2 ก.ค.2540 เวลา 08.30 น. ย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อน กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศ “ลอยตัวค่าเงินบาท” หลังจากที่ “ทุนสำรองทางการระหว่างประเทศ” ที่ไทยมีอยู่ประมาณ 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ “เกลี้ยงหน้าตัก” เหลือเศษเงินอยู่เพียง 158 ล้านเหรียญสหรัฐฯเท่านั้น อันเป็นจาก ที่ ธปท.งัดเอาทุนสำรองออกไปต่อสู้กับการโจมตีค่าเงินของกองทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) จากทั่วโลก!ท้ายที่สุดประเทศไทยต้องขอเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินและวิชาการจาก “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ” หรือ “ไอเอ็มเอฟ” ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขทุกอย่างที่ไอเอ็มเอฟหยิบยื่นให้ถือเป็น “วิกฤติเศรษฐกิจ” ครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ จนนำไปสู่ความตกต่ำของเศรษฐกิจไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ธุรกิจเอกชนน้อย-ใหญ่ทั้งระบบ ธนาคารและสถาบันการเงินกว่า 60 แห่งต้อง “ปิดตัวลง” ผู้คนสิ้นเนื้อประดาตัว แรงงานตกงานกันเป็นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน11 ส.ค.2540 ธปท.ต้องลงนามในหนังสือแสดงความจำนงขอรับความช่วยเหลือด้านการเงินและวิชาการจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (Letter of Intent : LOI) ฉบับที่ 1 จำนวนเงิน 17,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯในรูป Stand-by arrangement หรือการทยอยให้ตามหนังสือแสดงเจตจำนงระยะเวลา 34 เดือน (ส.ค.2540-31 พ.ค.2543) พร้อมขอรับความช่วยเหลือจากพันธมิตรอีก 9 ประเทศวงเงินกว่า 13,200 ล้านเหรียญ ผ่านธนาคารพัฒนาเอเชียและธนาคารโลกแต่ความช่วยเหลือดังกล่าวก็มาพร้อมกับ “บทลงโทษ” อันรุนแรง!!!การประกาศปรับเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนมาเป็น “ลอยตัวแบบมีการจัดการ (Managed Float)” ส่งผลให้ค่าเงินบาทของไทยไหลรูดจาก 25.28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 52 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯส่งผลให้บริษัทเอกชนที่มีหนี้สกุลเงินต่างประเทศในมือเวลานั้นมีหนี้เพิ่มขึ้นกว่า 100% ถึงขั้นไม่อยู่ในสถานะที่จะชำระหนี้ได้ ต้องประสบภาวะ “ล้มละลาย” และปรับโครงสร้างหนี้ตามมาเป็นพรวน!“วิกฤติเศรษฐกิจไทย” ยังสาหัสมากขึ้นไปอีก เพราะเราไม่ได้ประสบวิกฤติที่มาจากการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศและจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุลต่อเนื่องรุนแรงเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่เรียกว่า Twin Crisis ในฝั่งของสถาบันการเงินที่ประสบ “วิกฤติ” อย่างรุนแรงเช่นกัน เมื่อมาประจวบกับความ “อ่อนหัด” ต่อการรับมือเงินร้อนของ ธปท.ในเวลานั้น จึงยิ่งเร่งวิกฤติให้จมปลักลงไปอย่างชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน!!!เมื่อบริษัทดีๆประสบปัญหาไม่สามารถชำระหนี้จากค่าเงินที่อ่อนค่ารุนแรงได้ ทำให้สินเชื่อกว่าครึ่งของระบบสถาบันการเงินไทยกลายเป็นหนี้เสีย ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ประสบปัญหาฐานะเงินกองทุนไม่เพียงพอ เริ่มจากธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ (บีบีซี) ก่อนลุกลามไปสู่ธนาคาร และสถาบันการเงินอื่นๆอีกนับร้อยตามมาเมื่อมาประจวบเหมาะกับความไม่มีประสิทธิภาพและล่าช้าในการแก้ไขปัญหาจากการที่ผู้คนแห่ไปถอนเงินออกจากธนาคารพาณิชย์ และบริษัทเงินทุน ที่แม้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินจะอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลเข้ารักษาสภาพคล่องของสถาบันการเงินไทยแต่ก็ยังไม่สามารถต้านทานกระแสตื่นตระหนกของผู้คนได้ท้ายที่สุดกระทรวงการคลังและ ธปท.ต้องสั่งระงับการดำเนินกิจการชั่วคราวบริษัทเงินทุน 16 แห่ง เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.2540 และออกประกาศระงับเพิ่มเติมอีก 42 แห่งในอีก 2 เดือนต่อมา ก่อนจะตามมาด้วยการ “รูดม่าน” ปิดกิจการถาวรไปถึง 56 แห่งในท้ายที่สุดขณะที่ธนาคารพาณิชย์ที่ถือเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ได้ปิดกิจการไปถึง 6 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ (บีบีซี) ธนาคารสหธนาคาร ศรีนคร มหานคร นครหลวงไทยและธนาคารแหลมทอง ส่วนธนาคารไทยแห่งอื่นๆ แม้ไม่ถูกปิดกิจการ แต่ผู้บริหารต้องวิ่งพล่านหาพันธมิตรจากต่างชาติเข้ามาถือหุ้นเพื่อเอาตัวรอด จนทุกธนาคารไม่สามารถจะรักษาสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ของคนไทยเอาไว้แม้แต่แห่งเดียวผลพวงจากการปิดธนาคาร สถาบันการเงินนับร้อยที่เกิดขึ้น ส่งผลให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินต้องเข้าไปอัดฉีดเงินและเข้าไปช่วยเพิ่มทุนกู้วิกฤติให้สถาบันการเงินที่ปิดกิจการ ต้อง “รูดม่าน” ปิดบัญชีความเสียหายด้วยการสร้างหนี้สาธารณะฝากไว้ให้ลูกหลานใช้สูงถึง 1.4 ล้านล้านบาทแม้กาลเวลาจะผ่านมาถึง 20 ปี จนวันนี้หนี้ก้อนมหึมาก้อนนี้ยังเหลืออยู่มากกว่า 900,000 ล้านบาทนอกจากความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างหนักในประเทศไทย วิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ยังกระจายพิษสงต่อไปหลายประเทศจนกลายเป็น “วิกฤติการเงินในภูมิภาคเอเชีย” ทำให้ต่างชาติขนานวิกฤติในครั้งนั้นว่า “วิกฤติต้มยำกุ้ง” กลายเป็นต้นแบบของวิกฤติการเงินในอีกหลายซีกโลกตามมาจนกระทั่งปัจจุบันในโอกาสครบรอบ 20 ปีของวิกฤติต้มยำกุ้ง “ทีมเศรษฐกิจ” จึงได้ย้อนรอยสอบถามผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวเหตุการณ์ในครั้งนั้น เพื่อสะท้อนข้อคิดและมุมมอง รวมทั้งสะท้อนมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยที่กำลังเป็นอยู่แนวร่วมหาทางการรับมือหากประเทศไทยต้องเผชิญวิกฤติในลักษณะเดียวกันอีกครั้ง ดังนี้ :“ทนง พิทยะ” ย้อนรอยวิกฤติต้มยำกุ้งเริ่มจาก นายทนง พิทยะ อดีต รมว.คลัง ที่ประกาศลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 ก.ค.ได้ย้อนรอยที่มาของ “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ในครั้งนั้นว่า 10 ปีก่อนเกิดวิกฤติปี 40 เศรษฐกิจไทยเติบโตต่อเนื่องปีละ 9-10% ทุกปี ทุกคนได้ประโยชน์หมด ราคาที่ดินพุ่ง ดัชนีหุ้นทะยาน ประชาชนมีเงินจับจ่ายใช้สอยกันคล่องมือ รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้เยอะแต่ท่ามกลางการเติบโตที่ว่าได้เกิดปัญหาสะสมระหว่างทาง โดยเฉพาะช่วง 5 ปีก่อนวิกฤติ เพราะเศรษฐกิจที่เติบโตจากการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศมาใช้จ่าย ภาคเอกชน สถาบันการเงินต่างออกไปกู้หนี้ยืมสินเข้ามาจำนวนมากเพื่อปล่อยกู้จนเกิดการลงทุนเกินความพอดีในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และอสังหาริมทรัพย์ขณะเดียวกันประเทศก็มีการนำเข้าสินค้ามากกว่าส่งออกจนเกิดขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมาก แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะพยายามสกัดการเก็งกำไร โดยใช้นโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อชะลอการเก็งกำไร แต่ผลพวงจากนโยบายเปิดเสรีทางการเงินหรือ BIBF ขณะที่เรายังคงใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ที่ผูกติดค่าเงินบาทไว้กับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าที่ควรจะเป็น จึงยิ่งทำให้เงินทุนระยะสั้นทะลักเข้ามาจากการกู้เงินดอกเบี้ยต่ำในต่างประเทศมาแลกเป็นเงินบาทเพื่อ “กินส่วนต่าง” ดอกเบี้ยจุดนี้เองที่ทำให้เจ้าหนี้ต่างประเทศเริ่มเห็นความ “เปราะบาง” ของเศรษฐกิจไทยที่เติบโตขึ้นจากการเป็นหนี้มากกว่าความสามารถจากการลงทุนตนเอง จึงเริ่มเรียกคืนเงินกู้ สถาบันจัดอันดับเครดิตเริ่มปรับลดเครดิต และในที่สุดก็เกิดการเก็งกำไรค่าเงิน โจมตีค่าเงินบาท โดยกองทุน “เฮดจ์ฟันด์” ซึ่งมีการโจมตีค่าเงินอย่างรุนแรงถึง 3 ครั้ง โดยครั้งใหญ่สุดเมื่อเดือน พ.ค.2540 ที่ภายในสัปดาห์เดียวมีการทำเฮดจิ้งกับ ธปท.มากกว่า 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ“ขณะที่ ธปท.พยายามปกป้องค่าเงิน โดยต้องดึงเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ไปใช้ เนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีนโยบายเปลี่ยนแปลงนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังยึดติดกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเราปกป้องค่าเงินจนหมดหน้าตัก ประเทศจึงเริ่มเข้าสู่ความเสี่ยง สถาบันการเงินเริ่มอ่อนแอ ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่กู้เงินต่างประเทศ หรือที่ค้ำประกันเงินกู้เริ่มถูกเรียกหนี้คืนจนไม่มีความสามารถในการชำระเงินกู้ได้ ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพเหมือนธุรกิจที่ขาดเงินทุนหมุนเวียน รมว.คลังในสมัยนั้นจึงประกาศลาออกในวันที่ 16 มิ.ย.”ผ่าตัดมะเร็งร้าย...ลอยตัวค่าเงิน“ผมถูกเรียกให้เข้ามาเป็น รมว.คลัง ในวันที่ 19 มิ.ย. ซึ่งได้เข้ามาประเมินสถานการณ์และเข้าไปดูว่าสถานะ ธปท.เสียหายแค่ไหน ซึ่งพบว่าตอนนั้นเราไม่เหลืออะไรแล้ว เงินทุนสำรองระหว่างประเทศหมดแล้ว ขณะที่เงินทุนยังคงไหลออกอย่างเดียว และประเทศเราไม่มีเครดิตแล้วเหลือแค่เงินสำรองสำหรับพิมพ์ธนบัตรเท่านั้น ทำให้ต้องตัดสินใจประกาศนโยบายลอยตัวค่าเงินบาท เมื่อวันที่ 2 ก.ค. เพราะเราไม่สามารถฝืนต่อไปได้” อดีต รมว.คลังกล่าวทันทีที่รัฐประกาศลอยตัวค่าเงินออกมา ความเสียหายที่สั่งสมอยู่ก็ระเบิดออกมา ประชาชนแตกตื่นพากันไปถอนเงินแบงก์ขนาดเล็กจนขาดสภาพคล่อง ลุกลามไปทั้งระบบเหมือนเชื้อโรคร้ายระบาด กลายเป็นวิกฤติเศรษฐกิจทั้งประเทศ จนต้องเข้ารับความช่วยเหลือจาก “ไอเอ็มเอฟ” ให้จัดหาเงินกู้ให้ เพราะสภาพเราตอนนั้นเหมือนบริษัทล้มละลาย หมดเครดิตอย่างสิ้นเชิง!อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยติดลบสุดๆอยู่เพียง 2 ปีเท่านั้น คือปี 2540-41 หลังจากนั้นในปี 42 ก็สามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้ เงินบาทที่อ่อนค่าลงทำให้เราส่งออกได้ดีขึ้น การท่องเที่ยวเติบโตขึ้น สินค้าอุตสาหกรรมต่างๆต้นทุนถูกลงจนเริ่มกลับมาแข่งขันได้อีกครั้ง ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดเริ่มกลับมาเป็นบวกทำให้ประเทศไทยเริ่มสะสมพลังงาน จนสามารถใช้คืนหนี้ไอเอ็มเอฟได้ภายใน 6 ปี เทียบกับประเทศอื่นๆที่ใช้เวลาเกิน 10 ปีขึ้นไป“ผมโดนด่าเป็น 10 ปีจากคนที่เสียหายโทษฐานที่เป็นคนประกาศลอยตัวค่าเงิน ตอนนั้นใครที่กู้เงินดอลลาร์เข้ามาต้องบาดเจ็บกันหมด แต่เราจำเป็นต้องทำ เหมือนผ่าตัดมะเร็งที่ต้องทำเร่งด่วนด้วย ถ้าไม่ทำจะเสียหายยิ่งกว่านี้ ไม่มีทางแก้อื่น เพราะประเทศล้มละลายไปแล้ว”ส่วนโอกาสจะเกิดวิกฤติขึ้นมาอีกหรือไม่นั้น อดีต รมว.คลังกล่าวว่า มีน้อยมาก วิกฤติที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะไม่ใช่จากระบบอัตราแลกเปลี่ยน หรือสถาบันการเงิน แต่จะเป็นเรื่องของระบบเศรษฐกิจที่แท้จริงที่ไม่เติบโต หรือเติบโตต่ำมากๆ จนไม่โตเลยอย่างเอสเอ็มอีขายของไม่ได้ แต่ก็เชื่อว่าคงไปไม่ถึงขั้นวิกฤติ เพราะรัฐบาลคงใช้นโยบายเข้าไปช่วยทั้งลดดอกเบี้ย ลดภาษี ขณะที่เมื่อคนรากหญ้าไม่มีกำลังซื้อก็ใช้นโยบายประชานิยมเข้ามากระตุ้นได้เรื่อยๆอดีต รมว.คลังยังทิ้งท้ายด้วยว่า บทเรียนจากวิกฤติในครั้งนั้น ทำให้เราเรียนรู้และเข้าใจเรื่องการบริหารความเสี่ยง โดยเฉพาะความเสี่ยงทางการเงินซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ ทุกวันนี้สถาบันการเงินก็ระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น มีระบบป้องกันและบริหารความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการสร้างระบบหลังบทเรียนครั้งที่แล้วเศรษฐกิจไทยเดินมาไกลจากอดีตขณะที่นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า ต้นตอวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 นั้นเกิดจากการดำเนินนโยบายการเงินที่ผูกค่าเงินบาทกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ช่วงนั้นตลาดโลกมีการเปลี่ยนแปลงมีการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนเป็นจำนวนมาก บวกกับขนาดของประเทศไทยที่มีขนาดเล็กเมื่อเทียบตลาดเงินโลก เมื่อเราถูกโจมตีค่าเงินบาท จึงไม่สามารถสู้ได้ เป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติเศรษฐกิจย้อนรอยเส้นทางต่อสู้จากวันที่ล้มทั้งยืน“ก่อนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งนั้น เศรษฐกิจไทยดีมาก เรตติ้งของประเทศดี ดอกเบี้ยในประเทศปรับตัวขึ้น เมื่อต่างชาติมาเสนอเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ บริษัทเอกชนก็แข่งกันไปกู้เงินมาขยายธุรกิจโดยไม่ได้ระมัดระวัง แต่เมื่อถูกโจมตีค่าเงินบาท ทุนสำรองของประเทศไทยที่มีอยู่ไม่สามารถจะแบกรับได้ที่สุดจึงต้องประกาศลดค่าเงินบาท ประกอบกับในช่วงนั้นประเทศไทยขาดแคลนเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่จะนำไปใช้หนี้ต่างประเทศ จึงได้เข้าโครงการของไอเอ็มเอฟ โดยต้องยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขมากมาย ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจหดตัวอย่างรุนแรง โรงงานผลิตสินค้าออกมาไม่สามารถขายของได้ บริษัทเอกชนเจ๊ง โรงงานปิดตัวไปเป็นจำนวนมาก สถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์ก็เจ๊งตามไป”อย่างไรก็ตาม หลังบทเรียนในครั้งนั้น ในส่วนของภาคเอกชนก็มีการปรับตัว เพิ่มความระมัดระวังในการทำธุรกิจ ไม่เร่งขยายธุรกิจเกินจนตัวและไม่ก่อหนี้สินจำนวนมาก เห็นได้จากปัจจุบันบริษัทเอกชนมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1 ต่อ 1 หรือ 1 กว่าๆต่อ 1 ต่างจากช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 ที่บริษัทเอกชนหนี้สินสูงกว่าเงินทุนถึง 3-4 เท่าตัว บรรดาธนาคารพาณิชย์ที่ต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนเพิ่มความแข็งแกร่ง ต่างปรับเปลี่ยนรูปแบบการอนุมัติสินเชื่อ มีการนำระบบบริหารความเสี่ยงมาใช้“ภาคเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันต่างกับเศรษฐกิจในช่วงปี 40 อย่างมาก ปัจจุบันไทยมีความมั่นคงกว่ามาก เรามีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงถึง 184,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯสูงกว่าภาระหนี้ต่างประเทศ 3.4-3.5 เท่า ขณะภาคเอกชนไทยมีภาระหนี้ต่างประเทศน้อยมาก เงินกู้ส่วนใหญ่ก็พึ่งพาในประเทศเป็นหลัก ขณะที่ประเทศยังได้ดุลการค้าทำให้มีเงินดอลลาร์สหรัฐฯไหลเข้า ดังนั้นเศรษฐกิจในปัจจุบันอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่ง”“สวัสดิ์” เตือนสติรับมือวิกฤติลูกหนี้ในตำนานอีกคนที่ถูกจารึกในวิกฤติต้มยำกุ้ง และเป็นลูกหนี้ที่เขย่าขวัญสั่นประสาทเจ้าหนี้มากที่สุดคนหนึ่งด้วยวลีเด็ด “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” เขาคือ “สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง” เจ้าพ่ออุตสาหกรรมเหล็กของไทยได้ย้อนรอยถึงการฝ่าวิกฤติในครั้งนั้นกับ “ทีมเศรษฐกิจ” ว่า ก่อนวิกฤติเขามีหนี้รวมๆ ราว 80,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้ธุรกิจและหนี้สถาบันการเงินที่เขาใช้เครดิตส่วนตัวค้ำประกันไว้หลังประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้หนี้ก้อนนี้พุ่งพรวดขึ้นไปถึง 170,000-180,000 ล้านบาท แถมดอกเบี้ยเงินกู้ที่เคยอยู่ที่ 4-5% ขยับขึ้นไปเป็น 20-25% กลายเป็นหนี้ก้อนมหึมาท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจที่ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะแค่ในไทย แต่ประเทศในเอเชียต่างโดนหางเลขไปด้วย “ตอนนั้นเจ้าหนี้โทร.มาเต็มไปหมด เครียดมากเลยบอกไปว่าผมไม่หนี แต่ตอนนี้ผมไม่มี ผมไม่จ่าย นักข่าวมาสัมภาษณ์ก็บอกไปอย่างนี้”เขาบอกว่าสุดท้ายเขาต้องยอมแพ้และยอมรับความจริง เดินเข้าไปเจรจากับเจ้าหนี้ ยกธงขาวยอมให้เจ้าหนี้แปลงหนี้เป็นทุน จนทำให้ตัวเขาเหลือสัดส่วนการถือหุ้นเพียง 2-3% ส่งผลให้เจ้าหนี้ทั้งไทยและต่างประเทศเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทมากกว่า 90% “เสียโรงเหล็กไป เสียธุรกิจ แต่ปลอดหนี้ ทั้งหนี้ส่วนตัวและหนี้บริษัท และเครดิตก็หมดไปด้วย แต่ผมทำใจได้ ของไม่ใช่ของเรา เมื่อสู้ไม่ได้ก็ต้องยอมแพ้ ทำธุรกิจเราต้องรู้ว่าถึงเวลาได้เราได้ ถึงเวลาเสียเราต้องยอมเสีย ผมยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ยึดติดจึงทำให้ผมมีวันนี้ผมถือว่าผมพ้นเวรพ้นกรรมแล้ว”“สวัสดิ์”เล่าว่า หลังจากนั้นบริษัทเขาก็ไปรวมกิจการกับโรงเหล็กของบริษัทในเครือปูนใหญ่ เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทมิลเลนเนี่ยน สตีล นำเข้าตลาดหลักทรัพย์ และ “ทาทาสตีล” ธุรกิจเหล็กยักษ์ใหญ่ของโลกก็เข้ามาเทกโอเวอร์ไป สุดท้ายแบงก์เจ้าหนี้ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ได้เงินคืนจากการขายหุ้นให้ทาทาสตีลทำให้แบงก์ไม่เสียหาย แถมได้กำไร“สวัสดิ์” ยังได้เตือนคนรุ่นใหม่ว่า วันนี้โลกเชื่อมต่อถึงกัน เป็นยุค Globalization ที่เปิดเสรีถึงกันหมด หากเกิดวิกฤติขึ้นมาอีกจะยากยิ่งขึ้น เพราะเราไม่มีแนวป้องกันอีกแล้วเขายังมองว่า หากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งต่อไปจะเกิดกับคนชั้นกลางถึงระดับล่าง ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ปัญหาจะน่ากลัวกว่าที่คิด ท่ามกลางเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนโลกอย่างรวดเร็วจะทำให้คนตกงานอีกมหาศาล เกิดปัญหาสังคมตามมามากมาย เพราะหุ่นยนต์จะทำงานแทนเกือบทั้งหมด “ดังนั้น ทางแก้ผมมองว่าประเทศไทยยังเป็นประเทศด้อยพัฒนา หรือกำลังพัฒนา เราต้องการระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานอีกมาก ประเทศไทยต้องวางผังเมืองใหม่ สร้างถนนหาทางใหม่ที่ไม่ขวางทางน้ำ เหมือนในปัจจุบันที่เป็นต้นเหตุทำให้น้ำท่วมไปได้ทั่วทุกพื้นที่ รวมทั้งโครงการลงทุนของรัฐประชาชนต้องได้ประโยชน์อย่างถาวร ขณะที่คนไทยคนรุ่นใหม่ต้องปรับตัว ต้องพัฒนาตัวเองให้ทันโลก ไม่เลือกงาน ไม่ขี้เกียจ”“แต่ที่แย่และน่ากลัวที่สุดคือ นักการเมืองห่วยๆที่ยังมีบทบาทและอำนาจอยู่ ซึ่งอาจจะเป็นต้นเหตุ ที่เร่งทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจได้อีกครั้ง!!” “สวัสดิ์” กล่าวทิ้งท้าย“ศิริวัฒน์” กับคัมภีร์ฟื้นธุรกิจอีก 1 ในผู้ที่บาดเจ็บสุดสาหัสจากวิกฤติต้มยำกุ้งในครั้งนั้นคือ “ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ” อดีตผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์และเซียนหุ้นที่มีคนลงขันให้บริหารพอร์ตให้ ที่ต้องกลายเป็นบุคคลล้มละลายในทันทีหลังโดนพิษเศรษฐกิจเล่นงานในครั้งนั้น ชีวิตต้องพลิกผันจากที่คิดการใหญ่จะทำ “คอนโดหรู” แถวปากช่องขายไฮโซ-เซเลบ มาทำแซนด์วิชในนาม “ศิริวัฒน์แซนด์วิช” ขายข้างถนน“ศิริวัฒน์” เล่าว่าในวันนั้นเขามีหนี้เกือบพันล้านบาท เพราะหุ้นที่ใช้บัญชี “มาร์จิ้น” หรือกู้เงินมาเล่นราคาร่วงอย่างหนักทุกตัว จนต้องถูกบังคับขายหรือ “ฟอร์ซเซล” ในราคาขาดทุน คอนโดที่สร้างไว้อย่างหรูโดนทิ้งดาวน์เจ๊งไม่เป็นท่า ตัวเขาและภรรยาแบกหนี้ทันทีเกือบพันล้านบาท ต้องปิดบริษัทและถูกฟ้องล้มละลายโชคดีที่เจ้าหนี้ใหม่ที่ซื้อหนี้ของเขาไปบริหารไม่ตามไล่บี้เก็บหนี้ต่อ เพราะหุ้นที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันถูกขายไปหมดแล้วเลยถูกตีเป็นหนี้สูญ สถานะเขาวันนั้นจึงไม่มีหนี้ ไม่มีเงิน และไม่มีเครดิต!! เขาพร้อมลูกน้องที่เหลืออยู่ 20 คนที่ไม่รู้จะไปไหนต่อ จึงหอบหิ้วกันมาทำแซนด์วิชขายประทังชีวิต ตามคำแนะนำของภรรยาที่เห็นว่าทำง่าย ใช้ทุนต่ำ และน่าจะสามารถเลี้ยงดูครอบครัวและลูกน้องได้“ผมเป็นเอ็นพีแอลรุ่นแรกของประเทศไทย เพราะล้มดังและล้มจริง มีนักข่าวมาสัมภาษณ์ เพราะนักข่าวเคยรู้จักผมอยู่แล้วจากการเป็นผู้บริหารโบรกเกอร์ ไปขายที่ไหนยืนอยู่ข้างถนนก็มีคนมาช่วยซื้อและให้กำลังใจ เพราะสงสาร ผมว่าผมโชคดีที่ได้รับความเห็นใจจากคนไทย ไม่มีใครซ้ำเติม ช่วงแรกอาจมีคนปรามาสบ้าง เพราะคิดว่าสร้างภาพคงทำได้ไม่นาน บ้างก็ว่าล้มไม่จริง ผมเองก็ไม่คิดว่าชีวิตจะมายืนขายแซนด์วิชข้างถนนได้ แต่ผมก็ฟื้นได้จากแซนด์วิช เพราะผมทำของดีขายใช้ของดี ราคาสูงกว่าเจ้าอื่นแต่กินแล้วติดใจมาช่วยซื้ออีก หากซื้อด้วยความสงสารก็คงขายได้แค่ครั้งเดียว” “ศิริวัฒน์” เล่าว่าสิ่งที่ทำให้เขายืนหยัดอยู่ได้ เพราะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ให้กำลังใจตัวเองและท่องคาถา “ไม่ท้อ ไม่อาย ไม่ยอมแพ้” และจากบทเรียนครั้งนั้น สอนให้เขารู้ว่าต้องรู้จักอยู่อย่างพอเพียง ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ ทั้งความผิดพลาดและความสำเร็จ ถ้าสำเร็จแล้วอย่าเหลิง อย่าคิดว่าตัวเองแน่ แต่ถ้าล้มเหลวแล้วอย่าท้อ ต้องปรับตัวให้ได้กับสถานการณ์ อย่าอาย อย่ากลัวเสียหน้าให้ยอมรับความจริง แล้วหาช่องทางในการฟื้นฟูตัวเองและธุรกิจ“ที่ผ่านมาผมโลภมีร้อยล้านก็อยากมีพันล้าน ประมาทและหลงตัวเอง อีโก้คิดว่าตัวเองแน่ ตัวเองเก่ง แต่เมื่อเจอปัญหาก็ล้มไม่เป็นท่า วันนี้ผมฟื้นแล้วแม้ไม่ได้กลับไปรวยเท่าเดิม แต่ผมมีความสุขเพราะอยู่กับความ พอเพียง”“ศิริวัฒน์” เผยด้วยว่า เขาเพิ่งกลับมาขายแซนด์วิชอีกครั้งเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว เพราะที่ผ่านมา หาคนงานมายืนขายยากมาก จึงหันไปทำน้ำเม่าเบอร์รี่ และข้าวอบกรอบฝากขายตามห้างค้าปลีกและสายการบิน แม้จะขายดีแต่โดนห้างกินมาร์จิ้นไป 40% และต้องให้เครดิตกว่าจะเก็บเงินได้ 45 วันเหลือกำไรน้อยมาก จนเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งตกงานมาติดต่อขอขายแซนด์วิช ทำให้เขาตัดสินใจกลับมาทำอีกครั้ง โดยเริ่มเปิดตลาดเดินขายที่สำเพ็ง และบริการส่งแบบ Deliverly ด้วย แถมมีบริการทำอาหารกล่องสำหรับเลี้ยงในงานศพและงานสัมมนาต่างๆด้วย“ศิริวัฒน์” บอกว่า เด็กคนนี้มีกำไรวันละ 300–500 บาท เขาบอกว่าไม่เคยคิดว่าขายแซนด์วิชจะเปลี่ยนชีวิตจากคนตกงานกลับมามีรายได้อีกครั้ง “ศิริวัฒน์” จึงฝากบอกกับคนที่ตกงาน ต้องการหารายได้ โดยขายแซนด์วิช ติดต่อมาที่เขาโดยตรงได้ที่เบอร์ 0–2676-4772-3“ศิริวัฒน์” ยังได้วิเคราะห์เศรษฐกิจขณะนี้ให้ฟังว่า หากเกิดปัญหาเศรษฐกิจรอบนี้ มองว่าจะหนักกว่าปี 40 เพราะครั้งนั้นคนเจ๊งคือ คนรวย นักธุรกิจ สถาบันการเงิน นักอุตสาหกรรมใหญ่ๆ“แต่ตอนนี้ภาคที่เจอวิกฤติคือ “คนจน” ที่มีหนี้ครัวเรือนสูงถึง 11 ล้านล้านบาท เป็นหนี้ของคนชั้นกลางถึงระดับล่าง เป็นกลุ่มคนที่มีสัดส่วนสูงถึงครึ่งหนึ่งของประเทศ หรือราว 30 ล้านคน มีหนี้รวมกันถึง 11 ล้านล้านบาทที่ต้องดิ้นรนหาเงินมาจ่ายหนี้ กำลังซื้อจึงหดหายทำให้เงินหมุนเวียนในประเทศน้อยลง เศรษฐกิจฝืดเคืองทุกระดับ กำลังซื้อหายตั้งแต่ระดับถนนถึงระดับห้าง ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักสุดก่อนคือ SME ซึ่งเขาแนะนำให้ต้องรีบปรับตัว ประหยัดรายจ่ายลดต้นทุน หาช่องทางเพิ่มรายได้ เพื่อประคองตัวประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นไปให้ได้”.ทีมเศรษฐกิจ