ถ้าไม่ใช่อารมณ์ขี้เกียจตอบคำถามเซ้าซี้รายวัน หรือตั้งใจหลอกโพลหัวทิ่มหัวตำ “หน้าแหก” เหมือนรอบที่ผ่านๆมา ตัวเลขร้อยละ 47.25 เกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ ของ “นิด้าโพล” ล่าสุดที่เปิดผลสำรวจกระแสคนกรุงเทพฯบอกยังหาคนที่เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ ร้อยละ 40.20 ระบุยังไม่มีพรรคการเมืองที่โดนใจคนเมืองกรุงยังโลเล ไม่ตัดสินใจเสี่ยงพวงมาลัยมันก็ยังถือได้ว่าเป็น “ทรัพย์สินส่วนกลาง” จัดเป็น “โอกาสทอง” ของทุกพรรคการเมืองที่จะชิงแต้มไล่เจาะยางกองทัพส้ม แย่งความรักจากเด็กโดยเฉพาะอารมณ์ “ตีปีก” ของขบวนโหนอนุรักษ์นิยมโบราณ ทั้งเบอร์เก๋าเหล้ายี่ห้ออย่างพรรคประชาธิปัตย์ที่จะได้ลุ้นกู้สภาพ “สูญพันธุ์” ใน กทม. หรือพรรคเพื่อไทยก็ได้ลุ้นกลับมาแย่งส่วนตลาดระบายสินค้าที่ยอดตกฮวบฮาบไม่เว้น “ห้างบ้านนอก” อย่างค่ายเซราะกราว ภูมิใจไทย ก็ยังได้ฝันหวาน สถานการณ์ยังพอมีลู่ทางขนสินค้าไทยบ้านมาเจาะตลาดในเมืองกรุงตามฟอร์มคนเมืองหลวงเดาใจลำบาก กระแสวูบวาบแค่ข้ามคืน สไตล์คนกรุงเทพฯ “ตบตา” นักเลือกตั้งอาชีพเก่ง ผลโพลไม่อาจสะท้อนคะแนนแท้จริง อ้างอิงได้เฉพาะเกม “ตีปี๊บ” ปั่นแต้มลอยๆในอากาศแต่ตัวเลขของจริงที่เป็นสัญญาณบวกกับกองทัพส้มมากกว่าใครมันอยู่ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้สรุปจำนวนผู้ลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า และเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรวันแรก กว่าแสนคน ประกอบด้วยนอกเขต 9 หมื่นคนเศษ นอกราชอาณาจักรเกิน 8 พันรายแค่วันแรกยังทะลุหลักแสน จนกว่าจะถึงวันที่ 5 มกราคม 2569 ที่ กกต.เปิดให้ลงทะเบียนวันสุดท้าย นั่นหมายถึงตัวเลขน่าจะพุ่งขึ้นอีกเพียบ แนวโน้ม “ผู้ขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า” ที่เป็นฐานคะแนนเป็นกอบเป็นกำของกองทัพส้ม เทียบสถิติจากการเลือกตั้งใหญ่รอบที่แล้วๆมานี่แหละตัวแปรหลักที่หักดิบ “ฐานจัดตั้ง” หัวคะแนนโบราณ “บ้านใหญ่”ตามฟอร์มแบบที่ “ไอซ์” รักชนก ศรีนอก “ลิซ่า” ภคมน หนุนอนันต์ นำทีม “ตัวเรียกแขก” ของค่ายประชาชน ตีฆ้องร้องป่าวร้องผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เชิญชวนให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน นิสิต นักศึกษา นักเรียน ที่ไม่ได้กลับภูมิลำเนา ไปลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า การันตีการใช้สิทธิเลือกตั้งความหวังค่ายส้มอยู่ที่คนแห่ใช้สิทธิเยอะๆ คะแนนเลือกตั้งนอกเขตมาเติมหน่วยไกลปืนเที่ยงที่แน่ๆในห้วงระยะเวลาสั้นๆที่จะต้องหย่อนบัตรเลือกตั้งล่วงหน้ากันในวันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ ก่อนหย่อนบัตรเลือกตั้งใหญ่ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ต้นปีหน้ามันไม่น่าจะมีเวลาให้ป้อมค่ายต่างๆงัดทีเด็ดมาแซงโค้งสุดท้ายปัจจัยพลิกผันแบบฟ้าถล่มดินทลายที่อาจทำให้หลุดโค้งแหกโค้ง ก็มีแค่เสียงระเบิดตูมตามแนวรบชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบในรุ่นเราเค้าลางจะลามเข้าเนื้อลึก เป็นเชื้อ “โรคเริม” เรื้อรังจังหวะแบบที่แนวรบอีสานซาไปไม่กี่ชั่วโมง ควันระเบิดโขมงก็มาปะทะตูมตามด้านจังหวัดสระแก้ว และแนวชายแดนด้านจังหวัดตราด เขมรยังลอบกัดได้ทุกขณะและนั่นก็ส่งบทเด่นให้ “พระเอกชาตินิยม” ได้เหลี่ยมกวาดแต้มต่อตามฟอร์มที่ “นายกฯหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศกร้าวต่อหน้ากองเชียร์ผู้รักชาติที่จัดเต็ม “ชุดนักรบโบราณบ้านบางระจัน” บุกอวยถึงที่ทำการค่ายภูมิใจไทย ยืนกรานไม่เจรจา ไม่หยุดถล่มจนกว่า “แก๊งจิ้งจอกฮุน เซน” จอมซ่า จะหมอบราบคาบคาบาทาพร้อมๆกับการเดินสายร่วมงานศพทหารกล้าที่พลีชีพรักษาแผ่นดินไทย ในอาการอินน้ำตาคลอกับการสูญเสียของครอบครัว อุ้มทายาทตัวน้อยๆของทหารมากอด รับปากดูแลสิทธิการช่วยเหลือไม่เว้นแม้แต่นั่งระบายสีเล่นเป็นเพื่อนกับเด็กในศูนย์อพยพ“นายกฯหนู” เล่นได้เนียนตามบทผู้นำภาวะสงคราม อ่อนโยนต่อทายาททหารหาญ แข็งกร้าวใส่ “ฮุน เซน” ตามน้ำยุทธการกองทัพไทยไล่ถล่มตึกกาสิโน ทำลายรังโจรสแกมเมอร์เขมรแต่ที่ยังเป็นเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ ก็คือการ “ตัดเส้นเลือด” แก๊งโจรไซเบอร์กัมพูชาที่โยงมาเชื่อม “สายสะดือ” บิ๊กการเมือง นักธุรกิจในไทย ผ่านเจ้าพ่อสแกมเมอร์โลกอย่าง “เบน สมิท–ยิม เลียก” ที่หลักฐานประจักษ์ชัดถึงขั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ไล่บี้อายัดทรัพย์ขยับทำลาย “จุดตาย” จิ้งจอกฮุน เซน ที่อาจลามทำให้ก๊วนการเมืองขาใหญ่ในกรุงเทพฯโคม่า“รัฐบาลภูมิใจไทย” ที่คุยฟุ้ง “พูดแล้วทำ” ทำไมยังยึกๆยักๆชอบกล.ทีมข่าวการเมืองคลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม