การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับ 10 ของกระทรวงมหาดไทย จำนวน 45 ตำแหน่ง ที่ ครม.มีมติเห็นชอบเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เป็นไปตามที่คุณอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย ส่งสัญญาณล่วงหน้าว่าจะยึดหลักคืนความเป็นธรรมให้กับข้าราชการที่อาจถูกกลั่นแกล้ง (จากการแต่งตั้งโยกย้ายในช่วงที่พรรคเพื่อไทยยึดโควตามหาดไทยจากพรรคภูมิใจไทยในสมัยรัฐบาลแพทองธาร) ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่าเป็นการคืนความเป็นธรรมให้กับใครกันแน่ หรือว่าเป็นการโยกย้ายเพื่อหวังผลทางการเมือง มีความเหมาะสมใช้คนถูกกับงานหรือไม่ตำแหน่งที่ถูกพูดถึงมากเช่น คุณนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง มาเป็น อธิบดีกรมการปกครอง ทั้งๆที่ อาวุโสน้อยสุด ในบรรดาอธิบดีลอตนี้ แต่ด้วยความเป็นศิษย์สายตรงครูใหญ่บุรีรัมย์ เลยได้ผงาดขึ้นมาเป็นอธิบดีกรมใหญ่ที่สุด คุมนายอำเภอทั่วประเทศ สามารถสร้างความได้เปรียบในการเลือกตั้งคุณพรพจน์ เพ็ญพาส รอง ปลัดมหาดไทย กลับมาเป็น อธิบดี กรมที่ดิน อีกครั้ง หลังจากขอย้ายตัวเองเพื่อหนีแรงกดดันจากการเพิกถอนที่ดินเขากระโดงในยุคที่ คุณภูมิธรรม เวชยชัย เป็น รมว.มหาดไทย การกลับกรมที่ดินครั้งนี้ไม่เพียงได้มาคุมเกมเขากระโดง ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ว่า ถ้าภักดีกับค่ายสีน้ำเงินก็จะได้รับการปกป้องคุณสยาม ศิริมงคล ผวจ.สมุทรปราการ กลับมาเป็น อธิบดีกรม การพัฒนาชุมชน กรมที่มีเม็ดเงินมากและเข้าถึงชาวบ้านทุกหัวระแหง คุณสยามได้ชื่อว่าเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงของมหาดไทย มีผู้หลักผู้ใหญ่เกื้อหนุนค้ำชู แต่ถ้าเปรียบเทียบกับ คุณสุรศักดิ์ อักษรกุล ที่เพิ่งเป็นอธิบดีได้แค่ 14 วันแล้วโดนเด้งกลับไปเป็น ผวจ.หนองบัวลำภู ต้องถือว่าคุณสุรศักดิ์เหมาะสมกว่า แม้ไม่ได้เป็นสิงห์ดำ สิงห์แดง หรือสิงห์สีใดๆทั้งสิ้น แต่เป็นลูกหม้อกรมการพัฒนาชุมชนตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตรับราชการ เข้าใจทุกสายงานทุกองคาพยพเป็นอย่างดี น่าจะขับเคลื่อนงานเศรษฐกิจฐานรากได้คล่องกว่าหากมองในแง่คืนความเป็นธรรม ก็มีคำถามว่าทำไม คืนไม่ครบ อย่างกรณี คุณภาสกร บุญญลักษม์ ผวจ.ระยอง ควรให้กลับไปเป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ไม่ใช่โยกไปเป็น รองปลัดมหาดไทย หรือกรณีของ คุณรัฐศาสตร์ ชิดชู ผวจ.กระบี่ แทนที่จะให้กลับไปเป็น ผวจ.พัทลุง ก็ดันขยับให้เป็น ผวจ.สงขลาย้อนไปดูช่วงที่คุณอนุทินเป็น รมว.มหาดไทย ทั้งในสมัยรัฐบาลเศรษฐา และรัฐบาลแพทองธาร ช่วงระยะเวลา 1 ปี 9 เดือน มีการโยกย้ายข้าราชการระดับ 9-10 ถึงสิบกว่าคำสั่ง จำนวนกว่า 900 คน ปูพรมสีน้ำเงินเต็มพื้นที่ และมีข่าวรอง ผวจ.หลายคนได้ขึ้นเป็น ผวจ. โดยมีเงื่อนไขต้องยอมให้ฝ่ายการเมืองสั่งซ้ายหันขวาหันตามใจชอบยุคที่สีน้ำเงินเรืองอำนาจในกระทรวงคลองหลอด เป็นยุคที่มี ผวจ.ฟาสต์แทร็ก มากที่สุด เป็นรอง ผวจ.แค่ปีเดียวก็พาสชั้นแซงเพื่อนขึ้นเป็น ผวจ. แม้ตามระเบียบ ก.พ.เปิดช่องให้ข้าราชการที่เป็นซี 9 เพียง 1 ปี สามารถสอบขึ้นซี 10 ได้ แต่ตามธรรมเนียมปฏิบัติในการแต่งตั้ง ผวจ. ควรเป็นรอง ผวจ.อย่างน้อย 3 ปีสิ่งที่ต้องจับตาคือ โผโยกย้ายลอตถัดไป ที่ดันรอง ผวจ.ขึ้นมาเป็น ผวจ. จะมีรอง ผวจ.ฟาสต์แทร็กกี่คน ไปลงจังหวัดไหนบ้าง เพื่อเตรียมพร้อมการเลือกตั้งต้นปีหน้าไม่แปลกหรอกที่ฝ่ายการเมืองจะหยิบคนใกล้ชิด ไว้ใจได้ควบคุมได้ มาสนองการทำงาน แต่การแต่งตั้งโยกย้ายย่อมต้องคำนึงถึง ความเหมาะสม และ หลักคุณธรรม ด้วยข้าราชการมีเกียรติยศศักดิ์ศรี ถ้าเพิ่งมารับตำแหน่งไม่ถึงเดือนก็โดนย้ายเสียแล้ว ความเชื่อมั่นของระบบราชการและความต่อเนื่องของงานจะมีได้อย่างไรหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าถ้าพรรคภูมิใจไทยไม่ได้เป็นรัฐบาล ไม่ได้คุมกระทรวงมหาดไทย ผมเกรงว่าจะมีรายการคืนความเป็นธรรมเช่นกัน แล้วคิดถึงชาวบ้านบ้างไหมครับว่าจะได้ประโยชน์อะไรจากการแต่งตั้งโยกย้ายแบบนี้.ลมกรดคลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม