ตั้งแต่รัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกรัฐบาลเผด็จการทหารปฏิวัติมาในปี 2557 หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดถึงแผนการบริหารจัดการน้ำเพื่อแก้ปัญหาน้ำแล้งน้ำท่วมของ ในหลวง ร.9 ที่ทรงศึกษาและจัดทำเป็นแผนการดำเนินงานเป็นขั้นเป็นตอนไว้อย่างละเอียดในหลายวิธีนับแต่การสร้างเขื่อน แก้มลิง ไปจนถึงวิธีการทดน้ำเพื่อชะลอความเร็วของน้ำตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง และการมองหาพื้นที่เพื่อใช้ในการกักเก็บน้ำในยามน้ำหลาก น้ำหนุน หรือยามที่มีพายุซัดเข้ามาติดๆกันหลายลูกแผนนี้เวลานี้ไม่ทราบหายไปไหน หรือถูกเก็บใส่ลิ้นชักไปไว้ที่ใด ในขณะที่สภาพภูมิอากาศแปรปรวนอย่างหนักเพราะ Climate Change ประเทศไทยกลับไม่มีโครงสร้างพื้นฐานใดๆ รองรับเรื่องนี้เท่าที่ได้ยินบ่อยๆจากรัฐบาล ผู้เกี่ยวข้อง หรือแม้แต่พวกวิศวกร คือ ให้เลิกพูดถึง “เขื่อน” ไปได้เลย ถามว่าทำไม คำตอบที่ได้คือเพราะมีแต่คนคัดค้าน NGO ในประเทศไทยไม่มีทางยอม เนื่องจากเขื่อนทำให้หลายชีวิตเดือดร้อน และระบบนิเวศต้องเปลี่ยนแปลงอย่างมากแต่ไม่มีใครบอกเลยว่าจะช่วยชาวบ้านจำนวนมากไม่ให้ถูกน้ำท่วมได้อย่างไร ที่สำคัญกับประเทศอีกเรื่องก็คือ ไม่มีใครสนใจเลยว่าโบราณสถานที่มีอายุเป็นร้อยๆปีถูกปล่อยให้น้ำท่วมไปด้วยได้อย่างไร?ที่หนักหนาสาหัสก็คือ นับวันชาวบ้านในพื้นที่น้ำท่วม อย่างอยุธยา อ่างทอง นครสวรรค์ สุโขทัย ลพบุรี ยิ่งนานวันยิ่งต้องทนอยู่กับน้ำท่วมปีละมากกว่า 6 เดือน คิดกันบ้างไหมว่า พวกเขาจะอยู่อย่างไรมิสไฟน์ เพิ่งจะได้ยิน รองนายกฯและ รมว.คลัง ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ แถลงเมื่อสัปดาห์ก่อนว่ารัฐบาลกำลังพิจารณาสร้าง “เขื่อน” บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากอย่างยั่งยืน และชี้ว่าถ้ารวมหนี้จากการเเยียวยาน้ำท่วมหลายปี อาจเทียบได้กับงบประมาณสร้างเขื่อนแล้วงบเยียวยาน้ำท่วมปีละหลายหมื่นล้านบาท จะเห็นว่า สูญสลายละลายไปกับน้ำในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะปีนี้ มีพนังกั้นน้ำจำนวนมากพัง ขนาดน้ำท่วมทุกปี เคยผจญกับสภาพน้ำหนุนน้ำหลากและพายุมาก็มากแต่เจ้าหน้าที่กลับเอาไม่อยู่ ต้องไปตั้งพนังกั้นน้ำกันใหม่ ซึ่งยากแล้ว น้ำท่วมเข้าพื้นที่หมดแล้ว หนำซ้ำยังมีฟันหลอจากเขื่อนกั้นน้ำตลอดแนวแม่น้ำเจ้าพระยาที่รุกล้ำออกไป และไม่ยอมให้สร้างเขื่อนเป็นคันก้ันน้ำด้วย ทีนี้จะเหลืออะไร โดยเฉพาะจังหวัดในปริมณฑล กทม.ซึ่งยังไม่มีการสร้างคันกั้นน้ำก็ดีใจจริงๆที่ได้ยิน ดร.เอกนิติแถลงออกมาเช่นนี้ การสร้างเขื่อนที่ว่านี้ถือเป็นโครงสร้างสาธารณูปโภคสำคัญของประเทศที่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งให้แก่ชาวบ้าน และเกษตรกรของประเทศได้อย่างยั่งยืนถ้าให้ดี ดร.เอกนิติควรไปขอแผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของในหลวง ร.9 มาใช้เป็นหลัก เพราะทรงพระราชดำริไว้หลายวิธี ทรงศึกษาและคิดไว้ให้เสร็จในหลายพื้นที่ที่น่าจะใช้เป็นแก้มลิง และพื้นที่รองรับน้ำได้ เรียกว่า ละเอียดยิบในเวลาเดียวกันก็จำเป็นต้องไปขอศึกษาวิธีบริหารจัดการการแก้ปัญหาน้ำท่วมทั้งระบบกับประเทศที่จัดการกับปัญหานี้ได้อย่างดี เช่น ญี่ปุ่น และจีน เพื่อให้เห็นภาพว่าทำอะไรได้/ไม่ได้บ้างในไทย และต่างจากประเทศอื่นอย่างไร?จะได้ยกเลิกระบบการจัดการน้ำแบบเก่า กับระบบอัตโนมือของการปล่อยน้ำจากเขื่อนของกรมชลประทานเสียที!มิสไฟน์คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม