ตอนที่ 10
สีหสาหอบร่างสะบักสะบอมไปเฝ้าองค์นรสิงห์ พร้อมด้วยบรรดาทหารคนสนิทที่สภาพไม่ต่างกัน องค์เหนือหัวแห่งปุระอมรจิกผมแม่ทัพหญิงขึ้นจนหน้าหงายและถ่มน้ำลายเฉียดหน้าเธอไปนิดเดียว
“มึงยังมีหน้าแบกความอัปยศกลับมาอีกเหรอ ถุย...แม่ทัพของข้า สภาพไม่ต่างจากหมาถูกรุมกระทืบ ไหนล่ะหัวไอ้ปรันมาที่จะให้ข้าเตะเล่น” สีหสาแทบกระอักแต่ยังอาสาจะกลับไป องค์นรสิงห์คำรามและเหวี่ยงร่างแม่ทัพหญิงไปอีกทาง “กลับไปให้ไอ้ปรันมามันหัวเราะเยาะ แม้แต่กำแพงเมืองเล็กๆ แม่ทัพของข้ายังไม่มีปัญญาเข้าไป”
สุเลวินเห็นสีหสาจนมุมก็ช่วยพูดว่ามีพลังศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองศรีพิสยาซึ่งไม่อาจเอาชนะได้ด้วยอาวุธแหลมคม
“ถ้าทำลายเกราะกำบังไม่ได้ ส่งนักรบไปมากเท่าไหร่ คนของเราก็จะตายกันหมด”
ถ้อยคำของโหรหนุ่มไม่ได้ทำให้องค์นรสิงห์ล้มเลิกความตั้งใจจะครอบครองศรีพิสยา แถมเร่งให้ทุกคนหาทางทำลายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองศรีพิสยาให้เร็วที่สุด
ฟากเจ้าปรันมากับติสสาก็โล่งใจที่อำนาจของผีนาถ ผีฟ้าช่วยคุ้มครองให้ศรีพิสยาปลอดภัยจากกองทัพองค์นรสิงห์ แม่ทัพหนุ่มเตรียมเวรยามรักษาการณ์รอบวังไม่ให้มีคนแปลกหน้าเข้ามา ส่วนเจ้าปรันมาก็ส่งเจ้านางจันทเทวีไปซ่อนตัวในตำหนักเพื่อความปลอดภัย สองแรงสำคัญช่วยกันปกป้องบ้านเมืองอย่างแข็งขัน หวังสุดใจจะต้านทานกองทัพจากปุระอมรจนต้องล่าถอยไปเอง
คำสั่งขององค์นรสิงห์ทำให้ป่วนกันทั้งค่าย โดยเฉพาะสุเลวินกับสีหสาที่คิดหัวแทบแตกเพื่อหาทางเข้าศรีพิสยา โหรหนุ่มใช้ญาณพิเศษช่วยเหมือนเคยแต่ทุกอย่างก็ไม่ง่ายเพราะอำนาจพิเศษบางอย่างคอยอำพรางไว้ สีหสา ร้อนรนจนนั่งไม่ติดและพาลลงกับสุเลวินที่มัวแต่นั่งสมาธิแต่ไม่ยอมทำอะไรมากกว่านั้น
“ตอนนี้อาวุธดีที่สุดคือปัญญาของข้า ไม่ใช่ดาบของเจ้า”
“ถ้าเก่งจริงก็อย่ามัวตีฝีปาก ถ้าให้องค์นรสิงห์รอนานกว่านี้ เราจะตายกันหมด ความกระหายคาวเลือดขององค์นรสิงห์ยิ่งกว่าไฟที่ผลาญได้ทุกอย่าง นักบวชเด็กอย่างเจ้า ถ้าเอาชัยชนะมาไม่ได้ก็เตรียมขุดหลุมฝังตัวเองได้เลย”
สุเลวินหน้าเคร่งขึ้น เพราะรู้จักความอำมหิตผิดมนุษย์ขององค์นรสิงห์เป็นอย่างดี สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจทำพิธีบูชายัญอัญเชิญผีร้ายมนต์ดำมาต่อกรกับอำนาจที่คุ้มครองศรีพิสยา องค์นรสิงห์ได้ฟังแผนการก็กระหยิ่มใจ... คราวนี้แหละ ถึงเวลาที่ศรีพิสยาต้องพังพินาศสักที!
ฝ่ายมรันมาก็สบายใจขึ้นที่ได้ยินจากสามีว่ากองทัพองค์นรสิงห์ไม่สามารถฝ่าเข้ามาในศรีพิสยาได้ แต่ติสสาก็ไม่ไว้ใจเพราะเชื่อว่าองค์นรสิงห์คงไม่ยอมวางมือ จึงพาพินทุ...นายทหารหน้าใหม่มาแนะนำและมอบหมายให้คุ้มครองและดูแลลูกกับเมียรัก หลังจากนั้นเขาก็ออกไปตรวจการณ์ และเมื่อได้รับรายงานว่ากองทัพองค์นรสิงห์บุกเข้ามาอีกจึงรีบไปทูลเจ้าปรันมา องค์เหนือหัวแห่งศรีพิสยาแววตาเคร่งขึ้น...ท่าทางศึกครั้งนี้คงไม่สิ้นสุดง่ายๆ
ooooooo
กองทัพองค์นรสิงห์โดยการนำของสีหสากับสุเลวินมาถึงหน้ากำแพงเมืองศรีพิสยาในเช้าวันถัดมา โหรหนุ่มพึมพำท่องมนต์และก้าวไปใกล้กำแพงเมืองช้าๆ ลำแสงสีขาวของผีนาถกับผีฟ้าไม่ทำให้โหรหนุ่มหวาดหวั่น ค่อยๆแตะนิ้วบนลำแสงนั้นแต่ก็ไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้ แถมยังถูกพลังผีนาถผีฟ้าผลักออกมาจนกระเด็นไปชนสีหสาอย่างแรง
สุเลวินเจ็บใจมาก แต่ไม่ยอมแพ้ ยังคงพยายามอีกหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ สีหสาเห็นว่าโหรหนุ่มอาการไม่ค่อยดีและสำลักออกมาเป็นเลือดมากมายจึงต้องตัดใจพากลับค่าย
สภาพสะบักสะบอมของสุเลวินไม่ได้ทำให้องค์นรสิงห์เห็นใจ แต่กลับเกรี้ยวกราดรุนแรงและสั่งให้ล้อมประตูเมืองต่อไปให้ชาวศรีพิสยาอดตาย สุเลวินไม่เห็นด้วยเพราะเชื่อว่าศรีพิสยามีทางออกสำหรับเรื่องนี้แล้ว
“ศรีพิสยาจะไม่อดตาย ศรีพิสยาร่ำรวยเพราะค้าขายทางสำเภากับดินแดนอื่น มันยังมีทะเลเป็นทางเข้าออก”
สีหสาจึงเสนอให้บุกทางทะเล แต่องค์นรสิงห์กลับนิ่งคิดและพูดถึงแผนการในใจ
“ถ้าทะเลคือความได้เปรียบของศรีพิสยา ความกว้างของทะเลก็ต้องเป็นช่องโหว่ของมันได้เหมือนกัน”
“ต้องมีสักที่ที่กองเรือของพวกมันครอบคลุมได้ไม่หมด” สีหสาเสริม
“รีบหาให้เจอแล้วลอบไปเอาความลับพวกมันมา หาไม่...เลือดที่ใช้ล้างตีนข้าจะต้องเป็นของพวกเจ้าทุกคน”
การศึกกับองค์นรสิงห์ทำให้เจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงเครียดหนัก เพราะไม่รู้จะตายเมื่อไหร่ หากองค์นรสิงห์ฝ่าเข้ามาได้ สองแม่ลูกคงกลายเป็นศพเฝ้าเมือง และพาลโกรธเจ้าปรันมากับติสสาที่ไม่ยอมออกไปรบ แต่ก็พลันคิดได้ว่าเจ้าปรันมาคงมีแผนเอาตัวรอดแล้ว เพราะแอบได้ยินว่าเจ้านางจันทเทวีหายตัวไปจากตำหนักหลวงหลายเพลาแล้ว
“เราต้องลงมืออะไรแล้วเจ้านาง ไอ้พวกปรันมา ติสสามันจะหนีเอาตัวรอดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
“สืบสาวให้แน่ชัด ถ้าพวกมันวางแผนโง่ๆอย่างนั้นจริง เราจะหักหลังมันอย่างเลือดเย็นและเจ็บแสบที่สุด”
เวลาเดียวกันที่ริมทะเลนอกเมือง...สีหสา วาเรและ ไพลินหาทางเข้าศรีพิสยาอย่างขะมักเขม้น ตามคำแนะนำของสุเลวินที่ให้หาทางเข้าที่เงียบและเปลี่ยวที่สุดเพราะเชื่อว่าจะปลอดจากการคุ้มกันของทหารศรีพิสยา
คณะสีหสาเล็ดลอดเข้าศรีพิสยาได้ในเช้าวันรุ่งขึ้นและลงมือสำรวจตลาดเพื่อสืบหาข้อมูล ทั้งสามแยกไปตามจุดต่างๆ และวาเรก็เจอเป้าหมายเป็นอุตลาที่ทอดสายตาเจ้าชู้ให้ชายหนุ่มต่างถิ่นอย่างเอาเป็นเอาตาย วาเรเห็นเป็นโอกาสดีเลยแกล้งเกี้ยวพาราสีเพื่อสืบเรื่องราวในเมืองและอุตลาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง
“ข้าจะพบเจ้าได้อีกเมื่อไหร่คนสวย ออกมาพบกันบ่อยๆได้ไหม”
“ไม่ได้หรอก...ข้าเป็นถึงคนสนิทของเจ้านางอินยา วันๆมีแต่เรื่องเหนื่อยสายตัวแทบขาด จิกใช้อุตลาคนเดียว”
วาเรมองมาด้วยแววตาหยาดเยิ้มจนอุตลาอายม้วน สมใจเหลือเกินที่เจอนางข้าหลวงปากไม่มีหูรูด!
ooooooo
เพราะความกังวลใจเรื่องศึกกับองค์นรสิงห์ เจ้านางอินยาจึงไปเฝ้าเจ้าปรันมาซึ่งกำลังหารือกับติสสา เพื่อหลอกถามถึงสถานการณ์ศึก แต่เจ้าปรันมาก็ไม่บอกอะไร แถมย้อนเสียงเรียบว่าไม่ใช่กิจของสตรี
“เจ้าคงลืมหรือแกล้งลืม ข้าก็เป็นราชวงศ์คนหนึ่ง มีสิทธิ์รับรู้เรื่องบ้านเมืองเท่ากับเจ้า”
“ถ้าเจ้านางอ้างสิทธิ์นั้น ข้าว่าปันแสงก็ควรจะออกมาปกป้องบ้านเมืองตัวเองให้สมศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย”
“ถึงกับจะใช้เชื้อพระวงศ์มาคอยเฝ้ายามเหมือนแม่ทัพเชียวหรือ”
สายตาเยาะเย้ยถากถางทำให้ติสสาเลือดขึ้นหน้าและโต้กลับอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ถึงเป็นยามที่เอาชีวิตแลกเพื่อความสงบของบ้านเมือง ดีกว่าเกิดมาสูงแต่ชีวิตต่ำค่า ไม่ตอบแทนแผ่นดินเกิด”
“งั้นเจ้าก็จงภูมิใจเถอะติสสาที่ร่างของเจ้าจะได้เสียสละเพื่อบัลลังก์ศรีพิสยาในวันใดวันหนึ่งต่อจากนี้”
ติสสาเก็บความกังวลเรื่องเจ้านางอินยากลับเรือน มรันมาเห็นสามีหน้าตาไม่ดีเลยเข้าไปปลอบประโลม รู้ดีว่าสามีเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าปรันมา จึงพูดให้สบายใจว่าพี่ชายต่างมารดายังมีเขาคอยดูแล
“น้องน้อยต้องระวังตัว อยู่ห่างเจ้านางอินยาให้มากที่สุด”
“ถ้าอย่างนั้น น้องน้อยก็คงต้องอยู่แต่ในอกพี่ชาย”
“หัวใจพี่ชายกับน้องน้อยไม่เคยห่างกัน”
มรันมาซบอกติสสา ไพลินที่มาสอดแนมแสยะยิ้มด้วยความพอใจที่ได้ยินเรื่องราวความบาดหมางในศรีพิสยา และเมื่อสีหสาทราบเรื่องก็ยิ้มสะใจที่พอเห็นทางแทรกแซงและสร้างความร้าวฉานในศรีพิสยา
“ดี...ข้าชอบ ศัตรูหัวใจหล่อเลี้ยงด้วยความแค้นอย่างเจ้านางอินยานี่แหละ เป็นคนที่เราต้องเข้าใกล้ให้ได้”
วาเรเริ่มหาข้อมูลในคืนเดียวกันด้วยการล้วงความลับจากอุตลา นางข้าหลวงเพลิดเพลินกับรสสวาทจากชายต่างเมืองจนยอมเล่าเรื่องในวังให้ฟัง วาเรเหยียดยิ้มในความมืด...อีกไม่นาน ศรีพิสยาต้องไม่ได้สงบสุขอย่างนี้แน่!
ฟากเจ้านางอินยาก็แค้นใจครอบครัวติสสาจนต้องหาเรื่องมรันมากับดาราน้อยทุกครั้งที่เจอหน้า และเช้านี้ก็เช่นกัน เมื่อได้เจอสองแม่ลูกศัตรูหัวใจที่หน้าวิหารหลวง พินทุชักดาบคอยระวังเต็มที่ เจ้านางอินยากับอุตลาเลยไม่กล้าทำอะไร แต่ก็ยังปั้นหน้ายิ้มให้มรันมา
“แม่ทัพติสสาคงกลัวว่าเมียกับลูกจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ถึงต้องมีทหารคอยตามรับใช้”
“เพราะพี่ชายรู้ดีว่า ใต้ใบหน้าสวยงาม มันคือรอยแสยะยิ้มของปีศาจ”
“น่าเวทนา...ความใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้านาง คงทำให้เจ้ากลัวว่าจะร่วงตกลงเข้ามาสักวัน”
“เหมือนที่ท่านกำลังเป็นน่ะหรือเจ้านางอินยา...ข้ารู้ ว่าท่านเข้าใจดี เวลาไม่มีคนสนใจ มันช่างน่าเวทนาแค่ไหน”
มรันมาจูงดาราน้อยกลับเรือนพร้อมพินทุและกาหลง เจ้านางอินยามองตามด้วยแววตาโกรธจัดและตบตีอุตลาที่ตามมารับใช้อย่างแรงเพื่อระบายอารมณ์เกรี้ยวกราด อุตลาก้มหน้ารับโทษและได้แต่เก็บความแค้นไว้ในใจ จนเมื่อนัดเจอกับวาเรอีกรอบจึงปรับทุกข์ให้ฟังด้วยความอึดอัดใจ
“น่าเวทนาเจ้าจริงๆอุตลา ข้ามีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง ให้มันคอยรองมือรองเท้าเจ้านางอินยาแทนเจ้าบ้างดีไหม”
สีหสาในคราบหญิงชาวบ้านก้าวเข้าตำหนักของเจ้านางอินยาอย่างกลัวๆกล้าๆ และแนะนำตัวเองกับเจ้านางว่าชื่อนิล เจ้านางอินยาไม่ติดใจอะไรและสั่งให้อุตลาเสี้ยมสอนว่าเธอชอบและไม่ชอบอะไร อุตลากระหยิ่มยิ้ม ที่ได้ทำตัวเป็นเจ้าแม่และสั่งสอนข้าหลวงรุ่นน้องให้ทำตามคำสั่งเพราะถือว่าตนมีบุญคุณให้มารับใช้เจ้านางอินยา สีหสาซ่อนแววตาแข็งกร้าวไว้อย่างแนบเนียนและก้มหน้า ก้มตาทำตามโดยไม่มีปากเสียงใดๆ
ฝั่งติสสาเมื่อทราบจากพินทุว่าลูกเมียเกือบโดนทำร้ายก็รีบกลับเรือน มรันมาต้องปลอบให้คลายกังวลว่าเธอดูแลตัวเองกับลูกได้ ติสสามองเมียรักด้วยความภาคภูมิใจที่เธอเข้มแข็งและไม่ทำให้เขาเป็นห่วงเลย
ooooooo
เจ้านางอินยาเจ็บใจมรันมาไม่หายที่กล้าต่อ ปากต่อคำอย่างไม่กลัวเกรง แต่เมื่อเจ้าปันแสงมาหาและหารือเรื่องเจรจากับองค์นรสิงห์เพื่อเอาตัวรอดก็ต้องปัดเรื่องอดีตนางทาสในตำหนักไปเสียก่อน
“เจ้าจะมีอะไรไปแลกให้นรสิงห์ส่งเจ้าขึ้นบัลลังก์ ในเมื่อนรสิงห์เองก็อยากก้าวขึ้นไปบนนั้นเหมือนกัน”
“หัวของปรันมากับทุกคนที่ซื่อสัตย์กับมันไงล่ะ ติสสา มรันมา จันทเทวี”
“เรื่องแค่นี้ ถ้านรสิงห์เข้ามาได้เมื่อไหร่ มันจะตัดหัวทุกคนด้วยมือมันเอง ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าช่วย”
สองแม่ลูกมองหน้ากันเครียดๆและข้องใจว่าเหตุใดกองทัพองค์นรสิงห์จึงฝ่าเข้ามาไม่ได้ แล้วก็ฉุกคิดได้ว่าเจ้าปรันมาอาจใช้เวทมนตร์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเมืองเลยตั้งท่าไปสืบเต็มที่ ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าสีหสาในชุดนางข้าหลวงลอบฟังอยู่ไม่ไกลกันนั้น...ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าอะไรคุ้มครองศรีพิสยาอยู่
เจ้านางอินยาไม่รอช้าและออกไปหาเมืองมาศในคืนเดียวกันเพื่อหลอกถามถึงแผนการคุ้มครองเมือง โหรหญิงไม่ไว้ใจเจ้านางและยังติดคำสัตย์สาบานจะไม่เผยแพร่ความลับของบ้านเมือง เลยได้แต่นิ่งเฉยจนเจ้านาง
เหลืออดและกลับตำหนักด้วยความผิดหวัง ส่วนสีหสาก็ลอบเข้าทางเจ้าปันแสง ใช้มารยาหญิงยั่วยวนและยอมพลีกายเพื่อล้วงความลับจากราชนิกุลหนุ่มที่หลงใหลในรูปลักษณ์นางข้าหลวงคนใหม่ตั้งแต่แรกเห็น
เมื่ออุตลามาเจอในตอนเช้าก็อาละวาดฟาดหัวฟาดหางใส่ แต่สีหสาก็ไม่หวั่น อุตลาเลือดขึ้นหน้าและตรงเข้าทำร้ายแต่เจ้าปันแสงก็มาขวางไว้และประกาศกร้าวไม่ให้ยุ่งกับนางบำเรอคนล่าสุดที่ถูกอกถูกใจหนักหนา เจ้านางอินยาได้ยินเสียงเอะอะก็เข้ามาดู แต่เมื่อเห็นเป็นเรื่องข้าหลวงทะเลาะกันก็ไม่สนใจและสั่งให้นิลแต่งตัวและตามเธอไปข้างนอก สีหสาปรายตามองอุตลาอย่างเย้ยหยันและตามเจ้านางอินยาไป
แท้จริงแล้วเจ้านางอินยาต้องการทดสอบบางอย่างจากข้าหลวงคนใหม่ เลยพาไปที่บึงบัวและสั่งให้จัดการกับดาราน้อยที่มาวิ่งเล่นพร้อมกับกาหลงและพินทุ กาหลงพยายามจะจับตัวดาราน้อยไว้แต่ไม่ไวเท่าสีหสาที่ปราดมาคว้าร่างน้อย ยกลอยขึ้นเสมอหน้าและยื่นลงไปใกล้กับบึงบัว
“ข้างล่างนั่นมีปลาสีสวยๆ ข้ารู้ว่าเจ้าอยากลงไปดู”
สีหสาจะปล่อยตัวดาราน้อย พินทุโผล่มากระแทกดาบลงบนข้อมือนางข้าหลวงและคว้าตัวเด็กน้อยมากอดไว้ สีหสาไม่ตอบโต้แต่เดินไปลูบคมมีดช้าๆจนเลือดไหลอาบทั้งมือแต่เธอก็ไม่สนใจ เจ้านางอินยาก้าวมากันตัวออกไปและตบรางวัลให้อย่างงามในความกล้าหาญและยกให้เป็นต้นห้องคนใหม่แทนอุตลา เมื่ออุตลาทราบเรื่องก็แค้นใจและจะเอาเรื่องเต็มที่ แต่สีหสาก็โต้ตอบจนกลัวหงอและหนีเตลิดออกจากตำหนัก
เมื่อมรันมาทราบว่าดาราน้อยเกือบตายจากพินทุก็โกรธจัดและประกาศกร้าวต้องลุกมาเอาจริงเสียที
“ข้าต้องทำให้เจ้านางอินยารู้ ข้ากับดาราน้อยไม่ใช่ทาสแห่งความพยาบาท”
มรันมาไม่รอช้าและไปเอาเรื่องกับเจ้านางอินยาทันที เมื่อเห็นว่าเจ้านางจะเข้าวิหารหลวงก็ปราดเข้าไปขวาง
“น้องนางผู้มีศักดิ์สืบต่อบัลลังก์จะเข้าไปในวิหารหลวงก่อน เจ้านางอย่างท่านก็ต้องรอจนกว่าข้าจะออกมา”
“คิดว่าเป็นน้องนางแล้วจะชูคอเหนือข้าได้”
“ข้าไม่เคยคิดข่มเหงใคร ถ้าไม่มีคนทำร้ายลูกข้าก่อน เจ้านางเองก็เป็นแม่ ถ้ามีใครมาแตะลูก เจ้านางจะรู้สึกยังไง หรือว่าไม่รู้สึก...เพราะหัวใจของเจ้านางมันไม่ใช่เลือดเนื้อของคน”
เจ้านางอินยาเงื้อมือจะตบ แต่มรันมายกมือปัดออกอย่างแรง สีหสาพุ่งหาทันทีแต่มรันมาระวังตัวอยู่แล้วยกถาดดอกไม้ใส่หน้านางข้าหลวงทันที ส่วนพินทุก็เข้าประจำที่ระวังหลังให้มรันมา
“เจ้าทำลายชีวิตแม่ข้า เกลียดชังข้า ความแค้นของเจ้านางมันก็ควรจะอยู่ที่ตัวข้า ดาราน้อยไม่เกี่ยว”
“สายเลือดของผู้หญิงที่กล้าแย่งของข้าทุกคน ไม่ว่า ใครก็ต้องชดใช้”
“ถ้าเจ้านางไม่คิดจะละความอาฆาตแค้น ข้าก็จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูกข้าให้พ้นจากคนจิตใจต่ำช้า”
จบคำก็เรียกทหารมาคุมตัวเจ้านางอินยา สีหสาอยากกระโจนไปฟาดฟันทหารเต็มแก่แต่ก็ต้องข่มใจไว้ เจ้านางอินยาเหยียดยิ้มไม่กลัวแล้วประกาศกร้าว
“จงหวงแหน รักษาลมหายใจลูกเจ้าให้อยู่กับร่างเล็กๆไว้ให้นานแล้วกันมรันมา เพราะความสุขที่สุดของข้าคือวันที่จะได้เห็นร่างเล็กๆสิ้นลมหายใจในอ้อมกอด เจ้า อีกไม่นาน...ข้าจะได้เห็น ได้ลิ้มรสความสุขตอนที่ดาราน้อยตาย!”
มรันมาใจคอไม่ดีเลย ต่างจากสีหสาที่มองมาด้วยแววตาสะใจ ไม่นานศรีพิสยาต้องแตกเป็นเสี่ยงๆแน่!
ooooooo
คำสาปแช่งของเจ้านางอินยากวนใจมรันมาจนถึงเรือน พินทุอยากให้เธอบอกติสสา แต่มรันมาเห็นว่าสามีมีเรื่องการศึกต้องคิดอยู่แล้วเลยไม่อยากเอา เรื่องไปเพิ่มอีก พินทุพยักหน้ารับเข้าใจดีและรับปากตามคำขอของมรันมา
“หน้าที่ของข้าคือเอาชีวิตและวิญญาณปกป้องท่านกับเจ้าดาราน้อย ไม่ใช่เอาปากไปสร้างความเจ็บปวดให้ใคร”
ฟากเจ้านางอินยาก็อารมณ์ค้างเรื่องมรันมาจนต้องระเบิดอารมณ์กับอุตลาที่ครวญครางไม่หยุดเพราะโดนเฆี่ยนตีอย่างแรง เจ้าปันแสงอาสาไปเอาคืนให้โดยมีสีหสาเฝ้ามองด้วยความสะใจที่ชาวเมืองศรีพิสยาขัดแย้งกันอย่างรุนแรง
เจ้าปันแสงพร้อมอสุนีบุกไปล้างแค้นมรันมากับดาราน้อยถึงเรือนในเช้ารุ่งขึ้น พินทุกับกาหลงพยายามขัด ขวางแต่ก็ไม่อาจทัดทานความเกรี้ยวกราดของเจ้าปันแสงได้ มรันมากอดลูกแนบอกแต่ก็ถูกเจ้าปันแสงแย่งตัวไปได้ในที่สุด
“ข้าจะไว้ชีวิตนังเด็กนี่ กราบลงที่เท้าข้า แล้วร้องขอชีวิตลูก ทำสิมรันมา...หรือว่าอยากเห็นลูกตาย”
มรันมาจะทำตามเพราะเป็นห่วงลูก แต่พินทุซึ่งประคองร่างบอบช้ำและรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายกระแทกข้อมือเจ้าปันแสงอย่างแรงจนดาราน้อยหลุดมาสู่อ้อมกอด มรันมา เจ้าปันแสงโมโหมากและจะฆ่าพินทุแต่มรันมาปราดเข้ามาขวางเสียก่อน
“คำก็ฆ่า สองคำก็ตัดคอ ท่านคงลืมไปตอนนี้ข้าไม่ใช่ทาส แต่ข้ามีศักดิ์เป็นลูกเจ้าศรีพิสยาเหมือนท่าน”
“พอได้เป็นเจ้านางก็คิดจะขู่ข้า”
“ข้าไม่จำเป็นต้องขู่ เพราะคนที่ใช้คำขู่คือคนอ่อนแอ ปกป้องตัวเองไม่ได้ กลับไปตำหนักของท่าน บอกเจ้านางอินยา เลิกยุ่งกับครอบครัวข้า เจ้านางไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวที่รู้จักความแค้น”
“แล้วแกจะได้รู้ ความแค้นของเจ้านาง ความแค้นของข้า มันมากกว่าใครจะหยุดยั้งได้”
เจ้าปันแสงฮึดฮัดจากไปแล้ว ทิ้งมรันมาให้มองตามด้วยใจหวาดหวั่น มั่นใจเหลือเกินว่าชีวิตเธอกับลูกคงไม่สงบสุขนับจากนี้ กาหลงเองก็คิดเช่นกันและเตือนให้มรันมาบอกติสสากับเจ้าปรันมา
“เจ้าปรันมากับพี่ชายกำลังปกป้องแผ่นดิน ปกป้องประชาชนทั้งหมด ข้าเป็นเมียแม่ทัพแห่งศรีพิสยา ทำไมข้าถึงจะปกป้องลูกข้ากับพวกเจ้าไม่ได้”
กาหลงไม่ค่อยเห็นด้วยแต่ก็ค้านอะไรไม่ได้เพราะแม้แต่พินทุก็ชื่นชมความกล้าหาญของมรันมา
“ถูกของเจ้านางแล้ว หน้าที่ต่อแผ่นดินย่อมสำคัญกว่าเรื่องส่วนตัว”
เวลาเดียวกันที่วิหารหลวง...ติสสาหารือการศึกกับเจ้าปรันมาอย่างแข็งขัน ปฏิญาณตัวหนักแน่นจะทำทุกอย่างตามบัญชาเพื่อให้ศรีพิสยาอยู่รอดปลอดภัย
“ข้าไม่เคยกลัวตาย ขอเพียงท่านสั่งว่าเมื่อไหร่ที่ข้าต้องออกไปรบ”
“ข้าไม่ใช่กษัตริย์กระหายเลือดเหมือนนรสิงห์ ข้าจะทำทุกทางเพื่อรักษาชีวิตประชาชนของข้าไว้ให้นานที่สุด กลับไปดูแลมรันมากับลูกบ้าง อย่าให้เมียเจ้าต้องน้อยใจ”
“มรันมาเข้าใจข้าดี ถึงภายนอกจะดูบอบบางแต่จิตใจมรันมาเข้มแข็งมาก”
ติสสาเชื่อมั่นในตัวเมียรัก แต่เมื่อทราบจากมารุตกับเมฆาที่พาร่างสะบักสะบอมของพินทุมารายงานเรื่อง
มรันมากับดาราน้อยถูกเจ้าปันแสงคุกคามก็เลือดขึ้นหน้า ปรี่ไปที่ตำหนักเจ้านางอินยาและจัดการคุมตัวเจ้านางกับเจ้าปันแสงไปเฝ้าเจ้าปรันมาเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมเรื่องมรันมากับดาราน้อยถูกปองร้าย
เจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงเชิดหน้าจ้องตากับเจ้าปรันมาอย่างไม่กลัวเกรง แล้วแก้ต่างว่ารักและเมตตามรันมากับลูกขนาดไหน แต่ติสสากับเจ้าปรันมาไม่เชื่อและยืนยันให้สองแม่ลูกยอมรับผิดแต่โดยดี
“ที่นี่คงไม่มีความยุติธรรม ความเมตตาของข้ากับเจตนาดีของปันแสงถึงกลายเป็นเรื่องผิด”
“ถ้าจะฟังความฝ่ายเดียวก็ไม่เห็นจะต้องเรียกข้ากับเจ้านางมาที่นี่ ตัดสินไปเลยสิ”
คำพูดท้าทายของเจ้าปันแสงทำให้เจ้าปรันมาฉุนขาดและตัดสินใจลงโทษสองแม่ลูกขั้นเด็ดขาด
“ที่ผ่านมาข้าอดทนนิ่ง ไม่ใช่เพราะเห็นแก่พี่น้องจนละทิ้งความถูกต้อง แต่ข้าต้องการให้เจ้าสองคนสำนึกผิด แต่เมตตาของข้าเปลี่ยนใจที่สุมไปด้วยกิเลสของเจ้าสองคนไม่ได้เลย”
เจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงไม่สะทกสะท้านเพราะเชื่อว่ากำลังทวงความยุติธรรมให้บัลลังก์ศรีพิสยา โดยเฉพาะเจ้าปันแสงที่อาฆาตมรันมากับติสสาอย่างแรงที่ได้ดีเกินหน้าเกินตา “ข้ากับเจ้านางรู้แก่ใจว่าไม่เคยได้รับเกียรติที่สมควรได้ เจ้าเอาคนต่ำชั้นมายืนเสมอข้ากับเจ้านาง ปรันมา...เจ้าคือคนทำลายเกียรติแห่งบัลลังก์ศรีพิสยา”
“เกียรติแห่งบัลลังก์ศรีพิสยาคือการทำให้ข้าในแผ่นดินทุกคนสงบร่มเย็น ไม่ใช่การแบกยศศักดิ์เพื่อกดขี่คนอื่น ถ้าเจ้าอยากรู้จักเกียรติแห่งบัลลังก์ศรีพิสยาที่แท้จริง มันก็ถึงเวลาแล้ว” เจ้าปรันมาจ้องหน้าเจ้านางกับเจ้าปันแสงนิ่ง “ข้าขอสั่ง...ตั้งแต่นี้ทรัพย์สมบัติของเจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงทั้งหมดที่มีในตำหนักจะตกเป็นสมบัติแห่งศรีพิสยา”
เจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าเจ้าปรันมาจะลงโทษด้วยวิธีนี้
“ห้ามเจ้านางอินยา เจ้าปันแสงออกนอกเขตพระ–ราชฐาน ใครปล่อยตัวให้หลุดออกมาข้าจะตัดหัว!”
เมฆากับมารุตขยับไปกุมตัวสองแม่ลูก โดยมีติสสาคอยระวังห่างๆ เจ้าปรันมารับสั่งให้ถอดศิราภรณ์เจ้านาง มรันมาได้ยินคำสั่งก็ถึงกับอึ้งแต่ก็ต้องทำตามเพราะไม่อาจขัดพี่ชายได้
“ไฟริษยากำลังทำลายตัวท่าน ถ้าท่านไม่หยุด มันจะเผาวิญญาณท่านให้มอดไหม้ลงสู่นรก”
“ต่อให้เป็นนรกขุมลึกที่สุด ข้าก็จะลากเจ้าลงไปด้วย จำแววตาข้าไว้มรันมาเพราะเจ้าจะได้เห็นมันก่อนตาย”
มรันมายื่นมือไปถอดศิราภรณ์ เจ้านางอินยาจ้องราวกับจะกินเลือดเนื้อ ส่วนเจ้าปรันมาได้แต่มองดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยแววตาปลงตก แต่ก็ต้องข่มใจเพราะไม่อาจเสี่ยงให้สองแม่ลูกก่อความวุ่นวายมากไปกว่านี้อีกแล้ว
ooooooo
ทรัพย์สมบัติเจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงถูกขนมากองรวมกันหน้าตำหนักในเวลาต่อมา สองแม่ลูกมองตามหีบสมบัติที่แสนหวงแหนด้วยความคับแค้นใจ เจ็บใจเหลือเกินที่ต้องตกต่ำเช่นนี้ เจ้าปันแสงทนไม่ไหวปราดเข้าหาติสสาซึ่งตามมาคุมการขนย้ายแต่ก็ถูกแม่ทัพใหญ่ยกดาบกันไว้
“ข้ารู้ว่าท่านเลว แต่ไม่นึกว่าจะเลวขนาดกล้าทำร้ายเด็กบริสุทธิ์ไร้เดียงสา”
“กูไม่ใช่คนเลว กูคือคนกล้า...กล้าที่จะทำลายสายเลือดต่ำช้าของมึง”
เจ้าปันแสงท้าให้ติสสาฆ่าจะได้หมดเวรหมดกรรมกันไป แต่แม่ทัพใหญ่กลับคิดว่าไม่ใช่ทางออกที่ดี
“ถึงดาบข้าจะตัดคอท่านได้ แต่จิตใจหยาบช้า มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ข้าจะปล่อยให้ความชั่วลงโทษท่านให้ทุรนทุรายน่าเวทนาขึ้นไปเรื่อยๆ ให้สุดท้าย...ชีวิตท่านหมดสิ้น ไม่เหลืออะไรเลย”
“มึงนั่นแหละที่จะไม่เหลืออะไรเลย กูจะเอาชีวิตคนที่มึงรักทุกคนให้ตายลงต่อหน้ามึง”
ติสสาลดดาบ จ้องมองสองแม่ลูกด้วยความสมเพชระคนเวทนาและผละจากไป ทิ้งให้เจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงมองตามด้วยความแค้นที่สุมอกจนแทบมอดไหม้
ฝ่ายสีหสาก็ตามสังเกตการณ์และรอจนตะวันลับฟ้าจึงลักลอบออกจากตำหนักเจ้านางอินยาไปพบองค์นรสิงห์ที่ค่ายนอกเมือง ส่วนมรันมาก็ครุ่นคิดเรื่องเจ้านางอินยากับเจ้าปันแสง เชื่อมั่นว่าสองแม่ลูกคงไม่ยอมจนตรอกเช่นนี้ตลอดไป แต่กาหลงกับพินทุไม่คิดเช่นนั้นและพยายามปลอบให้สบายใจว่าเธอกับดาราน้อยจะต้องปลอดภัย
“ไม่ว่านานแค่ไหน เจ้านางจะต้องทวงแค้นไม่ใช่เวลาที่เราจะดีใจ แต่เป็นเวลาที่เราต้องหวาดระแวงที่สุด”
เจ้านางอินยาผูกใจเจ็บมากที่ถูกเจ้าปรันมายึดทรัพย์สิน เจ้าปันแสงแค้นใจไม่แพ้กันและกำลังคิดหาวิธีโค่นบัลลังก์จากเจ้าปรันมา เจ้านางอินยาเสนอให้ลองเจรจากับองค์นรสิงห์ซึ่งเจ้าปันแสงก็เห็นด้วย
“ทางไหนที่จะทำให้นรสิงห์เข้ามาฆ่าไอ้ปรันมา ฆ่าทั้งโคตรไอ้ติสสา...ให้แลกด้วยชีวิตข้าก็ยอม”
เวลาเดียวกันที่ค่ายนรสิงห์...สีหสารายงานเรื่องที่สืบมาได้ โดยเฉพาะความขัดแย้งภายในระหว่างเจ้านางอินยา เจ้าปันแสง ติสสา มรันมาและเจ้าปรันมา องค์นรสิงห์เหยียดยิ้มสะใจ
“ความแค้นก็แค่เชื้อไฟ ถ้าจะชนะเด็ดขาด ข้าต้องรู้ว่าปรันมามันใช้มนต์อะไรสกัดกั้นกองทัพข้าไว้”
“ข้าจะเร่งเอาคำตอบมาให้ แต่ตอนนี้ ข้าอยากขอสิ่งตอบแทนเป็นไฟรักของท่านที่จะจุดความแกร่งในตัวข้า”
องค์นรสิงห์เหวี่ยงร่างสีหสาลงพื้นและก้าวตามลงไปปรนเปรอสวาทแม่ทัพหญิงอย่างเร่าร้อน และเมื่อสีหสาออกจากกระโจมในเวลาต่อมา ก็พบกับสุเลวินมาดักรอเพื่อถามความคืบหน้าเรื่องล้วงความลับของศรีพิสยา
“เร่งมือหาความลับของมัน ก่อนที่ติสสาจะเจอเจ้า” สีหสาชะงัก แต่ไม่ทันถามอะไรสุเลวินก็พูดขึ้นก่อน “ถ้าอยากรักษาหัวให้ตั้งบนบ่า ไม่ขาดลงด้วยมือติสสาก็รีบกลับศรีพิสยาและเอาความลับมาให้เร็วที่สุด”
สีหสาเดือดจัดที่ถูกหยามแต่ต้องพยายามสะกดไว้และสะบัดหน้ากลับตำหนักเจ้านางอินยา ทิ้งสุเลวินให้กะหยิ่มยิ้มตามหลังที่ยั่วประสาทแม่ทัพหญิงคนเก่งได้สำเร็จ
ooooooo
สีหสากลับถึงตำหนักเจ้านางอินยาในเช้าตรู่วันถัดมา แต่ไม่ทันเข้าข้างในก็ถูกเจ้าปันแสงจับได้และส่งตัวให้เจ้านางอินยาลงโทษข้อหาเป็นคนจากเจ้าปรันมามาสอดแนม เพราะคงไม่มีนางข้าหลวงคนไหน ฝ่าทหารกลุ่มใหญ่ของเจ้าปรันมาออกไปได้ง่ายๆ
สีหสาตัดสินใจเปิดเผยตัวตนและบอกว่าต้องการชีวิตเจ้าปรันมามากเท่ากับเจ้านางและเจ้าปันแสง สองแม่ลูกอึ้งไปอึดใจและรู้ทันทีว่านางข้าหลวงคนใหม่คือคนจากองค์นรสิงห์
“นี่สิ...เจ้านางอินยาผู้เปี่ยมไปด้วยความงามและความฉลาด และเจ้าปันแสง กษัตริย์ผู้ห้าวหาญเหนือบัลลังก์ศรีพิสยา ข้าคือสีหสา...แม่ทัพแห่งองค์นรสิงห์”
เจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงมองสีหสาด้วยความหวาดระแวง กลัวถูกฆ่าก่อนได้ครองบัลลังก์ศรีพิสยา
“นรสิงห์ถึงกับส่งแม่ทัพเข้ามาในศรีพิสยาได้ แสดงว่าต้องการฆ่าเราทั้งหมด” เจ้าปันแสงตั้งข้อสังเกต
“องค์นรสิงห์กลับคิดว่าใครที่ดึงปรันมาลงจากบัลลังก์แล้วตัดหัวประจานได้ คนนั้นคือกษัตริย์ศรีพิสยาองค์ใหม่”
คำประกาศกร้าวของสีหสาทำให้อุตลาที่แอบฟังมาตลอดสะดุ้งเฮือก และพุ่งไปที่ประตูเพื่อแจ้งแก่เจ้าปรันมา เสียงขลุกขลักที่มุมลับตาทำให้สีหสาหันขวับและตามหาต้นเสียงทันที
อุตลาถูกสีหสาจับตัวได้ในที่สุดและถูกซ้อมจนน่วม แต่เจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงก็ไม่ยี่หระและลงมือฆ่าปิดปากนางข้าหลวงเก่าแก่อย่างเลือดเย็น สีหสามองมาด้วยความสะใจและเผยว่าได้นำกองกำลังบางส่วนมาแฝงตัวภายในวังไว้หมดแล้ว
“ข้ารับรองว่าองค์นรสิงห์พร้อมจะทำทุกอย่างให้ความแค้นของท่านได้รับการชดใช้อย่างสาสม”
องค์นรสิงห์แอบเล็ดลอดเข้าศรีพิสยาไปดูลาดเลาในวันถัดมาและบังเอิญพบกับครอบครัวของติสสาในตลาด องค์เหนือหัวแห่งปุระอมรมองตามดาราน้อยตาไม่กะพริบและคิดแผนชั่วในหัว...เจ้าจะต้องทุกข์ทรมานแน่ติสสา!
ฝ่ายเจ้านางอินยาก็ตัดสินใจไปเจอองค์นรสิงห์ตามคำเชิญของสีหสาตามลำพัง เจ้าปันแสงยังระแวงกลัวเป็นอันตรายแต่ก็ไม่อาจขัดความต้องการของแม่ได้
“ข้าสัญญาเจ้านาง ข้าจะเอาชีวิตพวกมันทุกคนเพื่อเจ้านาง”
“ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้าได้ยืนบนบัลลังก์ที่เป็นของเจ้า...ปันแสง”
เจ้าปันแสงมองเจ้านางด้วยความซาบซึ้งใจและคุกเข่าลงสวมกอดแม่ด้วยความรักและเทิดทูน
ooooooo
ในขณะที่เจ้านางอินยาล่องเรือไปพบองค์นรสิงห์ที่ค่ายนอกเมือง ติสสากับเจ้าปรันมาก็กำลังสวดมนต์ขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองศรีพิสยาให้อยู่รอดปลอดภัย
ฟากเจ้านางอินยาเดินตามสีหสาเข้ากระโจมองค์นรสิงห์อย่างไม่หวั่นเกรง ท่ามกลางสายตาพลทหารน้อยใหญ่ที่มองหญิงงามแปลกหน้าด้วยความสงสัยใคร่รู้ สุเลวินเข้ามาทักทายแต่ไม่ยอมแสดงตัวว่าเป็นโหรหลวงประจำปุระอมร
“หากต้องเดินทัพผ่านดอกไม้งามซ่อนหนามแหลมกับพงหนาม ท่านต้องระวังสิ่งใดมากกว่ากัน” เจ้านางหยั่งเชิง
“ข้าคงต้องระวังพงหนาม” สุเลวินตอบยิ้มๆ
“คนเรามักหวาดกลัวสิ่งที่เห็นตรงหน้า ตามวิสัยผู้ชายที่ตัดสินว่าคนมีอำนาจต้องเป็นชายเท่านั้น ไม่ระวังตัวเลยว่าผู้หญิงก็มีพิษร้ายได้เท่าเทียมกัน หรืออาจจะร้ายกว่า เพราะผู้หญิงกำจัดสิ่งที่เราเกลียดชังทุกวิธีที่เราพอใจ”
ทุกคนในกระโจมมองหน้ากันทึ่งๆที่เจ้านางอิน–ยากล้าพูด ต่างจากองค์นรสิงห์ที่แอบฟังอยู่หลังม่านด้วยความพอใจ เจ้านางอินยารออยู่นานก็ชักจะหมดความอดทน สุเลวินกับคชาพยายามกล่อมให้รอแต่ก็ไม่ได้ผล
“ข้าไม่เสียเวลารอใครให้เปลืองอากาศหายใจเจ้าสุนัข รับใช้จงฟังไว้ ข้าจะมาใหม่เมื่อองค์นรสิงห์พร้อมพบข้า”
เจ้านางอินยาจะสะบัดหน้าออกไปแล้ว แต่องค์นรสิงห์ก็โผล่มาขวางเสียก่อน
“ไม่ใช่แค่เก่งกล้าสามารถ หากยังสวยงามเหลือเกิน เจ้านางอินยา...สวยงามสมคำร่ำลือ”
“คนที่ร้อนรุ่มไปทั้งใจอย่างข้าคงหาความงามไม่ได้ นอกเสียจากว่าองค์นรสิงห์จะเป็นเช่นน้ำทิพย์ดับร้อน”
เจ้านางอินยาพยายามเจรจาให้องค์นรสิงห์ช่วยกระชากเจ้าปรันมาจากบัลลังก์ศรีพิสยา องค์เหนือหัวแห่งปุระอมรมองมาด้วยแววตาเย้ยหยันและถามถึงข้อแลกเปลี่ยน
“ข้าไม่ได้โง่เง่าเหมือนปรันมา การเสียดินแดนไม่ใช่เสียศักดิ์ ถือเป็นเกียรติที่ได้ร่วมแผ่นดินเดียวกับองค์นรสิงห์”
“นั่นก็ต่อเมื่อ...กองทัพข้าบุกทำลายกำแพงศรีพิสยาเข้าไปได้”
เจ้านางอินยารู้ดีว่าองค์นรสิงห์อยากรู้เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่คุ้มครองศรีพิสยาจึงอาสาไปล้วงความลับมาให้
“อย่าให้ข้ารอนานเจ้านางอินยา ใจข้าร้อนดั่งไฟ พร้อมจะเผาทุกอย่างให้มอดไหม้”
“ข้าไม่อาจปฏิเสธไฟจากท่าน เพราะมันเป็นไฟแห่งความอบอุ่น...แสงแห่งชีวิตใหม่ที่มอบให้ข้ากับปันแสง”
เมื่อเจ้านางอินยากลับถึงตำหนักก็ดึกดื่นค่อนคืน เจ้าปันแสงรอคอยอยู่แล้วด้วยใจจดจ่อและยิ้มกว้างเมื่อแม่บอกว่าเจรจากับองค์นรสิงห์สำเร็จแล้ว
ฟากองค์นรสิงห์ สีหสาและสุเลวินก็หารือเรื่องร่วมมือกับเจ้านางอินยากันอย่างเคร่งเครียดเพราะไม่เชื่อใจเจ้านางสันดานงูพิษแม้แต่น้อย องค์นรสิงห์บอกว่าชาวเมืองศรีพิสยาไม่รู้เรื่องกองทัพจากปุระอมรและไม่ได้เตรียมการรบใดๆเพราะจากการลอบสังเกตการณ์เมื่อวันก่อนก็ดูมีความสุขกันดี
“ข้ามั่นใจว่าคนสำคัญที่ต้องรีบจัดการคือติสสาเมือง ที่ขาดแม่ทัพเท่ากับถูกตัดแขนขา หมดทางป้องกันตัว”
“จริงอย่างที่ท่านพูด ตอนนี้พวกมันแตกแยกกันอย่างหนัก เราจะใช้โอกาสนี้กำจัดติสสาและบุกให้เร็วขึ้น”
“แต่ผู้หญิงอย่างเจ้านางอินยาก็คืองูพิษ” สุเลวินท้วง
“ข้ากรีดร่างงูพิษ ดื่มเลือดมันสดๆมานับครั้งไม่ถ้วน นับประสาอะไร ถ้าข้าจะเคี้ยวงูพิษใหม่เพิ่มอีกสักตัว”
ฝั่งเจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงปรึกษากันด้วยความร้อนใจว่าต้องล้วงความลับจากเจ้าปรันมาให้ได้ในคืนบูชาเพ็ง เพราะเชื่อว่าเมืองมาศต้องทำพิธีกรรมบางอย่างในคืนศักดิ์สิทธิ์ และก็เป็นจริงดังคาด...โหรหญิงแห่งศรีพิสยาอยากให้ติสสากับเจ้านางจันทเทวีสวดมนต์ทั้งวันทั้งคืนเพื่อเสริมขวัญและกำลังให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตัวทั้งสองคุ้มครองศรีพิสยาให้แคล้วคลาดจากภยันอันตราย
ด้านองค์นรสิงห์...ลอบเข้าเมืองไปจัดการติสสาอย่างที่วางแผนไว้ โดยพุ่งเป้าไปที่ดาราน้อยดวงใจของติสสากับมรันมา องค์เหนือหัวแห่งปุระอมรแฝงตัวไปในตลาดและแกล้งทำเป็นคนยากไร้ ดาราน้อยผ่านมาเห็นจึงอาสาช่วยดูแล องค์นรสิงห์จึงหลอกล่อให้พาเข้าไปรักษาตัวที่เรือน เด็กน้อยเกือบหลงกลอยู่แล้วถ้ามรันมา กาหลงและพินทุจะไม่มาเอาตัวกลับเรือนเสียก่อน องค์นรสิงห์มองตามด้วยความเจ็บใจ...เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอกดาราน้อย!
ooooooo










