มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กฎกติกาการเลือกตั้งที่จุกจิกหยุมหยิมมาอย่างต่อเนื่องในวันรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส. ผู้สมัครต้องประพฤติปฏิบัติให้เรียบร้อย นักการเมืองบางคนแซวว่า ต้องนั่งพับเพียบเรียบร้อย หลังจากเสร็จสิ้นการสมัครก็ต้องทำตัวให้เรียบร้อย ห้ามจัดกองเชียร์หรือขบวนแห่ ไปตามถนนและหมู่บ้านในเขตเลือกตั้ง ตามประเพณีของบางท้องที่

เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีหนังสือถึงผู้อำนวยการการเลือกตั้งทุกจังหวัด ห้ามผู้สมัคร ส.ส.จัดขบวนแห่หรือกองเชียร์ไปตามถนน ตำบล และหมู่บ้าน อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายการเลือกตั้ง ข้อหา “จัดให้มีการรื่นเริง” เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้เลือกผู้สมัคร หรือพรรค การเมืองใดโดยแจ้งว่าเป็นมติของ กกต.

เมื่อเป็นคำสั่งของ กกต. ทุกฝ่ายก็ต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นผู้สมัคร ส.ส.หรือพรรคการเมือง เพราะเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมาย แต่กฎหมายที่ กกต. และประชาชนควรให้ความสำคัญยังมีอีกมากที่ร้ายแรงกว่า เช่น กฎหมายเลือกตั้งระบุว่า การกระทำผิดมาตรา 158 และ 166 เป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง เป็นผู้ต้องห้ามสมัคร ส.ส.ตลอดชีวิต

หรือกฎหมายเลือกตั้งมาตรา 69 ห้ามผู้สมัครพรรคการเมืองหรือผู้ใด โฆษณาหาเสียงเลือกตั้งทางวิทยุและโทรทัศน์ เว้นแต่เป็นรายการที่ กกต.จัดให้ เพื่อช่วยเหลือผู้สมัครหรือพรรคการเมือง การที่นายกรัฐมนตรียึดโทรทัศน์ทุกช่อง เพื่อโฆษณาผลงานรัฐบาลในทุกคืนวันศุกร์ หรือรายการ “เดินหน้าประเทศไทย” ทุกเย็นยกเว้นวันศุกร์ ควรงดชั่วคราวหรือไม่

กฎหมายการเลือกตั้งถือว่าการซื้อสิทธิขายเสียง รวมทั้งการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ต่อการหาเสียงเลือกตั้ง เป็นความผิดร้ายแรง การซื้อเสียงต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ถึง 10 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่รัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบเพื่อกระทำการอันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคใดๆ

...

แม้แต่ข่าวของหนังสือพิมพ์หลายฉบับที่ระบุว่า พรรคพลังประชารัฐจัดผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อยังไม่ลงตัว เนื่องจากนายกรัฐมนตรีไม่เป็นปลื้มกับรายชื่อที่เปิดเผยออกมา ให้นักการเมืองเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ อันดับ 1 ถึง 10 ให้นายทุนพรรคอยู่ในอันดับ 11 ถึง 20 ข่าวระบุว่าแกนนำพรรคบางคนอยากให้นายทุนอยู่อันดับต้นๆมากกว่า

ถ้าหากเป็นความจริงตามรายงานข่าว ไม่ทราบว่า กกต.จะสนใจตรวจสอบหรือไม่ เข้าข่ายมาตรา 28 และ 29 ของกฎหมายพรรคการเมืองหรือไม่ กฎหมายห้ามมิให้พรรคยินยอมให้ผู้ที่มิใช่สมาชิกพรรค กระทำการอันเป็นการควบคุมครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมพรรค ในลักษณะที่ทำให้พรรคขาดความอิสระ มีบทลงโทษทั้งจำคุก และยุบพรรคการเมือง.