้าง เรื่องเลวร้ายเกินยับยั้งคงจะไม่เกิด”
“เรื่องเลวร้ายอะไรหรือครับคุณนรสิงห์...อดีตหรือปัจจุบัน”
รัดเกล้าครุ่นคิดตามคำพูดของชายชราและคิดว่าเขาคงอยากให้พาสถบดีกับคฑารัตน์มาฟังด้วย นรสิงห์พยักหน้ารับน้อยๆและบอกว่าไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังมีอีกสองคนที่กำลังจะสร้างความวิบัติในปัจจุบัน วิวรรธน์กับรัดเกล้าใจคอไม่ดีแต่ยังนึกไม่ออกว่าสองคนนั้นคือใคร ได้แต่โทร.ตามสถบดีกับคฑารัตน์ให้มาที่บ้านนรสิงห์โดยด่วน
เช้าวันเดียวกันที่รีสอร์ตหรูริมทะเล...สองคนที่นรสิงห์พูดถึงได้แก่พัทธยากับเพชรดา...กำลังนอนโอบกอดกันด้วยความรักและหลงใหล ผู้กองหนุ่มสบตาเธอนิ่งแล้วสารภาพเสียงหวาน
“คุณเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมอยากตื่นมาเห็นหน้าทุกวัน”
เพชรดายิ้มเขินและเสหลบหน้าบนอกแกร่งพร้อมเอ่ยน้ำเสียงออดอ้อน “ตอนนี้ชีวิตเพชรเป็นของคุณค่ะ”
สองหนุ่มสาวโผหากันด้วยแรงสิเน่หาและไปพลอดรักกันต่อในสระน้ำส่วนตัว เสียงหัวเราะของเธอทำให้เขาชุ่มชื่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก “ผมอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้...ที่มีแค่เราสองคน”
“อดทนนิดนะคะ กลับไปจัดการทุกอย่างก่อน เพชรอยากแน่ใจว่าอภิวัฒน์จะไม่ขัดขวางความสุขเราอีก”
“ได้สิครับ...ทุกอย่างที่เพชรต้องการ ผมจะจัดการให้เอง”
เพชรดามองเขาด้วยแววตาภูมิใจ...อีกไม่นานชีวิตของเธอจะสมบูรณ์แบบเสียที!
ด้านสถบดีกับคฑารัตน์...มาถึงบ้านนรสิงห์ในช่วงสาย ผู้กองหนุ่มเคืองวิวรรธน์ไม่น้อยเพราะเข้าใจว่าเป็นคนยุยงให้รัดเกล้ากลับมาที่นี่อีก รัดกล้าเถียงแทนว่าไม่ใช่ความผิดใครแต่เป็นเธอเองที่อยากรู้เรื่องทั้งหมดเพื่อไขความข้องใจ
“อดีตอีกแล้วหรือเกล้า คุณงมงายกับนิทานบ้าๆ บอๆของนายคนนี้มากเกินไปแล้วนะ”
“แต่เกล้าเชื่อค่ะ เกล้าอยากรู้ว่าพวกเราเกี่ยวข้องอะไรกันมา”
วิวรรธน์ช่วยเสริมทันที “ถ้าไม่มีผู้กองกับเจ๊ คุณนรสิงห์ก็จะไม่ยอมเล่า”
คฑารัตน์ไม่สนใจท่าทีฮึดฮัดของสถบดีและหันไปบอกนรสิงห์ให้เริ่มเรื่องได้เพราะเธอเองก็รู้สึกว่าเคยผูกพันกับชายชรามาก่อน นรสิงห์เหยียดยิ้มน้อยๆและบอกว่าพวกเขาทั้งสี่เคยมีสายใยร่วมกันมา
“จุดจบของทุกคนไม่พ้นความตาย...ความตายที่น่าอนาถ โดยเฉพาะชีวิตน้อยๆที่ยังบริสุทธิ์และสวยงาม”
แววตาของนรสิงห์จ้องทุกคนให้อยู่ภายใต้มนต์สะกด เสียงกรุ๊งกริ๊งของกำไลข้อเท้าเล็กๆดังขึ้นในโสตประสาท ความมืดมิดแห่งรัตติกาลค่อยๆกลายเป็นภาพท้องฟ้าสดใสพร้อมบึงสีมรกตสวยงามในศรีพิสยา
ooooooo
ภาพในอดีตของทั้งสี่เผยให้เห็นดาราน้อยลูกสาววัยสี่ขวบของติสสากับมรันมา เด็กน้อยซุกซนไปตามประสา วิ่งไล่จับผีเสื้อตัวน้อยในสวนสวยรอบบึงมรกตด้วยความร่าเริง แม่ทัพใหญ่พร้อมมรันมา กาหลง มารุตและเมฆาเฝ้ามองตามด้วยความเอ็นดูในความน่ารักสดใส
ผีเสื้อตัวน้อยบินมาเกาะมือติสสาที่โอบกอดลูกสาวด้วยความรักและบินจากไป ดาราน้อยผละจากอ้อมอกพ่อและวิ่งตามไม่เหลียวหลัง มรันมาอาสาไปดูให้เองพร้อมกับกาหลงที่กลายเป็นข้าหลวงรับใช้ประจำตัวมรันมาหลังจากแต่งงานกับติสสา
ดาราน้อยวิ่งเตลิดไปไกลถึงตลาดในเมืองศรีพิสยา มรันมากับกาหลงช่วยกันวิ่งไล่หาแต่ก็ไม่ทันลูกสาวที่สนอกสนใจทุกอย่างรอบตัวจนหาตัวจับยาก เด็กน้อยวิ่งเล่นไปเรื่อยจนถึงสระบัวใหญ่ในวังและชนกับประตูหินทางด้านหนึ่ง เธอเดินผ่านสวนเล็กๆที่ดูทรุดโทรมและตรงเข้าไปในปราสาทหินด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เสียงกำไลข้อเท้ากรุ๊งกริ๊งทำให้เจ้านางอินยาที่กำลังทุกข์ทรมานกับสภาพอิดโรยและแก่ชราของตัวเองในห้องบรรทมมืดมิดหันซ้ายหันขวา ดาราน้อยตกใจร้องไห้จ้าเมื่อถูกหญิงชราหน้าตาเหี่ยวย่นจับตัวไว้ได้ เจ้านางอินยาบีบข้อมือน้อยแน่นและตวาดถามเสียงกร้าวว่าเป็นใครและมาจากไหน แต่ดาราน้อยไม่ได้ฟังเพราะกำลังตกใจกลัวสุดขีด
“หุบปากเดี๋ยวนี้ หยุดร้อง...แกจะร้องทำไม”
ดาราน้อยสะอื้นฮักไม่หยุด เจ้านางอินยาทนไม่ไหวและปราดไปตีแต่มรันมาโผล่มาคว้าร่างลูกสาวไว้ได้เสียก่อน ฝ่ามือของเจ้านางเลยได้ฟาดผัวะที่หน้าเธอแทน มรันมามองสภาพร่วงโรยของเจ้านางด้วยอาการตกตะลึง เช่นเดียวกับเจ้านางแต่เพราะอับอายมากกว่าที่ต้องเผยโฉมอันทรุดโทรมต่อหน้าอดีตนางทาสที่แสนรังเกียจคนนี้
เมื่อเจ้านางอินยาทราบว่าดาราน้อยเป็นลูกสาวของติสสากับมรันมาก็จ้องเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
“ที่นี่ไม่เคยต้อนรับสายเลือดของพวกต่ำช้า ขี้ข้าใฝ่สูง”
“เจ้านางอินยา...ข้าไม่ใช่มรันมา ข้าหลวงที่ท่านเคยทำร้าย ตอนนี้ข้าเป็นน้องนางคนหนึ่งของเจ้าปรันมา”
“กำพืดต่ำช้ากว่าดินที่ข้าเหยียบ ต่อให้คนทั้งศรีพิสยาสรรเสริญเจ้า แต่ข้า...จะไม่มีวันยกย่องแกกับลูก ข้าจะจองล้างจองผลาญแก จะสาปแช่งครอบครัวแกให้มีแต่ความทุกข์ อย่าได้เป็นสุขเลยสักวัน!”
มรันมาจ้ำอ้าวออกจากตำหนัก เจ้านางอินยาเห็นสายตาสุดท้ายของมรันมาที่มองมาด้วยความสมเพชก็อดรนทนไม่ได้ อาละวาดขว้างปาข้าวของไล่หลังจนของเกลื่อนไปหมด...จำไว้นังมรันมา ข้าไม่มีวันญาติดีกับแกแน่!
ฝ่ายมรันมาก็รีบให้กาหลงกับนางข้าหลวงที่ตามมาสมทบพาดาราน้อยกลับเรือน ส่วนตัวเองไปเฝ้าเจ้าปรันมาเพื่อทูลความเปลี่ยนแปลงอันไม่น่าเชื่อของเจ้านางอินยา
เวลาเดียวกัน...เจ้านางอินยาก็กลับไปเพ้อถึงความงามของตัวเองในอดีต ภาพห้องน้ำใหญ่โตที่เคยเต็มไปด้วยนางข้าหลวงถวายการดูแลด้วยน้ำมันดอกจันทน์กะพ้อหายไป กลายเป็นสภาพทรุดโทรมเพราะขาดการดูแลรักษามานาน
“ข้าคือเจ้านางอินยา ผู้หญิงที่ทุกคนจะก้มหัวให้ นังมรันมา...อีกกี่ร้อยกี่พันชาติ พวกแกก็ไม่มีวันชนะข้า”
เจ้านางอินยาหันไปมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกแล้วทำใจไม่ได้กับสภาพร่วงโรยอย่างเห็นได้ชัด
“นี่ไม่ใช่ตัวข้า ข้าสวยกว่านี้ ข้าสาวกว่านี้ ไม่ใช่ตัวข้า...ไม่ใช่” เจ้านางอินยาจิกเล็บลงผิวหนังเหี่ยวๆของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง “ข้าจะเอาผิวพวกนี้ออกจากตัว ข้าต้องสาว ข้าต้องสวย ข้าคือเจ้านางอินยา เจ้านางที่งามเหนือทุกคน!”
เจ้าปันแสงมาถึงทันเห็นแม่ทำร้ายตัวเองก็เข้าไปปลอบและสัญญาว่าจะล้างแค้นให้
“อดทนไว้ก่อนเจ้านาง ให้พวกมันเชื่อว่าเรายอมก้มหัวให้อำนาจวาสนาของพวกมัน แล้วข้าจะตอบแทนพวกมัน...โดยเฉพาะไอ้ปรันมา มันห้ามเราออกนอกตำหนักและห้ามเข้าใกล้วังของมัน มันกักขังเราอย่างสัตว์” เจ้าปันแสงกอดแม่แน่น “ใกล้เวลาที่เราจะทวงแค้น พวกมันทุกคนต้องชดใช้คืนให้เราด้วยชีวิต!”
ooooooo
เมื่อเจ้าปรันมาทราบจากน้องสาวเรื่องเจ้านางอินยาก็พอจะรู้บางอย่างเพราะแอบได้ยินมาบ้างว่าเจ้านางงดงามราวกับสาวสองพันปีเพราะมนต์วิเศษลึกลับ แต่ที่ไม่เคยพูดออกไปเพราะไม่แน่ใจและยังไม่มีหลักฐานยืนยัน
“คนอย่างเจ้านางอินยากับปันแสง เหมือนเสือซ่อนความเจ็บปวด ไม่ยอมให้ใครรู้หรือมองเห็นบาดแผลตัวเอง”
“ไม่น่าเชื่อเลยเจ้าพี่ปรันมา...ทำไมเจ้านางอินยาผู้งดงามถึงเปลี่ยนไปได้”
“ยาวนานเท่าอายุของดาราน้อย เจ้านางอินยาเหมือนดอกไม้ที่ขาดน้ำ อำนาจมนตราที่เป็นเช่นเครื่องบำรุงขาดหายไป สังขารจึงร่วงโรย แล้วคำตอบทั้งหมดก็มีเพียงคนคนเดียวที่จะตอบได้”
นักโทษหญิงชราสภาพโทรมจัดเหมือนคนใกล้ตายจากคุกใต้ดินถูกนำตัวมาเฝ้าเจ้าปรันมาในเวลาต่อมา เธอค่อยๆหรี่ตามองเจ้าปรันมาด้วยท่าทางหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด เหนือหัวแห่งศรีพิสยามองมาด้วยความสมเพชและประกาศกร้าวให้โอกาสสุดท้ายเพื่อสารภาพบาปที่เคยทำมาเมื่อหลายปีก่อน
“ทุกข์ทรมานขนาดนี้ เจ้าจะยอมสารภาพได้หรือยัง หรือจะยอมตายไปกับความลับของเจ้านางอินยา”
หญิงชราตัวสั่นงันงกด้วยความรักตัวกลัวตาย แต่เมื่อสบสายตาเอาจริงของเจ้าปรันมาก็ก้มหน้างุด
“ข้ารู้ว่าแกเป็นมือเป็นไม้ให้เจ้านางอินยา บอกมา...เจ้านางให้แกทำสิ่งชั่วร้ายอะไรบ้าง”
หญิงชราสมุนเก่าแก่ของเจ้านางรู้ดีว่าไม่มีทางเลือกจึงค่อยๆเปิดปาก “ตอนแรก...เจ้านางให้ข้าทำมนต์เพื่อคงความงามไว้ไม่เสื่อมคลาย ต่อมาก็เป็นมนต์กำกับใจคน” เจ้าปรันมาหน้าเคร่งขึ้นและถามว่าเจ้านางใช้กับเจ้าศรีพิสยาองค์ก่อนหรือไม่ “ตอนแรกเจ้านางคิดจะใช้กับพ่อท่านเพื่อแย่งตำแหน่งเจ้านางแห่งศรีพิสยาจากแม่ท่าน แต่เจ้าศรีพิสยาทรงมีบุญบารมียิ่งนัก ข้าไม่อาจทำมนต์ดำกำกับใจได้ เจ้านางจึงต้องใช้แผนอื่นแทน”
แผนที่ว่าคือยกอเลยาซึ่งขณะนั้นเป็นนางข้าหลวงในตำหนักให้เจ้าศรีพิสยาองค์ก่อน แม้เจ้านางฝ่ายขวาหรือแม่ของเจ้าปรันมาจะไม่พอพระทัยแต่ก็ไม่อาจขัดพระประสงค์เจ้าศรีพิสยาซึ่งถูกอกถูกใจอเลยาตั้งแต่แรกเห็น
“แต่เมื่อเจ้านางเห็นว่าพ่อของท่านรักอเลยาจากใจจริงและจะยกตำแหน่งพระชายาให้ เจ้านางก็เลยกลัวถูกทอดทิ้ง พอมรันมาคลอดออกมา เจ้านางก็เลย...อุปโลกน์ผัวอีกคนให้อเลยาในฐานะชายชู้!”
แม้อเลยาจะอธิบายหรือแก้ตัวอย่างไร เจ้าศรีพิสยาองค์ก่อนก็เชื่อหลักฐานที่เจ้านางอินยากุขึ้นจนยกหน้าที่ลงโทษให้เจ้านางเป็นคนตัดสิน “โชคดีที่อินยาทำให้ข้าเห็นความต่ำช้าของเจ้าอเลยา ก่อนที่ข้าจะยกตำแหน่งชายาให้”
อเลยาพยายามยื้อเจ้าศรีพิสยาไว้ด้วยมรันมา แต่เจ้านางอินยาก็มาขวางและรีบคว้าทารกน้อยมากอดไว้แทน
“ไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าพี่ ทารกน้อยมรันมาไม่มีความผิด ข้าจะรักและดูแลมรันมาให้เหมือนลูกในไส้ของข้า”
เจ้าศรีพิสยาจึงเดินออกไปไม่เหลียวหลัง อเลยาตามไปดึงทารกน้อยจากเจ้านางอินยาแต่ก็ไม่ได้ผล
“ไม่ต้องห่วงอเลยา...ข้าจะเลี้ยงมรันมาให้มันเป็นแค่ทาสรับใช้ข้าไปจนวันตาย!”
ทหารของเจ้านางอินยาเข้ามาล้อมอเลยาและฟันเธอกลางอกจนตายคาที่ เสียงมรันมาร้องไห้จ้าจนเจ้านางทนไม่ไหวต้องเรียกข้าหลวงมารับไป และสะบัดหน้าออกจากตรงนั้นด้วยความสะใจที่กำจัดศัตรูหัวใจคนสำคัญสำเร็จ
เจ้าปรันมารับฟังเรื่องทั้งหมดด้วยสีหน้าหนักใจ ความแค้นของเจ้านางอินยาไม่เคยลดลงเลยแม้ชีวิต ของอเลยาจะดับสูญไปนานแล้ว หญิงชรารีบก้มลงขอชีวิต เจ้าปรันมาจึงสั่งให้สารภาพเรื่องทั้งหมดอีกครั้งต่อหน้ามรันมา ติสสาและข้าราชบริพารน้อยใหญ่ในวันรุ่งขึ้นเพื่อแก้มลทินให้แก่มรันมา
แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นอย่างหวัง เมื่อเจ้าปันแสงแอบสืบทราบว่าเจ้าปรันมาจะใช้สมุนเก่าแก่ที่ถูกจองจำในคุกใต้ดินมานานเปิดเผยความลับของเจ้านางอินยา เลยสั่งอสุนีให้หาตัวนักฆ่านิรนามเพื่อไปชิงตัวหญิงชราก่อนจะสายเกินไป
ooooooo
ทีมนักฆ่าของเจ้าปันแสงทำสำเร็จและสามารถนำตัวหญิงชราออกจากคุกมาเฝ้าเจ้านางอินยาจนได้ นำความปลาบปลื้มมาให้เจ้านางอย่างมากและสั่งให้ทำพิธีร่ายมนต์วิเศษให้เธอกลับมาสวยงามเป็นสาวพันปีเช่นเดิม
“ข้าไม่ทำแล้วเจ้านาง ข้ากลัว...ข้าบอกความจริงทุกอย่างกับเจ้าปรันมาไปหมดแล้ว ข้าไม่อยากตาย”
“ข้าผิดเองที่ทำเจ้าเดือดร้อน ถ้าข้าห้ามปรันมา ได้ ข้าก็จะทำ แต่ดูสภาพข้าสิ แค่ออกนอกตำหนักข้ายังไม่กล้า” หญิงชรามองมาด้วยความเห็นใจ “มนต์คาถาของเจ้าทำให้ข้าสวยงาม มันคือพลังพิเศษจะเปลี่ยนใจทุกคนได้ จงทำให้ความงามของข้าไม่มีวันเสื่อมคลาย แล้วเจ้าก็จะหลุดจากความทุกข์ทั้งหมด...ข้าสัญญา”
แววตาและท่าทางจริงใจของเจ้านางอินยาหลอก ตาสมุนเก่าแก่ได้สำเร็จและลงมือทำพิธีร่ายคาถาเพื่อความ งามอมตะของเจ้านางจนดึกดื่นถึงเสร็จสิ้น เจ้านางอินยามองร่างกายผุดผาดราวกับสาวแรกรุ่นด้วยรอยยิ้มกระหยิ่มใจ
“ต่อไปนี้...เจ้านางอินยาจะเป็นชื่อผู้หญิงงดงามที่สุด งามอย่างไม่มีใครเทียบ งดงามเป็นหนึ่งชั่วนิรันดร์กาล”
เจ้าปันแสงยิ้มให้ความสุขของเจ้านาง เช่นเดียวกับ หญิงชราซึ่งแม้จะอ่อนแรงแต่ก็ภูมิใจที่ได้รับใช้เจ้านางอีกครั้ง
“เจ้านางจะคงความงามเช่นนี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยน แปลง ไม่มีสิ่งใดทำลายมนต์คาถานี้ของข้าลงไปได้”
“เมื่อเจ้านางสมปรารถนา เราก็ควรจะให้รางวัล แม่เฒ่า”
ขาดคำ เจ้าปันแสงก็ขว้างหอกของอสุนีไปที่กลางอกสมุนเก่าแก่ของแม่ ส่วนเจ้านางอินยาก็เอ่ยลาเสียงหวาน
“ขอบใจเจ้ามากที่ทำตามคำสั่ง ถ้าเจ้าไม่พูดเรื่องทั้งหมดแก่ปรันมา เจ้าคงมีชีวิตรับใช้ข้านานกว่านี้”
หญิงชราอาคมแก่กล้ากระอักเลือด มองเจ้านางสันดานงูพิษด้วยความแค้นใจและขาดใจตายตรงนั้น อสุนีเข้ามาลากศพออกไป ทิ้งเจ้านางกับเจ้าปันแสงให้มองหน้ากันด้วยความสุขที่ทุกอย่างจะกลับคืนสู่อำนาจอีกครั้ง
เมื่อเจ้าปรันมาทราบว่าพยานปากสำคัญถูกชิงตัวก็มั่นใจว่าเป็นฝีมือเจ้านางอินยากับเจ้าปันแสง เพราะทั้งสองคือผู้ได้รับผลกระทบที่สุดหากหญิงชราสารภาพ เหนือหัวแห่งศรีพิสยาจึงรุดไปตำหนักเจ้านางอินยาเพื่อเอาเรื่อง
แต่เมื่อได้เผชิญหน้ากับเจ้านางจริงๆก็ถึงกับพูดไม่ออกเพราะเธอยังคงความงดงามเช่นเดิม ไม่เหมือนที่มรันมาเคยเล่าให้ฟัง ท่าทางพิรุธของสองแม่ลูกทำให้เจ้าปรันมาเชื่อว่าพยานคนสำคัญคงจากโลกนี้ไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้เพราะได้ฟังความจริงทั้งหมดแล้ว เจ้าปันแสงเห็นหน้าพี่ชายต่างมารดาก็แค้นจัดและพูดจาถากถางจนเจ้าปรันมาต้องโต้กลับเสียงเข้ม
“ที่ผ่านมาเจ้านับความเป็นพี่น้องกับข้าด้วยหรือปันแสง ถ้าตัดสินจากความผิดที่เจ้ากับเจ้านางอินยาทำลงไป ข้าละอายใจแทน ถ้าปล่อยให้คนนอกรู้ว่าคนสายเลือดเดียวกับข้ามีใจอำมหิตผิดมนุษย์”
เจ้าปันแสงโกรธมากและสวนกลับอย่างไม่เกรงกลัว “ข้าละอายใจมากที่ต้องบอกคนทั้งศรีพิสยาว่าเจ้าปรันมาคือผู้นำที่ทำทุกอย่างตามความพอใจของตัวเอง ปรักปรำคนไม่มีทางสู้ บ้าอำนาจ”
“เจ้าพูดอย่างนั้นก็ดี เพราะข้าควรจะใช้อำนาจเพื่อความยุติธรรมกับคนที่สมควรได้มาตั้งนานแล้วอย่างมรันมา”
เจ้านางอินยาหน้าเสียและโพล่งออกไปอย่างเหลือ อด “หยุดนะ...นังขี้ข้ามรันมาไม่สมควรจะได้อะไรทั้งสิ้น”
แต่คำค้านของเจ้านางอินยาก็ไม่มีผลใดๆ เพราะเจ้าปรันมาจัดการสถาปนามรันมาเป็นองค์รัชทายาทที่มีสิทธิ์ทุกอย่างในบัลลังก์ศรีพิสยาเหมือนเจ้าปรันมากับเจ้านางจันทเทวีในเช้าวันถัดมา เจ้าปันแสงเลือดขึ้นหน้าและกล่าวหาว่ามรันมาเป็นลูกสาวของอเลยากับชายชู้ แต่เจ้าปรันมาก็ไม่ยี่หระและสวนกลับเสียงเข้ม
“ข้าสอบสวนคนที่สมคบคิดสร้างเรื่องใส่ความอเลยา มันยอมรับผิด...และได้รับโทษของมันแล้ว”
เจ้าปรันมาจ้องสองแม่ลูกนิ่งและยกศิราภรณ์ประดับศีรษะครอบให้มรันมาเพื่อประกาศสิทธิ์และศักดินา ติสสา มองภรรยาด้วยความปลาบปลื้ม เจ้านางอินยาเหลืออดและตะโกนออกไปว่าเจ้าปรันมากำลังทำผิดประเพณี
“ประเพณีกำหนดโดยข้า...กษัตริย์แห่งศรีพิสยา ในที่นี้นอกจากเจ้านางอินยากับเจ้าปันแสง ใครเห็นไม่สมควรอย่างที่ข้าบอกก็จงคัดค้านออกมา”
เสียงเจ้าปรันมาเสียดแทงใจสองแม่ลูกจนเกินระงับ เจ้าปันแสงขบกรามแน่นด้วยความโกรธและประกาศกร้าว
“ทุกคนจำไว้ด้วยว่าข้าก็ลูกเจ้าศรีพิสยาคนหนึ่ง ลูกชายที่เกิดจากเจ้านางผู้สูงศักดิ์ ไม่ใช่ลูกจากเมียทาสต่ำชั้น”
เจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงผลุนผลันออกไปแล้ว ติสสามองตามด้วยความสะใจ ต่างจากมรันมาที่มีสีหน้าหวาดวิตกเพราะเชื่อว่าสองแม่ลูกคงไม่ยอมรามือแค่นี้ และเมื่อเสร็จสิ้นราชพิธีจึงถือโอกาสถามพี่ชายต่างมารดาถึงเรื่องที่มีคนใส่ร้ายอเลยาว่าเป็นใคร เจ้าปรันมานิ่งไปครู่แล้วเลี่ยงตอบว่ามันผู้นั้นได้รับโทษอย่างสาสมไปแล้ว มรันมามั่นใจว่าเป็นฝีมือบงการของเจ้านางอินยา เพราะคงไม่มีใครเกลียดและอาฆาตแม่ของเธอได้มากกว่านี้อีกแล้ว
“ความอาฆาตของเจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงที่มีต่อข้า มันจะไม่มีวันลดลงจนกว่าข้าจะสิ้นลมหายใจ”
ทุกคนมองมรันมาด้วยความสงสาร ติสสากุมมือเธอแน่น “ไม่ว่าความริษยาของเจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงจะมากแค่ไหน ชั่วชีวิตนี้น้องน้อยก็จะมีพี่ชายเป็นผู้คุ้มครอง”
เจ้าปรันมากับเจ้านางจันทเทวีมองด้วยความปลื้ม ใจ...อย่างน้อยมรันมาก็มีคนรักที่มั่นคงอย่างติสสาคอยดูแล
ooooooo
เวลาเดียวกันที่อีกฟากของตำหนักหลวง...เจ้านางอินยากำลังปลอบขวัญลูกชายหัวแก้วหัวแหวนให้คลายกังวล เพราะมั่นใจว่าจะหาทางทำให้เจ้าปรันมาและทุกคนพังพินาศไปตามๆกัน
“อีกไม่นานเจ้าจะได้ทำอย่างที่คิด เท้าเจ้าจะเหยียบบนศพพวกมันทุกคน...โดยเฉพาะนังมรันมา!”
อุตลามายอบตัวทำความเคารพด้วยแววตาเป็นประกายและบอกว่าเจอคนสำคัญที่จะทำให้สองแม่ลูกพอพระทัย เมื่อเจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงมองไปทางประตูก็เห็นดาราน้อยกำลังวิ่งเล่นกับกาหลงเพียงลำพังจึงพุ่งเข้าหาทันที กาหลงพยายามจับไว้แต่ไม่ทัน เจ้านางอินยาดึงแขนดาราน้อยให้ขยับมาใกล้และส่งให้เจ้าปันแสงจัดการต่อ
กาหลงละล่ำละลั่กขอร้องให้เจ้าปันแสงปล่อยเด็กน้อยแต่ไม่ได้ผล แถมยังถูกอุตลากับข้าหลวงคนอื่นเหวี่ยงกระแทกเสาจนจุก เจ้าปันแสงจูงร่างน้อยที่สั่นเทาเพราะความกลัวขึ้นบันไดหินชันและยกตัวลอยขึ้นเสมอหน้า
“ดูสิดาราน้อย...มองไปรอบๆ อาณาจักรศรีพิสยาของข้า”
ดาราน้อยหลบตาด้วยความหวาดกลัว เจ้าปันแสงอุ้มเด็กน้อยแนบอกและก้มลงปลอบเสียงนุ่มแต่ทำให้ขนลุกซู่
“อย่ากลัว...ข้าไม่ทำอะไรเด็กเล็กๆน่ารักอย่างเจ้าหรอก ข้ารู้ว่าเจ้าคือดวงใจของพ่อกับแม่”
กาหลงเห็นท่าไม่ดีเลยตะโกนเรียกคนมาช่วย กลัวจับจิตว่าเจ้าปันแสงจะทุ่มดาราน้อยจากบันไดสูงชัน ติสสา มรันมา มารุตและเมฆาวิ่งมาตามเสียงร้องของกาหลง แม่ทัพใหญ่ร้อนรนอย่างหนักเมื่อเห็นลูกสาวสุดที่รักอยู่ในมือคู่ปรับซึ่งมีเรื่องบาดหมางจนเกือบฆ่ากันตายหลายรอบ เจ้าปันแสงเห็นพ่อแม่ลูกพร้อมหน้าเลยกระซิบถามเด็กน้อยในอ้อมกอดว่าอยากบินไปหาพ่อแม่หรือไม่
ดาราน้อยร้องหาพ่อกับแม่ลั่น มรันมาใจแทบขาดและลุ้นแทบแย่เมื่อสามีกระโจนสุดตัวเพื่อรับร่างลูกสาวที่ลอยละลิ่วมาจากชั้นบน เจ้าปันแสงกับเจ้านางอินยายิ้มให้กันด้วยความสะใจที่ได้เขย่าขวัญติสสากับมรันมา
ติสสากอดลูกแน่นและประกาศกร้าวไม่ให้สองแม่ลูกยุ่งกับดาราน้อยอีก เจ้านางอินยาสวนกลับอย่างไม่ไว้หน้าว่าหากทำให้ไม่พอใจ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตายได้ทั้งนั้น ติสสาเจ็บใจมากแต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่โอบกอดมรันมากับดาราน้อยแนบอกและพากลับบ้าน...คงต้องมีมาตรการคุ้มครองภรรยากับลูกสาวให้ดีกว่านี้
เหตุการณ์ที่เกือบคร่าชีวิตดาราน้อยทำให้มรันมาทุกข์หนัก แม้สามีจะช่วยลูกได้อย่างหวุดหวิดแต่ก็ไม่วางใจเพราะเชื่อว่าเจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงต้องไม่หยุดแค่นี้ ติสสากอดให้ความมั่นใจกับมรันมาและจูบแผ่วเบาที่หน้าผาก
“แขนของพี่ชายมีไว้โอบกอดและปกป้องดวงใจ สองดวงนี้ พี่ชายจะรักษาความสุขนี้ไว้ตราบชั่วชีวิตของเรา”
เวลาเดียวกันที่ตำหนักเจ้านางอินยา...แสงพระจันทร์เสี้ยวส่องที่ใบหน้าน่ากลัวของสองแม่ลูกซึ่งยังอาฆาตทุกคนในศรีพิสยาที่ขัดขวางหนทางสู่บัลลังก์อันยิ่งใหญ่
“เราจะทำให้ความสุขของพวกมันสั้นกว่าที่คิด” เจ้านางประกาศกร้าว
“ยิ่งสุขมากเท่าไหร่ เวลาพลัดพรากจะยิ่งทุรนทุราย และความตายเท่านั้นที่เราจะให้มันคืนอย่างสาสม!”
ooooooo
แต่เช้าวันถัดมาศรีพิสยาก็แตกตื่นเมื่อมีข่าวการเคลื่อนทัพของปุระอมรซึ่งเข้าใกล้ศรีพิสยามากขึ้นทุกที ติสสารีบไปรายงานเจ้าปรันมาว่ามีกำลังพลมากมายประชิดชายแดน
“กองทัพนรสิงห์...มีมันคนเดียวที่กระหายเลือด กระหายสงคราม สั่งปิดกำแพงเมืองทุกด้านเดี๋ยวนี้”
ติสสากับกองกำลังทหารรีบไปปฏิบัติตามคำสั่ง ส่วนเจ้าปันแสงกับเจ้านางอินยาพลอยตื่นตระหนกเพราะเกรงอำนาจขององค์นรสิงห์ที่คงจะไม่ไว้ชีวิตใครให้เป็นเสี้ยนหนามแน่ เจ้าปันแสงเห็นแม่ตกใจก็พยายามหาทางออก
“ข้าจะต้องหาทางทำทุกวิถีทางให้ชีวิตเจ้าปรันมากับพวกมันเท่านั้นที่ล่มจมและสูญสิ้น แต่บัลลังก์ศรีพิสยาจะต้องคงอยู่ รอกษัตริย์ผู้ชาญฉลาดอย่างข้าก้าวขึ้นไป”
ขณะเดียวกันที่หอขวัญเมือง....เจ้าปรันมามาหาเมืองมาศเพื่อให้ตรวจดวงชะตาบ้านเมือง โหรหญิงเห็นว่าดวงดาวคุ้มครองชะตาเมืองกำลังอ่อนแสง เลยคิดว่า มีเพียงวิธีเดียวคือย้ายขวัญเมืองจากหอขวัญไปยังสองคนผู้ที่มีจิตเข้มแข็งให้รักษาเมืองไว้ เจ้าปรันมาคิดหนัก รู้ดีว่าใครคือคนที่เหมาะสม แต่ไม่รู้ว่าหนึ่งในสองคนนั้นจะยอมหรือเปล่า
ติสสาลอบออกไปนอกเมืองพร้อมกับมารุตและเมฆาเพื่อสอดแนมกองทัพองค์นรสิงห์ว่าเคลื่อนไหวมาถึงไหน กระโจมใหญ่สะดุดตาตั้งตระหง่านกลางหุบเขาพร้อมธงสัญลักษณ์พระอาทิตย์ แม่ทัพใหญ่เพ่งสายตา เห็นสีหสา วาเรและไพลินกำลังเดินเข้าไปในกระโจมใหญ่หลังนั้น
ภายในกระโจม...องค์นรสิงห์หารือการศึกกับบรรดาทหารเอก โดยเฉพาะเรื่องเสียเวลาหลายปีเพื่อทำศึกกับดินแดนอื่น ทั้งที่เกือบจะครอบครองศรีพิสยาได้อยู่แล้ว สีหสาเหยียดยิ้มแล้วพูดถึงชัยชนะที่ผ่านมา
“แต่ท่านก็ทำลายพวกนั้นจนราบคาบ ไม่กล้าโงหัวขึ้นมาสู้ได้อีกนานชั่วลูกชั่วหลาน ตอนนี้ก็เหลือแค่ศรีพิสยา”
“กลิ่นแห่งความสุขของศรีพิสยามันช่างเร่งให้ข้ากระหายเลือดเหลือเกิน”
สุเลวินตามเข้ามาอีกคนโดยมีคชา องครักษ์แห่งองค์นรสิงห์ช่วยพยุง สีหสามองมาแล้วแสยะยิ้ม
“นึกว่าศึกคราวนี้เจ้าจะอยู่เฝ้าวิหารเหมือนครั้งก่อนๆเสียอีกสุเลวิน”
“เจ้าเข้าใจผิดเช่นเคย ศึกสำคัญเช่นนี้ ผู้หยั่งรู้โชคชะตาฟ้าดินเช่นข้า สมควรได้อยู่ใกล้ให้การรับใช้องค์นรสิงห์”
สีหสามองมาด้วยแววตาเกรี้ยวกราด ต่างจากโหรหนุ่มที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม...
เมื่อติสสากลับเข้าวังหลวงเพื่อรายงานสถานการณ์ตามแนวชายแดน เจ้าปรันมารับฟังอยู่ครู่จึงรับสั่งให้นายทหารออกไปทั้งหมดและบอกวิธีรักษาศรีพิสยาไว้โดยคำแนะนำของเมืองมาศ แต่ต้องอาศัยความสมัครใจของติสสา
“ข้ามีคำตอบเดียว ต่อให้ต้องเอาชีวิตข้าไป ข้าก็เต็มใจเพื่อให้แผ่นดินนี้รอดจากเงื้อมมือกษัตริย์ชั่วอย่างนรสิงห์”
แววตาเด็ดเดี่ยวพร้อมเสียสละของติสสาทำให้เจ้าปรันมาพึงพอใจมาก...ศรีพิสยาโชคดีที่มีแม่ทัพใจสู้
อีกด้านของตำหนักหลวง...นันทวดีกำลังพาเจ้านางจันทเทวีมาส่งที่หอขวัญเมืองตามคำสั่งเจ้าปรันมา เจ้านางแปลกใจนิดหน่อยแต่ไม่คิดอะไรมากเพราะคำสั่งของพี่ชายย่อมศักดิ์สิทธิ์เหนือทุกอย่างเสมอ
ฝ่ายติสสาเมื่อทราบเรื่องจากเจ้าปรันมาก็สั่งมารุต เมฆาและทหารอีกจำนวนหนึ่งไปอารักขาที่บ้าน ส่วนตัวเองกลับไปหามรันมาและดาราน้อยเพื่อบอกว่าไม่สามารถอยู่บูชาเพ็งด้วยได้ โดยอ้างว่ามีราชการลับกับเจ้าปรันมา และเมื่อเขาปรากฏตัวที่หอขวัญเมืองพร้อมกับเจ้านางจันทเทวี เจ้าปรันมาจึงประกาศให้รับรู้ถึงพิธีกรรมที่จะเกิดขึ้น
“ข้าจะทำพิธีรักษาศรีพิสยาให้รอดพ้น พิธีนี้จะช่วยซ่อนความลับสำคัญที่สุด ไม่ให้ศัตรูล่วงรู้และทำลายลงได้” ติสสากับเจ้านางจันทเทวีนั่งคุกเข่าตรงหน้า “เราจะย้ายขวัญเมืองที่ดูแลปกปักศรีพิสยาในหอนี้มาสู่ดวงจิตของเจ้าทั้งสอง จันทเทวี...จิตของเจ้าเป็นหัวใจของเมือง ความสุขของเจ้าเสมือนความสุขแห่งศรีพิสยาทั้งมวล”
เจ้าปรันมาหยุดนิดหนึ่งแล้วเดินไปตรงหน้าแม่ทัพหนุ่ม “ติสสา...จิตกล้าแกร่งของเจ้าคือบารมีผู้พิทักษ์ จิตมุ่งเสียสละจะคุ้มครองเมืองให้มั่นคง ไม่มีวันพ่ายแพ้ศัตรู”
เมืองมาศกับเหล่านักบวชเริ่มสวดมนต์โบราณเพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองเมืองมาสถิตย์ในดวงจิตของทั้งสอง แสงจันทร์นวลสาดส่องไปทั่ว เจ้าปรันมาเองก็หลับตาภาวนาจิตให้นิ่งสงบอยู่ไม่ไกลกันนักเพื่อให้พิธีสมบูรณ์ที่สุด
เวลาเดียวที่ตำหนักเจ้านางอินยา...สองแม่ลูกร่วมกันสวดอ้อนวอนพระเพ็งด้วยท่าทางแข็งกร้าวและดุดัน
“พระเพ็งจงช่วยข้าได้ครอบครองศรีพิสยา เมื่อนั้นท่านต้องการอะไร ข้าจะมอบให้มากกว่าที่ปรันมาเคยให้”
เจ้านางอินยายืนเคียงข้างลูกชายเหมือนเป็นเครื่องยืนยันว่าจะสนับสนุนเขาทุกทาง “หากต้องแลกกับชีวิตติสสากับมรันมา...ข้าจะกุดหัวมันทั้งสองถวายด้วยมือของข้าเอง”
ฟากมรันมาก็ทำพิธีบูชาเพ็งร่วมกับดาราน้อยและนันทวดี พร้อมด้วยบรรดาข้าหลวงน้อยใหญ่ในบ้าน หญิงสาวก้าวไปที่โต๊ะหมู่บูชาซึ่งพรั่งพร้อมด้วยข้าวของสำหรับบูชาเพ็งมากมาย
“ข้าและชาวศรีพิสยามีความสุขภายใต้แสงนวลละมุนแห่งพระเพ็งมานาน ข้าขอบูชาแก่แสงแห่งความสุข”
ooooooo
เย็นวันเดียวกันที่ค่ายรบขององค์นรสิงห์...เหนือหัวแห่งปุระอมรเดินออกไปนอกกระโจมพร้อมด้วยสีหสา สุเลวิน คชา วาเรและไพลิน กองทัพทหารเกรียงไกรอยู่ในสภาพเตรียมพร้อม ฮึกเหิมและกระหายสงครามเต็มที่ องค์นรสิงห์ก้าวไปยืนตรงหน้าและเริ่มต้นพูดปลุกใจกองทหารกล้า
“หลังตะวันลับฟ้าคือเวลาจะท้าทายพระเพ็ง เร่งไฟตัณหาราคะให้พลุ่งพล่านร้อนแรง ให้ขุมพลังในกายพร้อมจะฆ่า และเมื่อแสงอาทิตย์แรกของวันพรุ่งสัมผัสแผ่นดินข้า นรสิงห์จะขึ้นไปเหยียบบนยอดบัลลังก์เลือดแห่งศรีพิสยา”
“เมื่อใดที่ดวงอาทิตย์แผ่รังสีเจิดจ้า แสงริบหรี่อ่อนล้าของดวงจันทร์ย่อมดับสลายสูญสิ้น”
สิ้นเสียงสุเลวิน องค์นรสิงห์ก็หัวเราะชอบใจเสียงดัง นักรบชูมือและดาบพร้อมโห่ร้องเสียงกึกก้องพร้อมเคลื่อนทัพไปถล่มศรีพิสยาให้ราบเป็นหน้ากลองเต็มที่!
องค์นรสิงห์ลำพองใจมากจนเข้านอนแต่วัน โดยมีสีหสาที่แปลงร่างเป็นสาวสวยเข้าไปปรนเปรอสวาทเหมือนที่ชอบทำบ่อยๆ “ข้ารู้สึกถึงพลังอำมหิตที่องค์นรสิงห์ถ่ายทอดสู่หัวใจข้า” สีหสาเคลื่อนตัวไปตามร่างแข็งแกร่ง “และนั่นเป็นความสุขเดียวที่ข้าต้องการ เพื่อเติมพลังให้ข้าเข้มแข็งมากขึ้น”
ส่วนสุเลวินกำลังสวดมนต์ทำพิธีบูชายัญบางอย่างให้กองทัพขององค์นรสิงห์มีชัยในวันรุ่งขึ้น
เสียงสวดมนต์โบราณในหอขวัญเมืองของศรีพิสยาดังกระหึ่มจนเกือบค่อนคืน ดวงจิตจากขวัญเมืองที่อยู่ในรูปสัญลักษณ์พระเพ็งค่อยๆเรืองแสงและลอยไปประทับในตัวติสสากับเจ้านางจันทเทวี สองร่างสะดุ้งน้อยๆและรับรู้ได้ถึงพลังแรงกล้าที่เข้าสู่ร่าง เช่นเดียวกับมรันมาที่รู้สึกวาบถึงพลังบางอย่างในจิตใจ พลันนึกถึงสามีด้วยใจนิ่งสงบ เชื่อว่าเขากำลังได้รับพลังแห่งความดีงามเป็นเครื่องคุ้มกันให้รอดพ้นจากภยันอันตราย
ในที่สุดพิธีกรรมอันแสนยาวนานก็เสร็จสิ้น เมืองมาสลืมตาช้าๆ เห็นติสสากับเจ้านางจันทเทวีรู้สึกตัวขึ้นพร้อมกัน เจ้าปรันมามองหน้าผู้ถูกเลือกทั้งสองแล้วพูดเสียงเข้ม
“จงทำจิตให้กล้าแข็ง ขวัญและกำลังใจดีของเจ้าทั้งสองคือสิ่งปกปักรักษาศรีพิสยา” ติสสากับเจ้านางจันทเทวีมองเจ้าปรันมาด้วยแววตาแน่วแน่ “อย่าให้ใครล่วงรู้ความลับนี้ อย่าให้ใครหรือเรื่องใดมาทำลายความเข้มแข็งและกำลังใจของตัวเองลงได้ ชะตาชีวิตของศรีพิสยาขึ้นอยู่กับดวงจิตของเจ้าทั้งสองแล้ว”
ติสสากับเจ้านางจันทเทวียืนขึ้นเคียงข้างกัน สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นว่าจะปกป้องและรักษาศรีพิสยาได้อย่างดีที่สุด เจ้าปรันมามีท่าทางมั่นใจมากขึ้นจะต่อกรกับกองทัพทมิฬแห่งองค์นรสิงห์ แต่ก่อนอื่นเขาต้องหาทางป้องกันกำแพงเมืองเสียก่อนเพราะไม่อยากเสียเลือดเนื้อชาวศรีพิสยาโดยไม่จำเป็น
“แผ่นดินกำลังถูกท้าทาย ขอผีนาถ ผีฟ้าออกมาคุ้มครองปกป้องอาณาจักรจากกองทัพต่ำช้าของศัตรูด้วยเถิด”
ขาดคำก็เกิดลำแสงสีขาวลอยจากแท่นพิธีสู่เหนือกำแพงเพื่อคุ้มครองเมืองไม่ให้ศัตรูมากล้ำกรายศรีพิสยา
ooooooo
เวลาเดียวกันที่แท่นทำพิธีของสุเลวินในค่ายรบขององค์นรสิงห์...โหรหนุ่มสะดุ้งเฮือกเมื่อรับรู้ถึงพลังพิเศษบางอย่างที่เกิดขึ้นในศรีพิสยา เขาจึงมุ่งหน้าไปแจ้งเรื่องนี้กับองค์นรสิงห์ทันทีเพราะเชื่อว่าอาจเป็นลางไม่ดี
องค์เหนือหัวแห่งปุระอมรก็รู้สึกเช่นกัน เขาผละตัวจากสีหสาที่ยังคลอเคลียไม่ห่างด้วยความหลงใหล แม่ทัพใหญ่ในสภาพสาวสวยถึงกับของขึ้นและพาลเคืองถึงสุเลวินโหรคู่ปรับตลอดกาล
“พวกมันก็คงสวดมนต์ให้พระจันทร์คุ้มครองเหมือนพวกขี้ขลาด ข้าจะตัดหัวเจ้าปรันมามาให้ท่านเหยียบเล่นเอง”
ขาดคำก็ดึงตัวเขามากอดอย่างเร่าร้อน องค์นรสิงห์จูบตอบด้วยความดุดันไม่แพ้กัน แต่แล้วทั้งสองก็ต้องผละจากกันอีกเมื่อสุเลวินฝ่าด่านเวรยามแน่นหนามาแจ้งถึงลางร้ายที่เห็น สีหสาโกรธมากที่ถูกขัดขวางความสุข แต่โหรหนุ่มไม่สนใจแถมเตือนสติเธอเสียงเรียบ
“สิ่งเดียวที่จะทำให้เป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ คืออย่าประมาทศัตรู...เหมือนเจ้าสีหสา”
องค์นรสิงห์รุ่มร้อนด้วยความอยากมีชัยเหนือศรีพิสยาจึงไม่อยากวอกแวกด้วยลางสังหรณ์ของสุเลวิน “อำนาจไหนจะใหญ่กว่าข้า ถ้าเจ้าจะห้ามกองทัพข้าไม่ให้ไปย่ำซากศพพวกมันก็ไสหัวไปทำพิธีของเจ้าซะสุเลวิน”
“ข้าไม่ได้คิดห้ามเรื่องยกทัพ แต่อยากเตือนให้ท่านระวังบางสิ่งบางอย่างในศรีพิสยา” สีหสาแหวให้หุบปากเพราะไม่เชื่อเรื่องอำนาจลึกลับงมงาย “ปากข้ามีไว้พูดในสิ่งที่ข้าเห็นด้วยจิต มีประโยชน์ไม่น้อยกว่าดาบของเจ้าสีหสา เพราะการเอ่ยวาจาศักดิ์สิทธิ์ มันไม่ใช่หน้าที่ของเจ้า”
“พอแล้วสุเลวิน...เมื่อเห็นแสงแรกแห่งตะวัน กองทัพข้าจะบุกศรีพิสยา ต่อให้กี่ร้อยพระเพ็งเต็มท้องฟ้าข้าก็ไม่กลัว เพราะข้าตั้งใจแล้วว่าข้าจะฉลองคืนบูชาเพ็งให้พวกมันด้วยเลือด!”
กองทัพแห่งองค์นรสิงห์เคลื่อนพลในเวลาย่ำรุ่งวันถัดมา สุเลวินยังเกลี้ยกล่อมองค์เหนือหัวให้เปลี่ยนใจเพราะกริ่งเกรงถึงพลังรุนแรงที่ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่สีหสากับเหล่านายทัพนายกองกลับโห่ร้องเสียงกึกก้องด้วยความกระหายเลือดและสงครามเต็มแก่ องค์นรสิงห์เองก็ไม่คิดมากเพราะเชื่อใจกองกำลังทหารในมือมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อมีแม่ทัพหญิงคนสำคัญที่พร้อมห้ำหั่นตามคำสั่งของเขาตลอดเวลาอย่างสีหสา
ด้านศรีพิสยาก็เตรียมความพร้อมแทบทั้งคืน ติสสากับเจ้าปรันมาออกจากหอขวัญเมืองเพื่อบัญชาการรบเต็มขั้น โดยเริ่มจากการตั้งกำลังพลป้องกันกำแพงเมือง
“ให้พวกมันเข้ามา...จะได้รู้ว่าศรีพิสยาไม่ใช่แผ่นดินที่มันจะเหยียบย่ำได้แม้ดินสักก้อน”
สีหสาเป็นทัพหน้า เห็นกำแพงเมืองศรีพิสยาก็วิ่งพุ่งไปทั้งร่าง หวังเป็นปุระอมรคนแรกที่เหยียบแผ่นดินศรีพิสยา แต่อำนาจผีนาถ ผีฟ้าที่คุ้มครองอยู่ก็ผลักร่างเธอลอยออกไป วาเร คชาและไพลิน รวมทั้งกองทหารที่เหลือพุ่งตามบ้าง แต่ก็เด้งกลับมาล้มระเนระนาดทั่วไปหมด
สีหสาโกรธมากและจะพุ่งเข้าไปอีก แต่วาเรกับไพลินเข้ามาดึงไว้ “ปล่อยข้า...ข้าจะเข้าไปฆ่ามัน อำนาจศักดิ์สิทธิ์อะไรที่ปกป้องศรีพิสยา ข้าจะทำลายมันให้ยับกับมือ”
ผีนาถ ผีฟ้าได้ยินคำท้าทายก็โกรธ เมื่อสีหสาพุ่งมาอีกจึงโดนผลักไปเต็มแรงจนกระอักเลือด วาเรเห็นท่าไม่ดีจะให้ถอยไปตั้งหลัก แต่สีหสากำลังหน้ามืดด้วยความโมโหสุดขีดจึงประกาศกร้าวท้าทายอำนาจผีนาถ ผีฟ้า
“เอาสิวะ...ผีห่าซาตานที่ช่วยไอ้พวกปรันมา ออกมาเดี๋ยวนี้ กูชื่อแม่ทัพติสสา กูนี่แหละจะฟันมึงให้นับชิ้นไม่ได้ กลายเป็นซากวิญญาณเร่ร่อน ไม่มีที่ผุดที่เกิด...ออกมา!”
ผีนาถ ผีฟ้าได้ยินความโอหังก็รวมตัวเป็นพลังสีฟ้าก้อนใหญ่และพุ่งเข้าหาร่างของสีหสาทันที!
ooooooo










