ถ้าผมจำไม่ผิด ในสุขบัญญัติ 10 ประการ ที่เด็กประถมรุ่นผมท่องในชั้นเรียน มีข้อหนึ่งห้าม “อย่าดื่มน้ำชากาแฟ” แสดงว่า ทั้งน้ำชากาแฟนิยมกินกันมานาน จนแทบไม่รู้ว่าน้ำชากับกาแฟอะไรมาก่อนร้านน้ำชาในสามสี่จังหวัดใต้ก็ไม่แยกขาย “ชาร้อน” หรือ “กาแฟร้อน” บางร้าน ถ้าร้องสั่ง “ฉ่งซำ” ก็จะได้ขายทั้งชาและกาแฟร้อนผสมกันในแก้วเดียวข้อสังเกตเรื่องชาร้อนที่กลิ่นรสถูกใจ ผมจำได้ว่าเป็น “ชาซีลอน” ว่าโดยชื่อ น่าจะสั่งซื้อมาจากลังกากินชาร้อนเจ้าประจำในตลาดยะลาว่าถูกใจแล้ว ผมเคยแวะ “ร้านน้ำชา” ข้างทางถนนสายยะลาปัตตานี ขอยืนยันว่า กลิ่นรสชาร้อน ถึงใจกว่าร้านน้ำชาคนไทยกำลังทบทวนว่า บรรยากาศร้านน้ำชาในต่างอำเภอย่านมุสลิม เป็นที่ถกแถลงปัญหาการเมือง จนเป็นสภากาแฟหรือไม่... ถามเพื่อนมุสลิมก็ได้ข่าว ไม่ว่าร้านน้ำชาไทยมุสลิมก็สภากาแฟเหมือนๆกันในภาคใต้ชาจะนิยมกินมาก่อนหรือไม่...ผมไม่แน่ใจ แต่ถ้าในภาคกลางโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ส.พลายน้อยเล่าไว้ใน “เรื่องข้างสำรับ” (สำนักพิมพ์พิมพ์คำ พ.ศ.2559) ว่า คนไทยเพิ่งรู้จักกาแฟในสมัยรัชกาลที่ 3สมัยนั้นฝรั่งมังค่าเริ่มเข้ามาเมืองไทย คนไทยรู้ว่าฝรั่งชอบกินกาแฟก็ต้องหากาแฟรับแขกรัชกาลที่ 3 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์? พระองค์แรกที่สนใจเรื่องกาแฟ โปรดให้ข้าราชการน้อยใหญ่ปลูกต้นกาแฟบริเวณวัดราชประดิษฐ์ฯด้านตะวันออกของพระบรมมหาราชวังก็เคยเป็นสวนกาแฟมาก่อนทางฝั่งธนบุรีมีสวนกาแฟใหญ่ของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิษฐ์ บุนนาค) ขึ้นหน้าขึ้นตาถึงขั้นรับแขกเมืองอย่างเซอร์ จอห์น เบาว์ริ่ง ในสมัยรัชกาลที่ 4แต่ชื่อคนไทยสมัยนั้นยังไม่เรียกกาแฟ เรียกกะแฝ่บ้าง เข้าแฝ่บ้าง กาแฝ่บ้างฝรั่งนั่นเป็นต้นเล่าตำนานกำเนิดกาแฟว่าสมัยหนึ่งนานมาแล้ว พระอียิปต์ที่อพยพเข้าไปในอบิสสิเนีย สังเกตเห็นแพะแกะที่เลี้ยงไว้ยืนลืมตาไม่เป็นอันหลับนอน ก็เฝ้าดูจนเห็นว่ามันไปกินใบไม้อย่างหนึ่งเข้าไปพระลองพืชต้นนั้น ซึ่งก็คือกาแฟบ้าง ผลก็คือนอนไม่หลับเหมือนกันอีกหลายๆแห่งก็มีเรื่องการค้นพบกาแฟ แต่มีเรื่องหนึ่งเล่าว่าพวกนักปราชญ์กับพวกนักบวช ในอาระเบียน เก็บเอาใบกาแฟมาชงกินแบบชา (แสดงว่าชากินกันมาก่อนกาแฟ)ต่อมาพวกเปอร์เซียรู้จักเก็บเมล็ดกาแฟมาคั่ว ทำให้มีกลิ่นหอม เมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 13 กาแฟจึงได้รับความนิยม อาระเบียนเป็นประเทศแรกที่มีร้านกาแฟ มีคนนิยมไปนั่งจิบกันไป คุยกันไปเรื่องคุยส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเมือง ร้านกาแฟก็กลายเป็นสภากาแฟที่สุมหัวนินทาผู้มีอำนาจ พวกที่ถูกรุมนินทาจึงรวมหัวกันกำจัด โดยอ้างว่าผิดวินัยบัญญัติของพระศาสดาเมืองเมกกะถูกบันทึกว่าเป็นเมืองที่สั่งให้ปิดร้านกาแฟเป็นแห่งแรก เมื่อปี ค.ศ.1511กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ก็มีสภากาแฟ ผลก็คือถูกสั่งปิดเมื่อ ค.ศ.1534 กรุงสแตนติโนเปิล อิตาลี สั่งปิดร้านกาแฟเมื่อปี 1534 ถึงตอนนั้นร้านกาแฟก็ยิ่งแพร่หลายในฝรั่งเศสพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มีกาแฟในงานพระราชทานเลี้ยงของราชสำนักในอังกฤษ พระเจ้าชาลส์ที่ 2 ทรงปรึกษาผู้พิพากษาหาทางสั่งปิดร้านกาแฟ แต่ปิดไม่ได้ ยิ่งสั่งปิดร้านกาแฟยิ่งเพิ่ม“การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย 24 มิ.ย.2475 ก็เริ่มต้นจากนักศึกษาไทย ไปนั่งคุยกันในร้านกาแฟในกรุงปารีส” ส.พลายน้อยว่าอ่านประวัติร้านกาแฟแล้ว ก็ได้บทเรียน วิธีสั่งปิดปากผู้คน ไม่ว่าจะปิดร้านกาแฟในสมัยโบราณ หรือปิดปากทางโลกโซเชียล...ในสมัยใหม่... ผลที่ได้ก็ไม่ต่างกัน คือยิ่งปิดก็ยิ่งเพิ่ม ยิ่งห้ามยิ่งยุใครผู้ใดที่กำลังใช้อำนาจ ก่อนจะตัดสินใจทำอะไร คิดบวกลบคูณหารให้มากๆ หากขืนบุ่มบ่ามทำลงไป หลายสถานการณ์ก็เคยพิสูจน์ว่า ที่ว่าข่าวลือๆนั้น ลงท้ายมันกลายเป็นข่าวจริง.กิเลน ประลองเชิง