บทอาขยาน ที่เด็กชั้นประถมรุ่นผม ก่อน พ.ศ.2500 ท่องบทหนึ่ง ขึ้นต้นว่า ปากเป็นเอก เหมือนเสกมนต์ให้คนเชื่อ...ครับ

ผู้ใหญ่ที่เขียนกลอนบทนี้ เกิดในสมัยที่ถือว่า การเรียนหนังสือ มีความจำเป็นน้อยกว่า จึงจัดลำดับการพูดเป็นความสำคัญเป็นที่หนึ่ง วิชาเลข รองลงมา และวิชาหนังสือ เป็นที่สาม

แต่คนที่จะยกย่องกันว่า ปากเป็นเอกนั้น ไม่ใช่สักแต่ว่าพูดได้ พูดไปเรื่อยๆ แต่เป็นปากที่เกิดจากสติปัญญา ที่มาจากการเรียนหนังสือ มาก ปากที่พูดดี มีปฏิภาณฉับไว ปากที่พูดแล้วเกิดคุณประโยชน์

สมัยต้นรัตนโกสินทร์ สมัยที่ถือว่าปากเป็นเอก สุนทรภู่เขียนไว้ในสุภาษิตสอนหญิง

เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา แม้พูดดีมีคนเขาเมตตา จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ

อีกบท สุนทรภู่เขียนไว้ในเพลงยาวถวายโอวาท ผมอ่านแล้ว ต้องพยายามท่องให้จำ

อันโซ่ตรวนพรวนพันมันไม่อยู่ คงหนีสู้ซ่อนมุ่นในฝุ่นผง แม้นผูกใจไว้ด้วยปากไม่จากองค์ อุตส่าห์ทรงทราบแนบที่แยบคาย

อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย

อันเจ็บอื่นหมื่นแสนที่แคลนคลาย เจ็บจนตายก็ไม่เหน็บเหมือนเจ็บใจ

เหตุที่ผมต้องพยายามท่องจำ ก็เพราะตอนสอบวิชาคัดไทย จากชั้น ป.2 ขึ้น ป.3 โรงเรียนวัดประทุมฯ ระหว่างครูเฉลิม ควรศิริ คัดข้อสอบตัวบรรจงในกระดานดำ นักเรียนคุยกันลั่นห้อง

ครูไม่บอกสักคำว่าโกรธ แต่พลิกกระดานดำไปอีกข้าง ตั้งท่าเขียนใหม่ แต่เขียนหวัด...อ่านยาก แล้วประกาศว่า คัดกัน ไปตามนี้ ถ้าอ่านไม่ออกเขียนผิดก็ตัดคะแนน

ยกเว้น จะมีนักเรียนสักคน อ่านกลอนที่เขียนแบบหวัดๆ บทนั้นได้

ทันทีนั้น ก็มีนักเรียนชายคนหนึ่ง ซึ่งก็คือผมเอง ยืนอ่านกลอน บท อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก...เสียงดังฟังชัดไปจนจบ

...

ครูคนเขียนยิ้ม แล้วพลิกกระดานดำด้านเขียนตัวบรรจง ให้นักเรียนเริ่มสอบได้

ครู ป.3 สองท่าน ครูบุญล้อม ยมะสมิต ครูประนอม บุนนาค ยืนคุมห้องสอบ เห็นหน่วยก้าน ขึ้น ป.3 ผมถูกตั้งเป็นหัวหน้าชั้น

ผมฝังใจกลอนบทนี้ เรียนรู้ต่อไปว่ามีผลหลายด้าน หลายครั้งพูดดีมีคนเมตตา แต่ก็หลายครั้ง เพราะปากไม่ดี ผู้ใหญ่หมั่นไส้ก็มีเหตุให้ต้องระเหระหนอับจน

ไม่ว่าปากจะเป็นเอกแค่ไหน เก่งเลขทำมาค้าขายเก่งยังไง รอบรู้เพราะอ่านหนังสือมากเพียงใด...ไม่สำคัญ เท่ากับกลอนวรรคท้าย...

ชั่วดีเป็นตราประทับไว้กับโลก ยามวิโยคชีพยับลับร่างหนี ที่สูญแท้แต่ตัวส่วนชั่วดี ยังมีประดับไว้ในโลกา

กลอนบทนี้ แม้ให้ความสำคัญ กับปากกับเลขกับหนังสือ แต่สุดท้าย ก็ยกให้ความ “ชั่วดี”

ผมฟังนักการเมืองพูดเก่งมามาก แต่ไม่เคยเห็นว่า เรื่องที่พูดๆไปนั้น สักกี่คนทำได้

แฟนๆคุณทักษิณ หรือคุณยิ่งลักษณ์ ก็ยอมรับแก่ใจ สองคนนี้ แค่พูดได้ดี แต่ไม่เก่ง ถึงขนาดจะปะทะฝีปากแบบนักโต้วาที ผมจึง ไม่รู้สึกอะไร ท่ามกลางเสียงสอดเสียดเหยียดเย้ย นายกฯประยุทธ์จะไม่ยอมขึ้นเวทีดีเบต

ผมเชื่อของผมว่า ถ้าพรรคของนายกฯประยุทธ์จะแพ้หรือจะชนะ ก็ด้วยผลงานสี่ห้าปีที่ผ่านมา ถ้าคนเขาว่าดีเขาก็เลือก ถ้าว่าไม่ดีเขาก็เลือกพรรคอื่น

ถึงตอนนี้ มีหลายพรรคที่น่าสนใจ คนแก่อย่างผม เล็ง พลังธรรมใหม่ เสรีรวมไทย ถึงเวลาค่อยตัดสินอีกที.

กิเลน ประลองเชิง