แม้รัฐบาลจะพยายามเอาใจนักลงทุนต่างชาติ ลดภาษีให้ทุกอย่างเพื่อให้เข้ามาลงทุนในไทย ลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) แต่นักลงทุนต่างชาติก็ยังไม่มาลงทุนอย่างที่รัฐบาลคาดหวัง โดยเฉพาะบริษัทไอทียักษ์ใหญ่โลก กลับไปลงทุนใน สิงคโปร์ เช่น เฟซบุ๊ก ก็เลือกสิงคโปร์เป็นที่ตั้งศูนย์บริหารข้อมูลแห่งที่ 15 ของโลก ด้วยเงินลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ กูเกิล ก็เตรียมสร้างศูนย์บริหารข้อมูลแห่งที่ 3 ในสิงคโปร์ ด้วยเงินลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ เช่นเดียวกัน

ทำไมบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของโลกจึงเลือกสิงคโปร์? ไปดูคำตอบกันครับ

วารสาร “การเงินธนาคาร” ฉบับตุลาคม ที่กำลังวางแผง ปกเรื่อง การรับมือกับเทคโนโลยี 5G ที่จะเปลี่ยนชีวิตไร้ขีดจำกัด ได้รายงานในคอลัมน์ World Exclusive ว่า สูตรสำเร็จของสิงคโปร์ได้วางไว้ตั้งแต่ ปี 1965 ตั้งแต่ ลี กวนยิว ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์ด้วยสภาพประเทศที่เป็นเพียงเกาะเล็กๆ ขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้น การสร้างชาติสิงคโปร์ให้แข็งแรงเจริญรุ่งเรือง จึงต้องพึ่งทรัพยากรที่มีอยู่เพียงอย่างเดียว คือ พลเมืองสิงคโปร์ 5.6 ล้านคน (ประชากรปัจจุบัน)

สิงคโปร์จึงทุ่มเทอย่างเอาเป็นเอาตาย ในการ “จัดการระบบการศึกษาของชาติ” ตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ จนมหาวิทยาลัยสิงคโปร์ติดอันดับท็อป 20 ของโลก ในวันนี้

จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก QS World University Ranking 2019 ที่เพิ่งประกาศผล มีมหาวิทยาลัยสิงคโปร์ติดอันดับท็อป 15 ถึง 2 แห่งคือ National University of Singapore ติดอันดับ 11 Nanyang Technological University ติดอันดับ 12 ส่วน ประเทศไทย มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ติด อันดับที่ 271

ส่วนมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกปี 2019 อันดับ 1 เอ็มไอที อันดับ 2 สแตนฟอร์ด อันดับ 3 ฮาร์วาร์ด อันดับ 4 แคลิฟอร์เนีย อินสติติว ออฟ เทคโนโลยี อันดับ 5 ออกซ์ฟอร์ด

...

เมื่อ “คนสิงคโปร์” ที่เป็นทรัพยากรเพียงหนึ่งเดียว มีคุณภาพการศึกษาที่ดีเยี่ยม มีทักษะประสิทธิภาพการทำงานสูง บริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกจึงไม่ลังเลที่จะ เลือกลงทุนที่สิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ภูมิภาค เทคโนโลยี และอุตสาหกรรม โดยไม่จำเป็นต้องเอาภาษีไปล่อ จนคนในชาติกลายเป็นพลเมืองชั้นสองไปเลย

โธมัส เฟอร์ลอง รองประธานบริหารเฟซบุ๊ก ให้เหตุผลที่ไปลงทุนตั้งศูนย์บริหารข้อมูลที่สิงคโปร์ว่า ตัดสินใจง่ายมาก คู่แข่งของสิงคโปร์ไม่มีเลย (ไม่เห็นประเทศไทยอยู่ในสายตาเลย ทั้งที่ลดภาษีให้สารพัด) สิงคโปร์มีคุณสมบัติความพร้อมเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ทันสมัย มีระเบียบกฎเกณฑ์ที่โปร่งใสชัดเจน (ไม่ใช่แบ่งเค้กกันตามชอบใจ) การทำธุรกิจก็สะดวกง่ายดาย มีบุคลากรคุณภาพจำนวนมากทุกระดับชั้น แม้จะมีปัจจัยลบ เช่น ค่าครองชีพสูง วินัยทางสังคมเข้มงวด ก็ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเฟซบุ๊ก

สิงคโปร์ครองอันดับ 1 ประเทศที่ทำธุรกิจง่ายที่สุดในโลก มาตั้งแต่ปี 2012 จนถึงปัจจุบัน ความสามารถในการแข่งขันปี 2018 สิงคโปร์ก็ติดอันดับ 3 ของโลก รองจากสวิส สหรัฐฯ เสรีภาพทางเศรษฐกิจ หรือ Economic Freedom ปี 2018 สิงคโปร์ก็ครองอันดับ 2 ของโลก รองจาก ฮ่องกง ส่วน ไทยแลนด์ อยู่ อันดับ 53 ได้ 67.1 คะแนน ถือว่าเสรีภาพทางเศรษฐกิจยังไม่ดีนัก แต่ดีกับเศรษฐีไม่กี่ราย ไม่ผูกขาดก็เหมือนผูกขาด

สดๆ ร้อนๆเมื่อวานนี้เอง Henley Passport Index 2018 การจัดอันดับ หนังสือเดินทางที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ปีนี้ สิงคโปร์ หล่นมาอยู่ อันดับ 2 ของโลก ถูก ญี่ปุ่น แซงขึ้นไป เป็น อันดับ 1 ของโลก โดย พาสปอร์ตญี่ปุ่นไม่ต้องขอวีซ่า 190 ประเทศ และ พาสปอร์ต สิงคโปร์ ไม่ต้องขอวีซ่า 189 ประเทศ แพ้กันแค่ประเทศเดียว ประเทศไทย อยู่ อันดับที่ 68 ไม่ต้องขอวีซ่า 77 ประเทศ แต่ประเทศที่เจริญแล้วอย่าง สหรัฐฯ ยุโรป อังกฤษ ออสเตรเลีย พาสปอร์ตไทยต้องขอวีซ่าหมด

ผมเสียดายที่ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มุ่งแต่เรื่อง “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” แต่ไม่เน้นเรื่อง “การศึกษา” ที่เป็นปัญหาใหญ่ของชาติ ก็ไม่รู้จะ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ได้อย่างไร.

“ลม เปลี่ยนทิศ”