ขาขึ้น–ขาลง...โมเมนตัมการเมืองมันเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเยี่ยงนี้แล พรรคการเมืองบางพรรคก็มีขึ้นมีลงไม่ต่างไปจากน้ำ ยามที่ตกต่ำก็ต้องทำใจหาทางเอาตัวรอดให้ได้ อยู่ที่ว่าจะรักษาเอาไว้ได้ขนาดไหนบางพรรคน้ำขึ้นก็ต้องรีบตัก เพราะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้อง ไขว่คว้าให้ได้มากสุดก็เป็นอย่างนี้ ไม่ว่าการเมือง หรือการมุ้ง ในสภาพความเป็นไป“เพื่อไทย” ต้องยอมรับความจริงว่าวันนี้ไม่ใช่ “ยุคทอง” หลังจาก “พ่อ-ลูก” ทำจนเสียหายยับเยินจนตกต่ำสุดขีด“พ่อ” ก็ต้องติดคุก!“ลูก” ก็มิอาจอยู่ในตำแหน่งสูงสุดได้ เนื่องจากทำตัวเองแท้ๆก็ไม่แปลกที่ “เพื่อไทย” จะต้องคิดและทบทวนบทบาทกันใหม่ มาในรูปแบบ “ยกเครื่อง” เอาแค่ในพรรคก็พอฟัง แต่อย่า เอื้อมไปถึงยกเครื่อง “ประเทศ” เพราะมันแสลงหูชอบกลอยู่“แพทองธาร ชินวัตร” ในฐานะหัวหน้าพรรคที่ต้องรับบท ผู้จัดการมรดกตกทอดอย่างหน้าชื่นอกตรมแทน “พ่อ” เริ่มต้นก็ดูกระฉับกระเฉงดีกว่าตอนที่ “พ่อ” ครอบงำอยู่ประกาศบอกว่า “เพื่อไทย” ไม่มีวัน “สูญพันธุ์” แน่ เพราะ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เป็นไปนานแล้ว แต่ยังดำรงอยู่ได้ก็เพราะมี “ผลงาน” ที่ทำให้ประชาชนพอใจการเลือกตั้งครั้งต่อไปจึงมีความสำคัญมาก จึงต้องเตรียมพร้อม “สู้” ทุกรูปแบบ โดยตั้ง “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งเริ่มต้นก็คุยข่มเลยว่า “เพื่อไทย” จะได้ 200 เสียง อ้างถึงความตกต่ำของพรรคประชาชนที่จะไม่ได้ สส.มากเท่าที่ได้มานอกจากนั้น ก็จะมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 คน เหมือนที่ผ่านมาแต่ขอ “อุบไต๋” ไว้ก่อนเปิดตอนนี้เกรงว่าจะไม่ตื่นเต้นทว่า ดูจากสภาพที่เป็นจริงแล้ว 200 เสียงนั้นไม่ใช่น้อยเพราะแค่เริ่มต้นก็เปิดตัวผู้สมัครได้แค่ 185 คน ที่ผสมผสานทั้งบรรดาผู้อาวุโสและคนรุ่นใหม่เพราะมีความจำเป็นที่จะต้องชนะทุกเขตที่ส่งผู้สมัครจึงจำเป็น ต้องใช้ผู้อาวุโสที่เสียงดีเอาชัวร์ไว้ก่อนก็ต้องว่ากันไปตามฟอร์มแบบนี้!เพราะเรื่อง “นโยบาย” ที่เป็นจุดเด่นของพรรคมาตลอด คราวนี้คงขายไม่ออกแล้ว เพราะ 2 ปีที่เป็นรัฐบาลไม่สามารถทำตามที่ประกาศเอาไว้แม้แต่ “ดิจิทัลวอลเล็ต” แจกหัวละหมื่นที่หวังผลเต็มที่ก็ไปไม่ถึงฝั่ง แตกได้ไม่ครบและกระท่อนกระแท่นไม่ได้เนื้อได้หนังพูดง่ายๆว่าไม่มีใครเชื่อขายไม่ออกแล้ว!ต่างกับ “ภูมิใจไทย” พรรคสีน้ำเงิน ที่กำลังเป็นแม่เหล็กดูดนักการเมืองจากค่ายต่างๆเข้ามาโดยไม่ต้องออกแรงมากนักเนื่องจากกำลังเนื้อหอมใครๆก็อยากชื่นชมอยากโดยสารไปด้วย“อนุทิน ชาญวีรกูล” วันนี้กับ “แพทองธาร” จึงแตกต่างกันมากในบริบทการเมือง คนหนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีที่บารมีกำลังแก่กล้าอีกคนเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ก็กำลัง “อกหัก” แค่รักษาพรรคยังเป็นเรื่องยากไม่น่าเชื่อว่า 2 คนนั้นที่เคยเป็นคู่มิตรทางการเมืองกันเป็น อย่างดี แต่วันนี้ต้องกลายเป็นคู่แข่งทางการเมืองที่ต้องฟาดฟันกัน อย่างเต็มที่การเมืองนั้นเขาว่าอย่าให้ “จนตรอก” ไม่ต่างกับ “สุนัข” พึงจำเอาไว้อย่าทำให้อีกฝ่ายเคืองขุ่นเจ็บช้ำน้ำใจเพราะทุกคนล้วนมีเวลามีโอกาสที่จะแก้ตัวได้อย่าลำพองใจเมื่อยามที่เหนือกว่า!“สายล่อฟ้า”คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม