รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล เห็นชอบในการวางกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2570 เอาไว้จำนวนประมาณ 3.8 ล้านล้านบาท ก็ยังเป็นงบประมาณแบบขาดดุลเหมือนกับทุกปี ในที่ประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจ ได้มีการตั้ง AMC ขึ้นมาแก้หนี้เสีย หรือ NPL ในเฟสแรก จำนวน 6.2 หมื่นล้าน 2.3 ล้านบัญชี โดยผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทสินทรัพย์ หรือ AMC (Asset Management Company) ในการเข้าไปรับซื้อหนี้เสียที่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อราย มีเป้าหมายที่ 3.4 ล้านราย หรือ 4.76 ล้านบัญชี ให้เหตุผลว่าเป็นการช่วยเหลือประชาชนในการแก้ไขปัญหาหนี้สิน และจะมีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมต่อไป รวมทั้งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการเข้าไปแก้ปัญหาหนี้สินของประชาชน ทั้งในระบบและนอกระบบ เคยทำกันมาหลายรัฐบาล แต่ผลออกมาไม่ต่างจาก คลื่นกระทบฝั่ง การทุ่มเทงบประมาณหรือการบริหารจัดการหนี้ของภาคประชาชนในทางกลับกันก็จะเป็นการเพิ่มภาระหนี้สินของภาครัฐ เพราะการที่รัฐเข้าไปแบกรับภาระหนี้สินดังกล่าวเอาไว้ นอกจากจะสร้างวินัยทางการเงินการคลังที่ผิดๆให้กับประชาชน แล้วยังเป็นการใช้งบประมาณที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้แต่กลับมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ผู้ที่ได้ประโยชน์จริงๆ ก็คือคนที่ เข้ามาบริหารจัดการ ในเรื่องนี้ และ สถาบันการเงิน ที่จะลดภาระหนี้เสียและทำให้เครดิตของสถาบันการเงินดีขึ้น ในขณะที่ประชาชนก็จะมีความรู้สึกว่า ไม่ว่าจะมีหนี้สินมากแค่ไหน ก็ไม่ต้องรับผิดชอบเพราะคิดว่าในที่สุดแล้วรัฐก็ต้องเข้ามาบริหารจัดการ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ซึ่งเป็นการสร้างพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมให้กับประชาชน หรืออย่างโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นโครงการคนละครึ่ง หรือการแจกเงินดิจิทัล ก็ไม่ได้ช่วยทำให้สถานะของประชาชนดีขึ้นหรือทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น นอกจากประชาชนที่ต้องควักเงินในกระเป๋าตัวเองครึ่งหนึ่ง รัฐจ่ายให้ครึ่งหนึ่ง สุดท้ายเม็ดเงินเหล่านี้ ก็จะไปเข้ากระเป๋าผู้ประกอบการ ร้านค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ ซึ่งไม่มีผลต่อการเพิ่มรายได้ของลูกจ้างและแรงงานแต่อย่างใดสุดท้ายเมื่อประชาชนทั่วไปรายได้เท่าเดิม หรือลดลงกว่าเดิม รายรับไม่พอรายจ่าย ก็ต้องกลับไปเป็นหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบอยู่ดี เพราะงบประมาณทั้งหมดแค่ผ่านมือชาวบ้านไปยังผู้ประกอบการหรือนายทุนเท่านั้น สรุปว่า รัฐและประชาชนต้องช่วยกันแบกรับภาระหนี้กันต่อไปที่ประชุมเอเปก 21 เขตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ได้มีการเปิดเผยรายงานการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 3.1% ในปีนี้ ในปี 2569 คาดจะลดลงอยู่ที่ 2.9% เนื่องจากปัจจัยหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น การค้าอ่อนแอลง และปัจจัยการกระตุ้นลดลง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกและการสะสมสินค้าคงคลัง ในการรับมือกับข้อจำกัดทางการค้า สำนักงานเศรษฐกิจการคลังคาดการณ์ว่า จีดีพีปีนี้จะเพิ่มจาก 2.2% เป็น 2.4% แต่ปีหน้าเหลือ 2%การแก้ปัญหาเศรษฐกิจควรอยู่บนสมมติฐานที่ถูกต้องโดยไม่มีนัยสำคัญด้านประชานิยม.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.thคลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม