ตอนที่ 11
หลังสำรวจสถานการณ์ในศรีพิสยา องค์นรสิงห์ก็กลับค่ายพร้อมอารมณ์ขุ่นมัวเพราะอยากได้ดาราน้อยเป็นตัวประกัน เพื่อล้วงความลับเกี่ยวกับสิ่งที่คุ้มครองศรีพิสยา สุเลวินเสนอให้สีหสาจัดการแต่องค์นรสิงห์คิดว่าเจ้านางอินยากับเจ้าปันแสง น่าจะเหมาะกับหน้าที่นี้มากกว่า
“ข้าจะให้โอกาสเจ้านางกับลูกชาย เพื่อพิสูจน์ว่าปันแสงพร้อมจะเป็นกษัตริย์ศรีพิสยาภายใต้อุ้งเท้าข้าหรือยัง”
ความ ปรารถนาขององค์นรสิงห์ถึงหูเจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงในคืนเดียวกัน สีหสาเหยียดยิ้มแล้วแกล้งแหย่เจ้าปันแสงที่อาสาไปเอาตัวดาราน้อยว่าคงเป็นไป ได้ยากเจ้านางอินยาเลยต้องช่วยยืนยันว่าลูกชายต้องทำสำเร็จแน่ทั้งได้ตัว ดาราน้อยและไขความลับถึงสิ่งที่คุ้มครองศรีพิสยา
เจ้านางอินยาเริ่ม แผนการล้วงความลับด้วยการเข้าไปสวดมนต์ในวิหารหลวงในเช้าวันถัดมา เมืองมาศ แปลกใจไม่น้อยเพราะร้อยวันพันปีเจ้านางอินยาก็ไม่เคยย่างกรายมาที่นี่ เจ้านางเลยต้องตีหน้าเศร้าและทำท่าเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากเพราะความกลัวที่ มีต่อกองทัพองค์นรสิงห์
“ศรีพิสยาจะปลอดภัย เจ้านางทำใจให้สบาย แค่ตั้งมั่นอยู่ในความดี”
เจ้านางอินยายิ้มเศร้าและมองเมืองมาศด้วย แวว ตาน่าสงสาร แต่โหรหญิงก็ไม่บอกอะไรมากกว่านั้น เจ้านางเลยไม่กล้ารุกมากเพราะกลัวถูกสงสัย ได้แต่ก้มหน้า ก้มตาสวดมนต์และขอพรจากพระเพ็งให้คุ้มครองเมือง โหรหญิงไม่ติดใจอะไรและเดินไปนั่งภาวนาอีกด้าน เจ้านางอินยาเหลือบตามองตามแล้วคลี่ยิ้มน้อยๆแต่แฝงไปด้วยพลังอำมหิต
ขณะที่เจ้านางอินยาหาทางล้วงความลับจากวิหารหลวง...เจ้าปันแสงก็ร่วมมือกับสีห สาและวาเรดักจับดารา– น้อย แล้วก็สบโอกาสดีเมื่อเด็กน้อยมาวิ่งเล่นและพลัดหลงในเขตพระราชฐานด้านใน พินทุซึ่งตามประกบเห็นท่าไม่ดีและพยายามจะนำตัวดาราน้อยกลับเรือนแต่ก็ ไม่ทันการณ์เพราะเธอถูกบุรุษลึกลับจับตัวไปเสียก่อน
วาเรนั่นเองที่ซ้อม พินทุจนสลบ เจ้าปันแสงปรากฏตัวพร้อมกับสีหสา ดาราน้อยร้องไห้จ้าจนแม่ทัพหญิงรำคาญเลยยัดค้างคาวตากแห้งเข้าปากเพื่อให้ สลบดาราน้อย นอนนิ่งทันทีที่โดนพิษ เจ้าปันแสงยิ้มเหี้ยม
“ไม่ต้องกลัว ข้าจะรักเจ้าเท่ากับที่ติสสากับมรันมารัก”
เจ้าปันแสงอุ้มเด็กน้อยที่แสนรังเกียจไปที่ริมหาดนอกเมือง สภาพแน่นิ่งของดาราน้อยทำให้ความแค้นของราชนิกุลหนุ่มพลุ่งพล่าน “ข้าอยากจะส่งศพนังเด็กนี่กลับไปให้ติสสาซะด้วยซ้ำ แต่ความตายมันยังไม่ทรมาน ข้าอยากเห็นติสสามันทุรนทุรายแทบบ้า...นังมรันมาต้องกระอักเลือด ไม่รู้ว่าลูกจะเป็นหรือตาย”
สีหสาพลอยหัวเราะไปด้วยเพราะอยากเห็นติสสาร้อนรนเพราะหาลูกสาวคนเดียวไม่เจอเช่นกัน
ooooooo
มรันมาถึงกับเข่าอ่อนเมื่อรู้ว่าดาราน้อยถูกจับตัวไปแต่สติที่เหลือก็ทำให้เธอ สั่งการทุกคนออกตามหาและฝากความไปถึงสามีให้กลับเรือนโดยเร็วที่สุด เมื่อติสสารู้เรื่องลูกสาวหายตัวไปก็ร้อนรนดั่งไฟเผา ระดมพลตามหาแต่ก็ยังไร้ร่องรอย มรันมาน้ำตาร่วงพรูด้วยความเศร้าจนเขาแทบขาดใจ พลันก็คิดได้ว่ายังไม่ได้ค้นอีกที่ซึ่งน่าสงสัยที่สุด
มรันมาขอตามไป ตำหนักเจ้านางอินยาด้วยและแยกกับสามีไปคนละทาง โดยเธอบุกถึงห้องเจ้านางอินยา ส่วนติสสาไปจัดการเจ้าปันแสง น้องนางแห่งศรีพิสยาเลือดขึ้นหน้าด้วยความโมโหเพราะคิดว่าเจ้านางเป็นคน บงการให้จับตัวดาราน้อย แต่เจ้านางอินยาก็ยืนยันไม่รู้ไม่ชี้จนมรันมาทนไม่ไหวปราดเข้าไปตบด้วยความ โมโห
“เจ้านาง...ข้ารู้ว่าท่านโหดเหี้ยมแค่ไหน แต่ทำร้ายเด็ก มันเป็นวิธีของคนขี้ขลาด เหมือนสุนัขที่คอยแว้งกัดคน”
“คงไม่น่าเวทนาเหมือนหมาขี้เรื้อนที่เอาหนังราชสีห์ มาคลุมอย่างเจ้า ดิ้นไปเถอะมรันมา...จนกว่าจะเห็นศพลูก”
มรัน มาเหลืออด กระโจนไปบีบคอเจ้านางและคาดคั้นให้บอกเรื่องดาราน้อย พินทุกลัวมรันมาพลั้งมือฆ่าเจ้านางเลยไปดึงตัวออกมา มรันมาจำใจปล่อยแต่ไม่วายคว้าดาบมาจ่อคอแต่เจ้านางก็ยังปากดี
“แทงข้าให้ตาย ฟันคอข้าให้ขาด เพราะไม่อย่างนั้น... ชีวิตที่เหลืออยู่ของเจ้าจะยิ่งกว่าตกนรก!”
มรันมาเกือบทำตามคำท้าทายอยู่แล้ว ถ้ากาหลงไม่ มาเตือนสติให้พาเจ้านางไปให้เจ้าปรันมาตัดสินน้องนางแห่งศรีพิสยาจึงได้คิด ว่าหากเจ้านางตายไปคงหมดหนทางตามหาลูกสาว เจ้านางอินยาจึงหัวเราะเสียงหยันที่เขย่าประสาทมรันมาได้...เจ้าต้องทุกข์ ทรมานใจกว่านี้แน่ ข้าสัญญา!
ฝ่ายเจ้าปันแสงก็ถูกติสสาซ้อมปางตายแต่ก็ ไม่ยอมปริปากเรื่องดาราน้อย แถมพูดจาวกวนจนแม่ทัพใหญ่แทบคุมตัวเองไม่อยู่ “ทั่วทั้งแผ่นดิน มีแกคนเดียวที่กล้าทำเรื่องอัปรีย์ขนาดนี้ ถ้าลูกข้าเป็นอะไร แกไม่ตายดีแน่”
เมื่อเจ้าปรันมาทราบเรื่องทั้งหมดก็ โมโหมาก มั่นใจโดยไม่ต้องสอบสวนว่าเจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงเป็นคนบงการ เจ้านางอินยาท้าให้ไปถามเมืองมาศว่าเธอสวดมนต์ที่วิหารจนเย็นย่ำและคงไม่มี เวลาไปจับตัวดาราน้อย ส่วนเจ้าปันแสงก็อ้างว่าถูกขังในตำหนักโดยทหารของเจ้าปรันมาคงไม่มีทาง เล็ดลอดออกมาได้แน่
เจ้าปรันมาทนฟังอยู่นานแล้วไม่ไหว “อินยา ปันแสง ข้าขอให้เห็นแก่สายเลือดความเป็นศรีพิสยาเหมือนกัน”
“แล้วใครเห็นแก่เจ้านางกับข้าบ้าง ต่อให้พวกเจ้ารุมแทงจนตาย ข้าก็ไม่รู้ว่าดาราน้อยมันเป็นตายร้ายดียังไง”
มรันมาแทบยืนไม่อยู่หากติสสาไม่ประคองไว้ เจ้าปรันมาเองก็สีหน้าไม่ดีแต่ก็ไม่อาจกักตัวสองแม่ลูกใจโฉดไว้ได้เพราะ ไม่มีหลักฐานเพียงพอ...ติสสายังออกตามหาลูกอย่างไม่ย่อท้อแต่ก็ไม่มีร่องรอย แม้แต่เงา มรันมาแทบขาดใจเมื่อจินตนาการถึงเรื่องเลวร้ายที่อาจเกิดกับลูก ติสสาก็พลอยทุกข์ไปด้วยเพราะเป็นห่วงลูกสาวไม่ต่างกัน
ฟากสีหสากับเจ้าปันแสงมองสภาพสลบไสลของดาราน้อยด้วยแววตาอำมหิต หวังสุดใจว่าลมหายใจเล็กๆ
นี้จะช่วยไขความลับแห่งศรีพิสยา เจ้าปันแสงกลับตำหนักและเปรยกับแม่ว่าอยากตัดนิ้วดาราน้อยส่งให้ติสสากับมรันมา สีหสาต้องเตือนสติว่าแม่ทัพหนุ่มคงไม่ยอมอยู่เฉยแน่ และหากความแตกเรื่องตีศรีพิสยาคงจะยากยิ่งขึ้น
เจ้าปันแสงมองสีหสาด้วยความแค้นเคืองที่กล้าพูดจาหยาบหยาม เมื่อได้อยู่ตามลำพังกับแม่จึงระบายอารมณ์อย่างเหลืออด เจ้านางอินยามองลูกชายด้วยความเห็นใจแต่ก็ไม่อยากให้ใจร้อน
“ยังไม่ใช่ตอนนี้ เราต้องยืมดาบของสีหสาตัดคอศัตรูของเราเสียก่อน”
“แล้วหลังจากนั้น...ดาบของข้าก็จะตัดคอสีหสากับไอ้นรสิงห์!”
ขณะที่สองแม่ลูกวางแผนหักหลังสีหสากับองค์นรสิงห์อย่างเหี้ยมโหด แม่ทัพหญิงคนเก่งแห่งปุระอมรก็กลับไปที่ค่ายและถือโอกาสขออนุญาตฆ่าติสสาให้หายแค้น แต่องค์นรสิงห์อยากให้ถ่วงเวลาไว้ก่อน
“ข้าไม่ได้ต้องการแค่หัวติสสา ถึงแม่ทัพคนหนึ่งจะมีผลกับการรบ แต่ข้าต้องการทำลายเมืองให้ราบคาบหมดจด กองทัพของข้าต้องไม่ถอยกลับมาอีกเพราะข้ามกำแพงศรีพิสยาไม่ได้”
ooooooo
เจ้านางอินยาเดินหน้าสืบหาความลับในวิหารหลวงด้วยการไปสวดมนต์ในเช้าวันถัดมา แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะเมืองมาสและคณะนักบวชปราดมาขวางไม่ให้เข้าไป
“อภัยให้ข้าด้วยเจ้านาง ด้วยคำสั่งเจ้าเหนือหัว วันนี้จะเป็นพิธีสำคัญของนักบวชเท่านั้น”
เจ้านางอินยาจำใจออกจากวิหารและเฝ้าดูเหตุการณ์จากหน้าประตู แล้วก็ไม่ผิดหวังเมื่อเห็นเจ้าปรันมาเดินเข้าไปในหอขวัญเมืองพร้อมกับติสสาซึ่งยังกระวนกระวายเรื่องการหายตัวไปของดาราน้อย เจ้าปรันมาเห็นใจแม่ทัพหนุ่มแต่ก็ไม่อาจละเลยภาระสำคัญที่มีต่อบ้านเมือง
“พวกมันเอาตัวลูกข้าไป จะให้ข้าสวดมนต์ภาวนาแทนที่จะออกไปลากตัวพวกชั่วนั่นมารับโทษที่มันก่อ”
“จิตเจ้ากำลังหวั่นไหว ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำทุกอย่าง”
“ใช่...เพราะข้ารักลูก ลูกข้าจะเป็นตายร้ายดียังไง ข้าหวั่นใจ ข้ากลัว อย่าห้ามข้าเลย”
“งั้นก็จงออกไป...ไม่ต้องบูชาขวัญบ้านเมือง ปล่อยให้ดวงจิตอ่อนแอเป็นทาสความโกรธแค้น เมื่อนั้น... ก็จะไม่มีสิ่งใดคุ้มครองศรีพิสยาได้ รอเพียงกองทัพนรสิงห์เข้ามาบดขยี้ แล้วทุกอย่างก็จะอยู่ใต้อำนาจกษัตริย์ชั่วอย่างนรสิงห์”
ติสสานิ่งไปอึดใจ เจ้าปรันมาเห็นว่าแม่ทัพหนุ่มมีท่าทีอ่อนลงเลยกล่อมให้อยู่สวดมนต์เพื่อขวัญและกำลังใจของบ้านเมือง สติของติสสากลับคืนมาและกลับไปสวดภาวนาแต่โดยดี เจ้าปรันมาขอบคุณและสัญญาจะช่วยหาดาราน้อยอีกแรง ตอบแทนที่ติสสาเสียสละความสุขส่วนตัวช่วยเหลือบ้านเมือง
ฝ่ายมรันมาก็ร้อนใจที่สามีถูกเจ้าปรันมาเรียกไปพบ เมื่อสอบถามก็ได้ความว่าเพื่อราชการลับบางอย่าง มรันมาเข้าใจดีแต่ความรักความห่วงใยที่มีต่อลูกสาวคนเดียวทำให้ไม่อาจทนนิ่งเฉย เจ้าปรันมามองตามน้องสาวคนละแม่ด้วยความสงสาร...ข้าเองก็เป็นห่วงดาราน้อยไม่ต่างกับเจ้าเลย
มรันมาจนปัญญาจนต้องไปเฝ้าเจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงและขอร้องให้ปล่อยตัวดาราน้อย สองแม่ลูกยังทำไม่รู้ไม่ชี้จนมรันมาเกือบหมดความอดทน เจ้าปรันมาตามมาช่วยพูดและเสนอคืนยศถาบรรดาศักดิ์ให้แลกเปลี่ยนกับตัวดาราน้อย เจ้านางอินยาหรี่ตาและแกล้งถามหยั่งเชิงว่าต้องการชีวิตมรันมา
“ท่านสองคนเกลียดข้า อยากฆ่าข้า ข้าก็จะให้ชีวิต”
“แลกกับชีวิตลูกสาว ข้าซึ้งความเสียสละของเจ้าเหลือเกินมรันมา แต่ข้ากับเจ้านางไม่ต้องการอะไรจากเจ้าอีก”
ถ้อยคำเย้ยหยันของเจ้าปันแสงทำให้มรันมาน้ำตาไหลพรากและทรุดตัวคุกเข่าตรงหน้าสองแม่ลูก เจ้าปรันมาเห็นน้องยอมลดเกียรติก็ทนไม่ได้และก้าวไปดึงให้ลุกขึ้น เจ้าปันแสงแสยะยิ้มน่ารังเกียจและเดินไปหยุดตรงหน้ามรันมา
“ลิ้มรสความทุกข์ที่ต้องสูญเสียสิ่งที่เป็นของเจ้าเถอะมรันมา”
เจ้าปันแสงกับเจ้านางอินยาหัวเราะใส่หน้ามรันมาด้วยความสะใจ เจ้าปรันมาจึงลากน้องไปคุยที่ตำหนักหลวง มรันมาร้องไห้แทบขาดใจเพราะเป็นห่วงลูก เจ้าปรันมาจึงปลอบให้ใจเย็นเพราะเชื่อว่าดาราน้อยน่าจะยังมีชีวิตอยู่
“ถ้ามันคิดจะเอาชีวิต มันต้องส่งร่างดาราน้อยกลับมา แต่นี่มันจับดาราน้อยไปเพื่อต่อรองกับเรา”
มรันมาหน้าเสียและเริ่มคิดว่าอาจจะเป็นผู้ไม่หวังดีคนอื่นอย่างองค์นรสิงห์
“ไม่ว่าใคร...ข้าจะเอาหลานข้ากลับมา มรันมา...เจ้าต้องเข้มแข็ง ให้สมเป็นเมียแม่ทัพและน้องสาวเจ้าปรันมา”
ooooooo
ขณะที่ติสสาสวดมนต์จนพลังขวัญของเมืองกล้าแกร่ง เจ้านางอินยาก็ลอบออกไปพบองค์นรสิงห์เพื่อบอกว่าความลับน่าจะอยู่ในวิหารหลวงแห่งศรีพิสยา ซึ่งเธอเข้าไปด้านในไม่ได้ มีเพียงเจ้าปรันมากับเหล่านักบวชเท่านั้นที่ได้รับอนุญาต องค์นรสิงห์นิ่งไปชั่วครู่แล้วปรายตาไปทางสุเลวิน
สีหสาเดาได้ว่าองค์นรสิงห์จะส่งโหรหนุ่มไปสอดแนมจึงเสริมให้จับนักบวชมารีดความลับแต่สุเลวินไม่เห็นด้วย
“รู้ไหมว่านักบวชถือสัตย์ ทุกคนจะยอมตายแทน ที่จะคายความลับ แล้วเมื่อนั้นเราจะหมดหนทางทำลายเมือง”
“ดาบง้างปากคนบางคนไม่ได้ ความไว้ใจต่างหากที่เป็นจุดอ่อนของมนุษย์” เจ้านางอินยาเปรยเสียงเข้ม
องค์นรสิงห์ชอบใจมากจนต้องเอ่ยชมและหันไปค่อนแคะความเลือดร้อนชอบใช้แต่กำลังของสีหสาจนแม่ทัพหญิงโกรธจัด เจ้านางอินยาเห็นท่าไม่ดีเลยยิ้มหวานปะเหลาะแต่สีหสาก็ไม่หายเคือง องค์นรสิงห์เลยต้องพูดให้เจ้านางสบายใจ “ข้าสัญญา...ข้าจะช่วยตัดคอปรันมายกให้ท่านเอาไปสังเวยพระเพ็ง!”
เจ้านางอินยาขอตัวกลับหลังจากนั้น พร้อมสุเลวินที่ออกไปเตรียมตัวเพื่อลอบเข้าเมืองศรีพิสยาในคราบนักบวชต่างเมือง องค์นรสิงห์มองตามโหรหนุ่มด้วยแววตาหมายมั่น...สุเลวิน เจ้าจะต้องกลับมาพร้อมสิ่งที่ข้าอยากรู้ที่สุด!
ฝั่งมรันมาก็ร้องไห้ไม่หยุดเพราะเป็นห่วงลูก กาหลงกับพินทุช่วยกันปลอบก็ไม่ได้ผล เมื่อติสสากลับถึงเรือนในเช้าถัดมาก็แทบขาดใจด้วยความสงสาร มรันมาร่ำไห้และทุบตีสามีอย่างบ้าคลั่งที่เขาหาตัวดาราน้อยไม่เจอ ติสสารั้งตัวเธอมากอดไว้แน่นและสัญญาว่าจะต้องพาดาราน้อยกลับมาให้เร็วที่สุด
เวลาเดียวกันที่วิหารหลวง สุเลวินแฝงตัวไปกับเหล่านักบวชต่างเมืองที่มาสวดอวยพรให้ศรีพิสยารอดพ้นจากเงื้อมมือองค์นรสิงห์ เจ้าปรันมากับเมืองมาสยินดีมาก โดยเฉพาะกับสุเลวินที่คงเดินทางมาไกลด้วยความยากลำบาก
“ตาจะมองเห็นหรือไม่ไม่สำคัญ ศรัทธาแรงกล้าย่อมทำให้เป็นไปได้ ขอเพียงได้มาสวดมนต์ที่นี่ ข้าก็ยินดี”
เจ้าปรันมายิ้มปลื้มใจ เชื่อมั่นว่าความดีจะช่วยให้บ้านเมืองพ้นจากความชั่วร้ายขององค์นรสิงห์ สุเลวินก้มหน้าก้มตาสวดมนต์ด้วยอาการสงบ เป็นที่ชื่นชมแก่เหล่าผู้พบเห็น...โดยไม่รู้กันเลยว่าศัตรูร้ายกาจอยู่ใกล้เพียงปลายจมูก!
ฝ่ายเจ้าปันแสงก็ไปดูดาราน้อยซึ่งยังไม่ได้สติที่ริมหาดนอกเมือง แม้จะอยากฆ่าให้ตายคามือแต่ก็ต้องระงับอารมณ์ไว้เพื่อการใหญ่ในภายหน้า เมื่อเขากลับถึงตำหนักก็ต้องเผชิญหน้ากับติสสาที่มาทวงหาลูกสาวคนเดียว
“ข้าควรจะสงเคราะห์พ่อให้ได้พบกับวิญญาณของลูกสักทีดีไหม”
“ข้าตายเพื่อคนที่ข้ารัก แต่ชีวิตแก...มันต้องตายสังเวยความชั่ว มา...ปันแสง...แกกับข้า เรามาตายพร้อมกัน!”
ติสสาชักมีดสั้นออกมาและจ่อที่คอเจ้าปันแสง ราชนิกุลหนุ่มถึงกับตาเหลือกเพราะสำเหนียกได้ว่าแม่ทัพใหญ่เอาจริง “ถ้าเลือดของดาราน้อยหยดลงพื้น... แม้แต่หยดเดียว จำคำข้าไว้ ข้าจะคว้านไส้ไอ้คนที่แตะลูกข้าออกมากองทั้งที่ยังหายใจ ไม่ว่าหน้าไหน จะผู้ชายหรือผู้หญิง ข้าจะให้มันตายอย่างทรมานที่สุด”
ด้านสุเลวิน...ก็สอดส่องสายตามองหาความลับในวิหารหลวง สบโอกาสเมื่อเมืองมาสปลีกตัวเข้าไปหอขวัญด้านในก็พยายามส่งญาณพิเศษตามไปดู แต่พลังแห่งความชั่วร้ายหรือจะสู้พลังแห่งความดีได้ โหร หนุ่มได้แต่กัดฟันแน่นด้วยความแค้นที่ดวงตาวิเศษซึ่งเคยทรงอานุภาพกลับมองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดมิดแห่งรัตติกาล
ฝ่ายเจ้าปันแสงก็แค้นติสสามากจนต้องไประบายกับดาราน้อยซึ่งเพิ่งฟื้นคืนสติ เด็กน้อยกรีดร้องอย่าง
บ้าคลั่ง แถมกัดแขนเจ้าปันแสงเต็มแรงจนถูกเหวี่ยงไปคลุกทราย ราชนิกุลหนุ่มเดือดจัด เงื้อดาบสูงและฟันฉับลงมาด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียมที่สุด!
ooooooo
ภาพดาราน้อยกับเจ้าปันแสงเลือนหายไปพร้อมกับเสียงกรี๊ดของรัดเกล้า สถบดี คฑารัตน์และวิวรรธน์สะดุ้งตื่นจากภวังค์ไปตามๆกัน รัดเกล้าพุ่งเข้าหานรสิงห์ทันทีด้วยท่าทางตื่นตระหนกเพราะเป็นห่วงดาราน้อย คฑารัตน์พยายามปลอบให้น้องใจเย็นและบอกว่ามันเป็นแค่นิทานของนรสิงห์เท่านั้น
“มันเกิดขึ้นจริงและกลายเป็นกรรมที่ติดตามพวกเรามาจากอดีต นี่ใช่ไหม...กรรมที่คุณอยากให้เราเห็นด้วยกัน”
นรสิงห์มองรัดเกล้านิ่ง “ใช่...แล้วมันยังไม่หมดสิ้นแค่นี้ ทุกอย่างจบลงด้วยความตาย!”
รัดเกล้าเจ็บจี๊ดที่กลางอกเหมือนถูกไฟจี้ ถลาไปทุบอกชายชราด้วยความเป็นห่วงดาราน้อย นรสิงห์ยืนนิ่งให้รัดเกล้าทำร้ายโดยไม่สะทกสะท้านจนสถบดีทนไม่ไหวและไปดึงเธอมากอดไว้อย่างปกป้อง
“เด็กคนนั้นก็มีกรรม เกิดขึ้นจากความริษยาของผู้ใหญ่” นรสิงห์เปรยเสียงเบา
สถบดีหมดความอดทนโพล่งขึ้น “ไม่ต้องมาเล่นลิ้น ตอบมาสิ...ดาราน้อยปลอดภัย ไม่ได้ถูกฆ่าใช่ไหม”
คฑารัตน์เห็นท่าไม่ดีก็ถามสถบดีว่าเชื่อนิทานหลอกเด็กของนรสิงห์ด้วยหรือ
“ผมเชื่อเหมือนที่น้องคุณเชื่อ ผมรู้สึกได้ว่าเรามีกรรมร่วมกัน ผม รัดเกล้า ดาราน้อย...เราเคยเป็นพ่อแม่ ลูกกัน”
คฑารัตน์กับวิวรรธน์พูดไม่ออก นรสิงห์มองสถบดีกับรัดเกล้าด้วยสายตาลึกซึ้ง “เธอสองคนคงรู้สึกได้ถึงความผูกพัน ความพยาบาทที่ทำให้ทุกคนต้องเวียนว่ายไม่รู้จักจบสิ้น”
รัดเกล้านิ่งไปอึดใจแล้วอ้อนวอนให้นรสิงห์บอกเรื่องดาราน้อย คฑารัตน์เห็นน้องสาวฟูมฟายก็พยายามกล่อมให้ทำใจเพราะคงไปแก้ไขอดีตไม่ได้ “ฉันไม่ได้คิดว่ามันคือกรรม มันคือหน้าที่ เกิดเป็นนักรบก็ต้องทำทุกอย่างให้ชนะ ไม่ใช่แจกจ่ายความเมตตา หน้าไหนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ถ้าเป็นศัตรู...อย่างเดียวที่มันจะต้องได้รับคือความตาย”
เสียงกระด้างของคฑารัตน์ทำให้ทุกคนรู้ว่าเธอเองก็เชื่อว่าตัวเองคือแม่ทัพสีหสาแต่ไม่อยากยอมรับ คฑารัตน์ไม่ชอบใจที่ถูกจับได้เลยตั้งท่าจะลงกับวิวรรธน์ที่ทำท่าเหมือนผู้หยั่งรู้จนน่าหมั่นไส้
“ก็ผมเคยเป็นนักบวชตาบอดคนนั้น แล้วเจ๊ก็เป็นแม่ทัพหัวแข็ง หัวดื้อและยโสไม่ฟังใคร”
“แกเองก็เป็นนักบวชอำมหิต จิตสกปรก ทำทุกอย่างเพื่อสนองตัณหาเจ้านาย”
นรสิงห์เห็นอดีตสมุนเอกทั้งสองเถียงกันไม่หยุดเลยผุดยิ้มขึ้นและเอ่ยเสียงเย็น “จากพันปีจนบัดนี้ ทุกคนก็มีสัญญาเก่าของตัวเองติดมา ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพ หญิงงามหรือผู้หยั่งรู้ แม้กระทั่งสายเลือดเดียวกัน...ทุกคนจะเกิดมาอีกครั้งกับสิ่งที่เคยก่อไว้และยังไม่ได้รับการให้อภัย”
สถบดีไม่อยากฟังชายชราพล่ามจึงคาดคั้นถามถึงดาราน้อยด้วยความเป็นห่วงไม่แพ้รัดเกล้า แต่นรสิงห์ก็ไม่สะทกสะท้าน “เด็กน้อย...ชีวิตบริสุทธิ์ที่ถูกกำหนดให้เป็นหมากในการแย่งชิงของผู้ใหญ่ แววตาและหัวใจของคนเป็นแม่และพ่อ...ยอมทนทุกข์ เสียสละชีวิตได้เพื่อแลกกับความเจ็บปวดของลูก ฉันจำแววตาพวกนั้นได้ดี”
“แกจำได้...ใช่สิ กษัตริย์นรสิงห์ที่ชั่วช้าโหดเหี้ยม แกเกิดมาเป็นนรสิงห์ลึกลับที่พาเรากลับไปอดีตเพื่ออะไร”
นรสิงห์มองทุกคนด้วยแววตาเจ็บปวดกับเรื่องในอดีต วิวรรธน์กับคฑารัตน์เองก็อยากรู้ว่าชายชราต้องการอะไร
“กรรมเวรก็เหมือนคำสาป ทุกคนต้องได้รับกรรมแต่ไม่ใช่แค่พวกเธอสี่คน ยังมีอีกสองชีวิตที่ต้องร่วมรับรู้”
“ใครล่ะคะ บอกมาสิคะ เกล้าจะพาเขามาที่นี่เอง”
“จงใช้หัวใจไตร่ตรอง ยังมีใครอีกที่ผูกพันกับพวกเธอมากที่สุดในตอนนี้ เมื่อถึงเวลานั้น...เวลาที่ทุกคนมาพร้อมหน้ากันที่นี่อีกครั้ง ความทุกข์ทนอันยาวนานจะจบสิ้นลง...กลับกันไปได้แล้ว”
นรสิงห์เคลื่อนตัวออกไปแล้ว รัดเกล้าถลาตามแต่ก็ไม่ทัน สถบดีต้องช่วยประคองและพาเธอออกไปข้างนอกพร้อมกับคฑารัตน์และวิวรรธน์ สี่หนุ่มสาวใช้เวลาไม่นานก็พอจะรู้ว่าสองคนปริศนาที่นรสิงห์พูดถึงคือใคร...
เวลาเดียวกันที่บ้านพัทธยา...เพชรดาเดินตามคนรักเข้าไปด้านในด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พัทธยาเอ่ยขึ้นอย่างถ่อมตัวว่าบ้านเขาเล็กไปหน่อยไม่เหมือนคฤหาสน์ของอภิมุข เพชรดายิ้มหวานแล้วโอบแขนรอบคอเขา
“บ้านหลังนั้นเป็นของเพชรแล้วค่ะ แล้วก็กำลังจะเป็นของเรา”
พัทธยาดึงเธอมากอดด้วยความปลื้มใจ “ผมกับคุณจะร่วมทุกข์ร่วมสุข เป็นของกันและกันตลอดไปนะเพชร”
สองหนุ่มสาวใช้เวลาด้วยกันอย่างมีความสุข พัทธยาวางแผนใช้หลักฐานปรักปรำอภิวัฒน์ให้รับโทษในคดีอภิมุข เพชรดาพอใจมากและโน้มตัวไปจูบแก้มเขาเบาๆ
“ไม่มีใครนอกจากคุณกับเพชร...ที่จะเข้าใจรสชาติชีวิตขมขื่น ถูกเหยียบย่ำทอดทิ้งได้ดีที่สุด”
พัทธยาทำงานอีกครู่ใหญ่ก็พาเพชรดาไปดื่ม ฉลอง สองหนุ่มสาวชนแก้วเครื่องดื่มสีสวยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม วาดฝันสวยหรูถึงเงินทองและความสุขสมหวังที่จะได้ครอบครองสมบัติทั้งหมดของอภิมุขหลังจากที่วางแผนมานาน
ooooooo
สองคนปริศนาที่นรสิงห์พูดถึงก็คือพัทธยากับเพชรดา นรสิงห์รับรู้จากญาณพิเศษว่าความหวังจะให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตมารวมตัวกันใกล้สัมฤทธิผล มีเพียงเจ้าตัวทั้งสองที่สะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะฝันร้าย เพชรดาเกาะแขนคนรักด้วยความเป็นห่วงเพราะคิดว่าเขากังวลเรื่องคดีจนเก็บไปฝัน หรือไม่ก็หนักใจที่ต้องพูดกับสถบดีเรื่องอภิวัฒน์
“ไอ้ไผ่มันหัวดื้อ มันอาจจะไม่เห็นด้วยที่ผมจะเร่งส่งฟ้องอภิวัฒน์”
“ก็ใช้วิกกี้เป็นเครื่องมือเหมือนทุกครั้งสิคะ วิกกี้เขาชอบคุณมาก”
“ไม่ต้องหึงหรอก สายตาผมมีไว้มองคุณคนเดียว คนพวกนั้นไม่มีค่าอะไรให้ผมกลัวเท่ากับถ้าคุณไม่รักผม”
เพชรดายิ้มหวานและโผกอดเขาแน่น พัทธยากระชับอ้อมแขน ดีใจเหลือเกินที่มีวันนี้
เช้าวันถัดมาที่บ้านคฑารัตน์...ความเป็นห่วงดาราน้อยยังก่อกวนใจรัดเกล้าจนไม่เป็นอันทำอะไร คฑารัตน์เห็นน้องกลุ้มใจก็พยายามพูดให้คลายใจว่ามันเป็นแค่เรื่องในอดีตที่แก้ไขไม่ได้
“แต่ปัจจุบันก็เป็นผลจากอดีตนะคะ ถ้าเราเคยทำร้ายใครไว้ จิตใจเราจะสงบได้ยังไง”
“งั้นแกคงต้องภาวนาให้แผนพาคุณเพชรกับผู้กองพัทธ์ไปบ้านนรสิงห์สำเร็จ”
เวลาเดียวกันที่ห้องทำงานของพัทธยาในสำนักงานสืบคดี...สถบดีกับวิวรรธน์กำลังหลอกล่อให้พัทธยาไปพบพยานปากเอกคนใหม่ที่อ้างว่ารู้จักเพชรดาเป็นอย่างดี พัทธยาหน้าเครียด วิวรรธน์จึงช่วยตอกย้ำความมั่นใจ
“ถ้าเราจะปิดคดีนี้ให้จบแบบไม่มีใครโต้แย้งได้ ผมว่านี่แหละครับ...พยานปากสุดท้าย”
เพชรดาในสภาพหญิงสาวเรียบร้อยมองสถบดีกับวิวรรธน์ด้วยความไม่วางใจที่ทั้งสองพยายามกล่อมให้เธอไปเจอพยานคนใหม่ในคดีอภิมุข พัทธยาไม่อยากมีพิรุธเลยช่วยพูดอีกแรงแต่หญิงสาวก็ยิ่งงอน
“ถ้ามีอีกสิบคนว่ารู้จักดิฉันดี ดิฉันไม่ต้องเที่ยวไปพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าคนพวกนั้นทั้งหมดหรือคะผู้กองพัทธ์”
“ผมยืนยันว่าเป็นครั้งสุดท้าย เรากำลังจะส่งฟ้องอภิวัฒน์ ถ้าเขาให้ข้อมูลเลอะเทอะจะต้องถูกจับแน่ๆ คดีก็จบ”
ฟากรัดเกล้ากับคฑารัตน์ก็ไปบ้านนรสิงห์ เฝ้ารอและหวังว่าสถบดีกับวิวรรธน์จะพาพัทธยากับเพชรดามาได้สำเร็จ รัดเกล้าเริ่มนั่งไม่ติดและขอให้นรสิงห์เล่าเรื่องดาราน้อย ไม่ว่าพัทธยากับเพชรดาจะปรากฏตัวหรือไม่ก็ตาม
“เธอกำลังกลัวว่าคนรักของเธอจะพาสองคนนั่นมาไม่ได้”
“ผู้กองไผ่ต้องทำได้ค่ะ เพราะเขาก็อยากรู้เรื่องพอๆกับเกล้า”
“งั้นเราก็ต้องรอ สำหรับฉัน...คำว่ารอมันยาวนานจนไม่มีที่สิ้นสุด”
“เพราะคุณคือคนบาป ต้นเหตุของทุกสิ่งทุกอย่าง”
เมื่อพัทธยากับเพชรดามาถึงบ้านนรสิงห์ก็รู้สึกหนาวแปลกๆ โดยเฉพาะเพชรดาที่สังหรณ์รุนแรงว่ากำลังเข้าไปในสถานที่ที่ไม่ควรมา พัทธยาก็รู้สึกแบบเดียวกันแต่ก็พยายามปลอบหญิงสาวให้ใจเย็นเพราะเขาจะอยู่ข้างๆเธอเอง
การเผชิญหน้าครั้งแรกระหว่างนรสิงห์ พัทธยาและเพชรดาไม่น่าประทับใจนัก ความเกลียดชังรุนแรงและความรู้สึกอึดอัดชวนให้สองหนุ่มสาวอยากออกไปข้างนอกใจแทบขาด แต่นรสิงห์ก็รั้งไว้และอาสาเล่าเรื่องในอดีต
“ความจริงที่ฉันรู้มันยาวนาน ลึกซึ้ง ขนาดที่หยั่งถึงก้นบึ้งหัวใจของทุกคนในนี้”
พัทธยาเริ่มใจไม่ดี เช่นเดียวกับเพชรดาที่ร่ำร้องขอกลับบ้านเพราะไม่อยากรับรู้เรื่องในอดีต รัดเกล้ากับคฑา– รัตน์ต้องกล่อมให้อยู่ต่อ แต่เพชรดาก็ไม่ยอม นรสิงห์
จึงอดเปรยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันไม่ได้
“ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับความปรารถนาของตัวเองสินะ ถึงจะยอมเสียเวลาฟัง”
พัทธยากับเพชรดาชักสีหน้า ไม่ชอบใจที่ชายชราเจ้าของบ้านลึกลับพูดจาไม่เข้าหู
“ไม่ว่ากี่พันปี ทุกคนก็หนีไม่พ้น จงมองให้ลึกกว่าหัวใจตนเอง ให้รู้สึกถึงรอยเลือด คราบน้ำตาที่ก่อร่วมกันมา”
รัดเกล้า สถบดี คฑารัตน์และวิวรรธน์ค่อยๆหลับตาเตรียมย้อนอดีต ส่วนพัทธยากับเพชรดากลับดิ้นรนขัดขืนแต่สุดท้ายก็ไม่อาจต้านทานพลังของนรสิงห์จนต้อง
ดำดิ่งสู่อดีตพร้อมประโยคสุดท้ายของชายชราที่ตามไปหลอกหลอน
“ถามตัวเองสิว่า คุณทั้งสองเคยเป็นใคร คนเลวที่มีแต่ความอาฆาต ฆ่าได้ทุกชีวิต ไม่เลือกแม้แต่ชีวิตน้อยๆ”
ooooooo
ภาพเหตุการณ์ดาราน้อยเกือบถูกเจ้าปันแสงฆ่าตายย้อนกลับมาอีกครั้ง สีหสาไม่อาจปล่อยให้เจ้าปันแสงทำให้เสียแผนเลยปราดไปดึงตัวเด็กน้อยออกมา “ชีวิตมันยังมีประโยชน์ จนกว่าเราจะได้ความลับจากศรีพิสยา”
เจ้าปันแสงอารมณ์ค้างแต่รู้ว่าดันทุรังไปก็ไม่เกิดประโยชน์ “ถ้ามันยังตายไม่ได้ ข้าก็จะให้มันทรมานยิ่งกว่าตาย” ดาราน้อยกลัวจนสลบไปแล้ว เจ้าปันแสงเลยจับขังกรง “เดิมพันคือเวลาที่มันต้องอยู่ในนี้ รอเวลาน้ำทะเลมิดหัว!”
ฟากติสสาก็ร้อนรนอย่างหนักที่ตามหาลูกสาวไม่เจอ เจ้าปรันมาเองก็จนปัญญาเพราะไม่รู้จะไปตามที่ไหน สุดท้ายเหนือหัวแห่งศรีพิสยาจึงตัดสินใจเรียกเมืองมาสมาพบเพื่อให้ช่วยตามหาดาราน้อยอีกแรง
ด้านสุเลวิน...รอโอกาสอยู่แล้ว เมื่อโหรหญิงแห่งศรีพิสยาออกจากวิหารหลวงจึงแอบเข้าไปในหอขวัญเมืองตามลำพัง โดยมีบรรดานักบวชคนอื่นซึ่งเป็นคนของปุระอมรแฝงตัวมาด้วยช่วยดูต้นทางให้ ภาพแท่งแก้วขวัญ เมืองตรงหน้าทำให้โหรหนุ่มตะลึง อำนาจชั่วร้ายในตัวทำให้สุเลวินเย็นเยียบในใจจนแทบทนไม่ไหว “นี่เอง...พลังที่คุ้มครองศรีพิสยา”
ฝ่ายเมืองมาสก็ใช้ญาณพิเศษตามหาดาราน้อยแต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะจิตของเด็กน้อยอ่อนแอเหลือเกิน เจ้าปรันมากับติสสาขอให้พยายามต่อ โหรหญิงจึงใช้พลังที่เหลือมองหาจนรู้ว่าดาราน้อยถูกคนใกล้ตัวในวังจับตัวไป ติสสามั่นใจว่าเจ้าปันแสงกับเจ้านางอินยาเป็นคนบงการเลยตรงไปดักรอหน้าตำหนักพร้อมกับเมรุตและเมฆา
ฝั่งเจ้าปันแสงก็กลับตำหนักด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านเพราะถูกสีหสาสั่งไม่ให้เข้าใกล้ดาราน้อย เจ้านางอินยาจึงบอกให้ลูกชายสั่งสอนด้วยการขัดคำสั่ง อสุนีจึงอาสาไปเอาแขนดาราน้อยมาให้เอง ทหารคู่ใจเจ้าปันแสงออกจากตำหนักด้วยสีหน้ากระหยิ่มใจ ไม่ทันระวังว่า
ติสสา มารุตและเมฆาแอบสะกดรอยตามไปอย่างเงียบๆ
ด้านสุเลวิน...นั่งสมาธิในวิหารหลวงอย่างเคร่งเครียดเพราะอยากรู้เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองศรีพิสยาแต่พยายามเท่าไหร่ก็ไร้ผล เมื่อเมืองมาสกลับมาถึง เขาจึงแกล้งเปรยถึงพลังบางอย่างที่สัมผัสได้ระหว่างนั่งสวดมนต์ที่นี่
“ข้าอยากไปสวดมนต์ภาวนาในที่เหล่านั้นเหลือเกิน การได้มาศรีพิสยาครั้งหนึ่งของข้าจะได้สมบูรณ์ที่สุด”
“คงไม่ได้ เพราะเป็นที่เฉพาะสำหรับชาวศรีพิสยา แล้วต้องให้เจ้าปรันมาอนุญาตเท่านั้น”
สุเลวินไม่กล้าเซ้าซี้ ได้แต่ครุ่นคิดเงียบๆ...หอขวัญเมืองต้องซ่อนอะไรบางอย่างที่สำคัญมากกับศรีพิสยาแน่ๆ
ฝ่ายติสสาสะกดรอยตามอสุนีไปจนสุดเขตศรี– พิสยาที่ติดกับชายทะเล พบลูกสาวตัวน้อยกำลังจะถูกอสุนีทำร้ายเลยปราดไปขวางและฆ่าอสุนีตายในที่สุด วาเรกลัวเสียแผนเลยแกล้งสวมรอยว่าเป็นพลเมืองดีมาช่วยเด็กแล้วค่อยๆปลีกตัวหนีกลับค่ายเงียบๆ โดยมีไพลินล่วงหน้าไปก่อนแล้วเพื่อรายงานสีหสาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
เมื่อสีหสาทราบเรื่องก็กลับไปที่ตำหนักเจ้านางอินยาทันทีเพื่อเอาเรื่อง เจ้านางไม่สะดุ้งสะเทือนแถมยังโต้ว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แม่ทัพหญิงเนื้อเต้นด้วยความโมโห เจ้าปันแสงเลยต้องใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
“เจ้านางไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย แค่ใจร้อนไปหน่อย เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรู้ถึงองค์นรสิงห์ มันแค่เรื่องเล็กน้อย”
“เข้าใจผิดตรงไหน มันทำให้เห็นต่างหากว่าท่านไม่พร้อมจะทำตามคำสั่งเรา”
เจ้านางอินยาไม่ยอมรับผิด แต่แล้วก็ต้องหน้าเสียเมื่อวาเรมาบอกว่าติสสานำตัวดาราน้อยกลับมาถึงวังแล้ว
เจ้าปันแสงกับเจ้านางอินยาถูกเรียกตัวเข้าตำหนักหลวงในเวลาต่อมา เจ้าปรันมาปรายตามองสองแม่ลูกด้วย สายตาเคร่งเครียดและคาดคั้นให้สารภาพเพราะมีหลักฐานมัดตัวแน่นหนา เจ้าปันแสงไม่ยอมรับข้อกล่าวหาใดๆทั้งสิ้นและพูดจาอวดดีจนเจ้าปรันมาเหลืออดตบหน้าเขาอย่างแรง
“เจ้ามันสิ้นศักดิ์ศรีความเป็นคน ตั้งแต่กล้าทำร้ายเด็กที่เป็นสายเลือดเดียวกันแล้ว”
“ก็เอาดาบของแม่ทัพมาตัดคอคนสายเลือดเดียวกันเลยสิปรันมา ถ้าเจ้าทำได้ เจ้ามันก็เลวเท่ากับที่ด่าปันแสง”
เจ้าปรันมาเดือดจัดที่ถูกเจ้านางอินยาท้าทาย
ติสสาเห็นท่าไม่ดีเลยเข้ามาห้ามเจ้าปรันมา
“อย่าลดมือของท่านมาทำสิ่งแปดเปื้อนเหมือนเดรัจฉานสองตนนี้ ให้เป็นหน้าที่ของข้า”
“เอาสิปรันมา...ไม่ต้องคิดหรอกว่าน้ำนมที่ข้าเลี้ยงเจ้าแทนแม่ที่ป่วย มันจะทำให้เจ้าโตมาเป็นคนได้”
“บุญคุณของเจ้านาง ไม่เคยอยู่ในหัวมัน มันไม่เคยเห็นข้าเป็นพี่น้อง” เจ้าปันแสงค่อนแคะ
“ข้าเห็นเจ้าเป็นพี่น้องมาตลอด แต่เจ้าไม่เคยเห็นแก่ใครนอกจากตัวเอง ข้าผิดหวังที่ให้โอกาสคนผิด ต่อจากนี้เจ้าสองคนจงอยู่แต่ในตำหนักชั่วชีวิต อย่าออกไปสร้างความอับอายให้ใครได้อีกจนวันตาย” สองแม่ลูกเบิกตาโพลงด้วยความแค้น แต่เจ้าปรันมาก็ไม่ยี่หระ “ถ้าวันไหนเจ้าสองคนออกนอกตำหนัก ข้าจะถือว่าเจ้าไม่ใช่ชาวศรีพิสยาอีกต่อไป และข้าจะเลือกโทษที่เหมาะสมคือตัดหัวเสียบประจานทั้งคู่”
เจ้าปรันมามองมาด้วยแววตาดุดัน เจ้าปันแสงอยากเอาเรื่องแต่ก็ถูกดาบของติสสาจ่อที่หน้าอกเสียก่อน
“ดาบข้าอยากกินเลือดจัญไรของเจ้าทั้งสองนัก เสียดาย...จงมีลมหายใจต่ออย่างทรมาน เฝ้าดูพวกข้ามีความสุข”
มารุตกับเมฆากุมตัวสองแม่ลูกกลับตำหนัก เจ้าปันแสงจ้องติสสาอย่างเจ็บแค้นและสาปแช่งเสียงกร้าว “ไอ้ติสสา...ถ้าข้าอยู่บนบัลลังก์ศรีพิสยาเมื่อไหร่ ข้าจะกระทืบอกแกให้สำลักความสุขจนตาย”
ดาราน้อยอาการดีขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้นเป็นที่ชื่นใจของติสสากับมรันมาที่ดูแลไม่ห่างตลอดคืน แต่สองสามีภรรยาก็ไม่สบายใจนักเพราะเชื่อว่าความแค้นของเจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงยังอยู่และคงหาโอกาสลอบทำร้ายครอบครัวเธออีกแน่ ติสสาคิดไม่ต่างกันแต่ก็ไม่อยากให้กังวลจึงปลอบว่าจะไปขอพรพระเพ็งที่วิหารหลวงให้ช่วยคุ้มครอง
เมื่อแม่ทัพใหญ่ไปถึงวิหารหลวง เจ้าปรันมา เจ้านางจันทเทวีและเมืองมาสก็คอยอยู่แล้วเพราะถึงเวลาต้องสวดภาวนาต่อพระเพ็งเพื่อเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ขวัญเมือง สุเลวินซึ่งนั่งสวดมนต์ไม่ห่างกันนั้น เงี่ยหูฟังแล้วแอบคลี่ยิ้มเงียบๆด้วยความพึงพอใจ...ติสสากับเจ้านางจันทเทวีนี่เองที่เป็นหัวใจของเมือง
องค์นรสิงห์ยิ้มสะใจเมื่อทราบจากสุเลวินว่าติสสากับเจ้านางจันทเทวีคือขวัญและกำลังใจของศรีพิสยา
สีหสาบอกว่าไม่เคยเห็นหน้าเจ้านางจันทเทวี องค์นรสิงห์คิดว่านั่นไม่สำคัญเพราะอย่างน้อยก็รู้ว่าจุดอ่อนของติสสาคือดาราน้อย
“ข้ายังจำได้ เสียงเล็กๆ แววตาซุกซนน่ารักสมเป็นดวงใจของติสสา และถ้าจะให้เหมาะสมกับเกียรติผู้พิทักษ์ศรีพิสยา ข้าจะบีบหัวใจดวงน้อยนั้นให้ค่อยๆหมดลมหายใจต่อหน้าต่อตาพ่อแม่มัน”
สีหสาคิดว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าถึงตัวดาราน้อยเพราะคงถูกคุ้มกันตัวแน่นหนา องค์นรสิงห์เหยียดยิ้มน่าเกลียดแล้วบอกว่าจะใช้ผีเสื้อเข้าถึงตัวเด็กน้อย
“ผีเสื้อพิษ...สีสวยของมันคือพิษร้าย แตะนิดเดียวก็จะหลับเหมือนตาย ยิ่งหายใจพิษก็จะกระจายไปทั้งตัว ข้าเลือกให้มันเป็นอาวุธดีที่สุดเพื่อบดขยี้หัวใจติสสา”
ด้านดาราน้อย...อาการหายดีก็แอบหนีไปเที่ยวตลาด มรันมา กาหลงและพินทุตามหากันให้วุ่นแต่ก็เห็นแค่หลังไวๆ องค์นรสิงห์ซึ่งแฝงตัวมาในคราบพ่อค้าผีเสื้อจากต่างแดนแอบมาดักหน้าและยื่นกรงผีเสื้อสีสันสวยงามมาใกล้
“ผีเสื้อจากแดนไกล...ชอบเกาะนิ้วเด็กเล็กๆเพราะคิดว่าเป็นเกสรดอกไม้ที่เต็มไปด้วยน้ำหวาน”
ดาราน้อยจ้องผีเสื้อด้วยแววตาตื่นเต้นและอยากได้มาก แต่ก่อนที่องค์นรสิงห์จะได้ทำอะไร มรันมาก็โผล่มาเสนอเงินเพื่อแลกกับผีเสื้อทั้งหมด ซึ่งองค์นรสิงห์ก็ยอมขายให้ง่ายๆ
“แม่ผู้มีหัวใจประเสริฐ ทำทุกสิ่งได้เพื่อลูก...สัญญากับข้าได้ไหมเจ้าดาราน้อย ผีเสื้อพวกนี้ข้าดั้นด้นเสาะหามา จงรักมันเหมือนที่ข้ารัก เลี้ยงมันด้วยน้ำหวานจากดอกไม้จากมือท่านอย่างที่ข้าเลี้ยง จะได้เป็นของขวัญล้ำค่าจริงๆ”
จบคำก็ยื่นกรงส่งให้ ดาราน้อยรับมาแล้วยิ้มกว้าง “ดาราน้อยสัญญา”
องค์นรสิงห์มองภาพแม่ลูกและกรงผีเสื้อสีสวยเดินจากไปด้วยแววตาอำมหิต รอยยิ้มโหดเหี้ยมเลือดเย็นผุดขึ้นช้าๆ...ของขวัญชิ้นนี้จะทำให้เจ้ามีความสุขแน่ดาราน้อย!
ooooooo










