“สิ่งสำคัญที่เราต้องจดจำคือ เทศกาลดนตรีโนวา ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองมิตรภาพ สันติภาพ และเสรีภาพ ได้กลับกลายเป็นสถานที่แห่งความสะเทือนขวัญ เป็นพื้นที่ของการสังหารหมู่ที่จุดชนวนให้เกิดสงครามในฉนวนกาซาในปัจจุบัน”อโลนา ฟิชเชอร์–คัมม์ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ร่วมแสดงความเสียใจถึงเหตุโศกนาฏรรม 7 ต.ค.2566 ซึ่งมีวาระครบ 2 ปีเต็มเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างการเปิดงานจัดฉายภาพยนตร์สารคดี “We Will Dance Again” เพื่อรำลึกและสดุดีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์กลุ่มก่อการร้ายฮามาสเข้ามาโจมตีอิสราเอล“เทศกาลนี้เต็มไปด้วยคนหนุ่มสาวจากทั่วประเทศอิสราเอล ที่มารวมตัวกันเพื่อเต้นรำ ฉลองคุณค่าของชีวิต สันติภาพและมิตรภาพ ในสถานที่ที่ควรจะปลอดภัยและมีความสุข แต่แล้วในพริบตา ความฝันนั้นก็พังทลาย และโศกนาฏกรรมก็เริ่มต้นขึ้น”We Will Dance Again เป็นภาพยนตร์สารคดีที่สร้างขึ้นในปี 2567 เขียนบทและกำกับโดย ยาริฟ โมเซอร์ (Yariv Mozer) เป็นผลงานการสร้างร่วมกันระหว่างสหรัฐ อเมริกา (Paramount+) สหราชอาณาจักร (BBC) และอิสราเอล (Hot) และในปีนี้ได้รับรางวัล News and Documentary Emmy Award สาขาสารคดีเชิงเหตุการณ์ปัจจุบันยอดเยี่ยม เป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเทศกาลดนตรีโนวา ซึ่งเดิมเป็นงานเฉลิมฉลองดนตรี สันติภาพ และเสรีภาพ แต่กลับกลายเป็นสมรภูมิแห่งความตายในเหตุโจมตีของกลุ่มฮามาสถ่ายทอดคำให้การของผู้รอดชีวิตกว่า 20 คน ที่บอกเล่าเรื่องราวแห่งความกล้าหาญ มนุษยธรรม และวีรกรรม โดยมีการใช้ภาพจริงที่บันทึกจากโทรศัพท์มือถือของผู้เข้าร่วมงาน ในขณะที่วิ่งหนีหรือซ่อนตัวระหว่างการบุกโจมตีของกลุ่มฮามาส หลังแทรกซึมเข้ามาในดินแดนอิสราเอล และก่อเหตุโจมตีอย่างโหดเหี้ยมต่อพลเรือน ทั้งในบ้านเรือนและในงานเทศกาลดนตรีโนวา (Nova Music Festival) คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปมากกว่า 1,200 คนในจำนวนนั้นมีแรงงานชาวไทย 46 คนที่ถูกสังหาร เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการก่อการร้ายครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล และเป็นการสังหารหมู่พลเรือนครั้งเลวร้ายที่สุด และยังมีผู้ถูกจับไปเป็นตัวประกันรวม 255 คน ประกอบด้วย ชาย หญิง เด็ก ผู้สูงอายุ และทารก ในจำนวนนั้นมีชาวไทย 31 คนรวมอยู่ด้วย ปัจจุบันยังมีผู้ถูกคุมขังอยู่ในกาซา 48 คน รวมถึงร่างของแรงงานชาวไทยสองคนที่ถูกสังหารในเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลด.ตุ๊ ปากเกร็ดคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม