เกาะติด “ทักษิณ” นอนเรือนจำคืนแรก พบ ปรับตัวได้ดี รับประทานอาหารได้ครบ ยังไม่ร้องขอสิ่งใดเป็นพิเศษ ชี้มีสิทธิได้รับพักโทษ กรณีพิเศษ เข้าเกณฑ์คุมขังนอกเรือนจำ มีสิทธิได้รับพระราชทานอภัยโทษ ป.ป.ช.ขอคัดคำสั่งฉบับเต็ม จ่อขยายผลเพิ่มเอาผิด “ทักษิณ” “ภูมิธรรม-ทวี” อยู่ในข่าย “เอม-อ้วน” ยก วีรบุรุษประชาธิปไตย ประกาศยกเครื่อง พท.สู่เลือกตั้ง “อนุทิน” เรียก “เอกนิติ-ศุภจี” หารือ ลั่นทำงานเป็นทีมไม่มีขัดแข้งขัดขา “เอกนิติ” มุ่งฟื้นเศรษฐกิจยั่งยืน “ศุภจี” บอกแม้มีเวลาสั้นแต่จะทำให้ได้ “หนู” เอาแน่รื้อโผมหาดไทยใหม่ ศาลรัฐธรรมนูญดับฝันประชาชนไม่อาจเลือก ส.ส.ร.โดยตรงมายกร่างรัฐธรรมนูญ ชี้ต้องทำประชามติ 3 ครั้ง แต่อาจรวบเหลือ 2 ครั้งได้ นายกฯขอหารือ สส.ก่อน “เท้ง” จี้รัฐบาลยื่นแก้หมวด 15 ขู่บิดพลิ้วเอ็มโอเอ เจอกัน “นิกร” แนะเลือก ส.ส.ร.ทางอ้อมแบบปี 40สื่อมวลชนเกาะติดการนอนเรือนจำคืนแรกของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังศาลฎีกาฯมีคำสั่งบังคับโทษ 1 ปี ในคดีชั้น 14 สามารถนอนหลับได้ ปรับตัวได้ดี รับประทานอาหารได้ครบ ยังไม่ร้องขอสิ่งใดเป็นพิเศษ ขณะที่ ป.ป.ช.ขอคัดคำพิพากษาฉบับเต็มจ่อขยายผลเอาผิดผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มเติมสื่อเกาะติด “ทักษิณ” นอนเรือนจำเมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 10 ก.ย. บรรยากาศหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ผู้สื่อข่าวจากหลายสำนักยังคงมาปักหลักติดตามรายงานข่าวการนอนเรือนจำคืนแรกของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และการเยี่ยมของทนายความ โดยเรือนจำกลางคลองเปรม เป็น 1 ใน 5 แห่งเรือนจำความมั่นคงสูงของไทย มีรายงานว่าสาเหตุที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ต้องย้ายนายทักษิณไปคุมขังที่เรือนจำกลางคลองเปรม เนื่องจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครถูกกำหนดให้เป็นเรือนจำสำหรับรองรับการควบคุมผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี (Hub) ทุกประเภท ทำให้เรือนจำต้องย้ายผู้ต้องขังที่คดีเด็ดขาดแล้วไปควบคุมยังเรือนจำทัณฑสถานต่างๆ ทราบว่าทุกวันนี้เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครคุมขังนักโทษเด็ดขาดเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี อีกทั้งนายทักษิณคือผู้ต้องขังที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด เป็นนักโทษเด็ดขาดแล้ว ต้องย้ายไปคุมขังที่เรือนจำกลางคลองเปรมแทนต้องระวังนักโทษกลุ่มที่เห็นต่างสำหรับเรือนจำกลางคลองเปรมอยู่ติดกับทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ส่วนหนึ่งของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เป็นพื้นที่เรือนจำกลางคลองเปรมเก่า สามารถเคลื่อนย้ายผู้ต้องขังเจ็บป่วยเข้ารับการรักษาพยาบาลได้สะดวก กรณีเป็นผู้ต้องขังคดีรายสำคัญเช่นนี้ การเข้าไปคุมขังภายในเรือนจำต้องได้รับการดูแลความปลอดภัยสูงสุด โดยเฉพาะการมอบหมายให้ผู้ต้องขังที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยพนักงานเรือนจำฯ คอยดูแลและให้ความช่วยเหลือ ถือเป็นมาตรฐานสากล เพราะหากเกิดอันตรายใดขึ้นระหว่างอยู่ในเรือนจำจะเป็นปัญหาและอุปสรรคความรับผิดชอบที่ปฏิเสธไม่ได้ของเรือนจำที่คุมขังอยู่และหากมองเรื่องทางการเมืองต้องระวังในส่วนของคนที่ไม่ชอบด้วย ในเรือนจำกลางคลองเปรมมีผู้ต้องขังคดีทางการเมืองจำนวนหนึ่ง ทั้งพวกเดียวกันและคนละกลุ่มมีสิทธิได้รับพักโทษกรณีพิเศษนอกจากนี้เมื่อนายทักษิณครบกำหนดการกักโรคโควิด ต้องได้รับการพิจารณาจำแนกแยกแดน แดนขังที่มีความเป็นไปได้ อาทิ แดน 6 แดนแรกรับ ผู้ต้องขังป่วย ผู้ต้องขังชรา คุมขังผู้ต้องขังที่มีกำหนดโทษไม่เกิน 50 ปี หรือแดน 7 แดนการศึกษาและพัฒนาจิตใจ ส่วนกรณีโครงการพักการลงโทษนั้น เมื่อนายทักษิณได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี ตามหลักการต้องจำคุกมาแล้ว 1 ใน 2 จะเข้าโครงการพักโทษได้ ดังนั้นในกรณีของนายทักษิณ คือ 6 เดือน เมื่อรับโทษมาแล้ว 6 เดือน จะได้พักโทษกลับไปคุมประพฤติที่บ้านตามขั้นตอน แต่ด้วยนายทักษิณมีอายุ 76 ปี มีสิทธิเข้าโครงการพักการลงโทษกรณีเหตุพิเศษได้ แต่ต้องรับโทษตามเงื่อนไขที่กำหนดก่อนเข้าเกณฑ์คุมขังนอกเรือนจำทั้งนี้ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำ หรือระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง กำหนดคุณสมบัติผู้ต้องขังที่จะเข้าเกณฑ์ได้รับการพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นเหลือโทษต่ำกว่า 4 ปี มีอัตราโทษต่ำกว่า 4 ปี เป็นการรับโทษจำคุกครั้งแรกเป็นต้น มีสิทธิได้รับการพิจารณาไปคุมขังนอกเรือนจำ กรณีนายทักษิณหากดูคุณสมบัติที่มีโทษจำคุกตามคำสั่งศาลฎีกาฯ บังคับโทษ 1 ปี ถือว่าเข้าเกณฑ์ แต่ระเบียบดังกล่าวยังติดขัดปัญหาการจัดสรรงบจัดหากำไล EM และยังไม่นำร่องใช้กับเรือนจำใด ผู้ต้องขังใด เพราะมีผู้ต้องขังทั่วประเทศเข้าข่ายหลักหมื่นราย หากเรือนจำใดพิจารณาคัดกรองรายชื่อเรียบร้อยแล้ว ต้องถูกนำเสนอไปยังชั้นของกรมราชทัณฑ์มีรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์เป็นประธานพิจารณา ทั้งนี้ ทราบว่ากรมราชทัณฑ์จะได้รับงบประมาณเกี่ยวกับกำไล EM ในปี 2568 ที่ปัจจุบันยังไม่เพียงพอกับจำนวนคนที่ต้องออกไปคุมขังนอกเรือนจำมีสิทธิได้รับพระราชทานอภัยโทษผู้สื่อข่าวรายงานข่าวว่า แม้นายทักษิณจะเหลือโทษจำคุก 1 ปี แต่ระหว่างที่คุมขังอยู่นั้น หากมีพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไป ถือว่ามีสิทธิได้รับเกณฑ์พิจารณาเช่นเดียวกัน ต้องรอดูรายละเอียดในกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษนั้นด้วย การเข้าเรือนจำครั้งแรก นายทักษิณจะได้รับการจัดลำดับชั้นเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นกลางก่อน และทุกๆ 6 เดือน เรือนจำจะปรับเลื่อนชั้นผู้ต้องขัง นอกจากนี้นายทักษิณถือเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ทางเรือนจำ อาจจะแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยในงานด้านต่างๆ เพื่อช่วยเหลืองานในเรือนจำได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ช่วยฝ่ายบรรณารักษ์ ห้องสมุด ผู้ช่วยงานสถานพยาบาล เพราะได้ภาษาอังกฤษ เป็นต้น“วิญญัติ” ยังไม่สะดวกเข้าเยี่ยมระหว่างกระบวนการกักโรคโควิด-19 ระยะเวลา 5 วัน (9-13 ก.ย.) ผู้ต้องขังจะสามารถเยี่ยมได้พบทนายความ แต่เมื่อครบระยะเวลากักโรคแล้วญาติ จึงสามารถเยี่ยมญาติได้ ต้องเป็นญาติที่ถูกระบุอยู่ในบัญชีรายชื่อการเยี่ยมญาติ 10 รายชื่อ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ภายหลังครบ 30 วัน ส่วนเรื่องการฝากเงินเข้าบัญชีเงินฝากผู้ต้องขัง เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายซื้อของอุปโภคบริโภคระหว่างอยู่ในเรือนจำ จำนวนเงินสูงสุดที่สามารถฝากเงินได้ไม่เกิน 15,000 บาท และผู้ต้องขังสามารถใช้เงินได้วันละ 500 บาท ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความประจำตัวนายทักษิณกล่าวว่า ยังไม่สะดวก ยังไม่มีกำหนดเข้าไปยังเรือนจำ แต่มีรถตู้ยี่ห้อ Mercedes-Benz สีเทา ทะเบียน ธห 1155 กรุงเทพมหานคร เป็นรถตู้ของครอบครัวชินวัตร เลี้ยวเข้ามาบริเวณภายในวงเวียนเรือนจำกลางคลองเปรม แต่ไม่พบว่ามีบุคคลโดยสารมาด้วย ผู้สื่อข่าวพยายามติดต่อสอบถามไปยัง พ.ต.ท.เชน กาญจนาปัจจ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ โฆษกกรมราชทัณฑ์ และนางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผบ.เรือนจำจังหวัดนนทบุรี รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เพื่อสอบถามเรื่องสุขภาพร่างกายสุขภาพจิตใจของนายทักษิณ และอาการนอนเรือนจำคืนแรก รวมถึงการรับประทานอาหารว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับจากทั้งคู่นอนกักโรคคืนแรกหลับสบายดีมีรายงานจากกรมราชทัณฑ์ว่า นายทักษิณที่อยู่ระหว่างการกักโรคโควิด-19 ระยะเวลา 5 วัน ภายในเรือนจำกลางคลองเปรม การนอนห้องกักโรคคืนแรกพบว่าสามารถนอนหลับได้ ปรับตัวได้ดี ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เรือนจำ รับประทานอาหาร ได้ครบ ยังไม่ร้องขอสิ่งใดเป็นพิเศษ ส่วนเรื่องกระบวนการแรกรับผู้ต้องขังเข้าใหม่ แม้จะเป็นการย้ายการคุมขังออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มายังเรือนจำกลางคลองเปรม แต่เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามกระบวนการครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพร่างกาย โรคประจำตัว การใช้ยารักษาโรค ดูเรื่องสุขภาพจิตใจ พบว่าโดยรวมเป็นไปในทิศทางที่ดีป.ป.ช.ขอคัดคำพิพากษาฉบับเต็มช่วงบ่ายที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายภูเทพ ทวีโชติธนากุล รองเลขาธิการ ป.ป.ช. และรองโฆษกป.ป.ช. กล่าวถึงการพิจารณาเอาผิด 12 เจ้าหน้าที่รัฐที่ถูก ป.ป.ช.ไต่สวนคดีเอื้อประโยชน์นายทักษิณได้รับการรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสั่งบังคับโทษจำคุก 1 ปี นายทักษิณ คดีป่วยทิพย์ว่า คำสั่งศาลฎีกาฯที่ออกมาเป็นเพียงฉบับย่อ ป.ป.ช.ต้องทำเรื่องถึงศาลฎีกาฯ เพื่อขอคำพิพากษาฉบับเต็ม และขอเอกสารหลักฐานอื่น เช่น ความเห็นแพทยสภาที่ ป.ป.ช.ยังไม่เคยได้ข้อมูลส่วนนี้ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในชั้นองค์คณะไต่สวนให้ได้ข้อมูลข้อเท็จจริงครบถ้วนที่สุด รวมถึงดูว่าพยาน 31 ปากที่มาให้การต่อศาลฎีกาฯ มีพยานปากใดที่ ป.ป.ช.เรียกมาแล้วบ้าง และข้อมูลที่ให้การต่อ ป.ป.ช. ตรงกับที่ให้การต่อศาลหรือไม่ คาดว่าใช้เวลา 5-7 วันจ่อขยายผลเพิ่มเอาผิด “ทักษิณ”ผู้สื่อข่าวถามว่า ป.ป.ช.จะขยายผลเอาผิดเพิ่มเติมไปถึงนายทักษิณหรือไม่ กรณีร่วมสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิด นายภูเทพตอบว่า สำนวนที่ ป.ป.ช.ตั้งองค์คณะไต่สวนเกี่ยวข้องเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ 12 คน กรณีไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.กรมราชทัณฑ์ และกฎการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาพยาบาล แต่ต้องนำคำสั่งศาลฎีกาฯมาพิจารณาประกอบว่า มีผู้เกี่ยวข้องมากกว่า 12 คนหรือไม่ เพราะในคำสั่งศาลระบุว่านายทักษิณได้ประโยชน์จากการรักษาตัวในโรงพยาบาล ดังนั้น ป.ป.ช.ต้องมาดูว่าสิ่งที่นายทักษิณได้รับการพักโทษอยู่ในโรงพยาบาล เป็นผลจากข้อกฎหมาย หรือเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนร่วมรู้เห็นด้วย การขยายผลของ ป.ป.ช.ไม่ได้เจาะจงเฉพาะนายทักษิณคนเดียว แต่รวมถึงบุคคลอื่นที่เป็นภาคเอกชน ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ต้องมาพิจารณามีใครเกี่ยวข้องบ้าง เป็นเรื่องที่อยู่ในกรอบอำนาจ ป.ป.ช.ดำเนินการได้ คำว่าผู้ถูกกล่าวหาของ ป.ป.ช. รวมถึงตัวการ ผู้ใช้ผู้สนับสนุนคือเอกชน ต้องดูว่ามีเอกชนคนใดมีส่วนเกี่ยวข้องสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือสนับสนุนให้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หรือไม่ อาจมีเจ้าหน้าที่เพิ่มเติม หรือมีเอกชนเพิ่มเติมก็เป็นไปได้“ภูมิธรรม–ทวี” อาจอยู่ในข่ายด้วยเมื่อถามว่าการไต่สวนของ ป.ป.ช. จะรวมถึงนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ ที่กำกับดูแลกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ด้วยหรือไม่ นายภูเทพตอบว่า หากได้ข้อมูลเพิ่มเติมทั้งในส่วนพยานที่ไปเบิกความศาล หรือที่ ป.ป.ช.สอบพยาน หากเชื่อมโยงถึงใคร ป.ป.ช.ตั้งไต่สวนเพิ่มเติมได้ ทั้งนักการเมืองหรือเอกชน ส่วนข้าราชการที่ ป.ป.ช.ตั้งไต่ส่วนไว้มีทั้งเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ ข้าราชการตำรวจที่มีตำแหน่งในโรงพยาบาลตำรวจ เป็นผู้บริหารสูงสุดของทั้ง 2 หน่วยงาน เมื่อถามว่า ป.ป.ช.มีข้อมูลเพิ่มเติมจากหน่วยงานไหนอีกหรือไม่ นายภูเทพตอบว่า มี แต่ไม่ขอเปิดเผย ป.ป.ช.ขอข้อมูลไปหลายหน่วยงานเผยอาจต้องขยายเวลาไต่สวนเมื่อถามว่า คำสั่งไต่สวนศาลมีความชัดเจนว่า นายทักษิณทำผิด จะทำให้สำนวนการไต่สวนของป.ป.ช.ต้องดำเนินการตามคำสั่งศาลหรือไม่ นายภูเทพตอบว่า ข้อเท็จจริงใดที่ในชั้น ป.ป.ช.ตรวจสอบแล้วตรงกับคำสั่งศาล ถือว่ามีความสมบูรณ์ ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม แต่หากข้อมูลใดที่ผู้ถูกกล่าวหาให้การในชั้น ป.ป.ช.ไม่ตรงกับในชั้นศาล ต้องมาพิจารณาดูเป็นเพราะเหตุใด ส่วนระยะเวลาการสรุปสำนวนคดีนี้ของ ป.ป.ช.จะใช้เวลานานแค่ไหนขึ้นอยู่กับองค์คณะไต่สวน แต่เรื่องนี้อยู่ในความสนใจของประชาชน ป.ป.ช.ต้องดำเนินการโดยเร็วอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามหากพบว่ามีผู้ทำผิดเพิ่มที่ต้องขยายผลเพิ่มเติม อาจต้องใช้เวลาเพิ่ม ที่ผ่านมา ป.ป.ช.สอบปากคำผู้เกี่ยวข้องในคดีไปแล้ว 20 ปาก เท่าที่ดูจากข้อมูลที่ ป.ป.ช.สอบมา และข้อมูลเพิ่มเติมจากศาล ถือว่ามีข้อมูลครอบคลุม“ภูมิธรรม” ยก “ทักษิณ” คือวีรบุรุษที่กระทรวงมหาดไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องไปเยี่ยมนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯแน่นอน เพราะท่านไม่ได้ทำอะไรผิดมาตั้งแต่ต้น จนถึงปัจจุบันท่านถูกกระทำโดยอำนาจการจัดการเข้าสู่การเป็นรัฐบาลนอกระบบ มองนายทักษิณเป็นนักสู้คนหนึ่งได้เห็นภาพนายทักษิณสวมชุดคอกลมสีฟ้าและดูเหมือนจะกล้อนผมด้วยรู้สึกสะเทือนใจ ท่านพิสูจน์ให้เห็นว่าถ้าจะหนีไปเลยก็ไปได้ เพราะอยู่นอกประเทศอยู่แล้วไม่ได้ลำบาก การตัดสินใจกลับมาถือว่าท่านเป็นคนที่รับผิดชอบต่อตัวเอง และประชาชนที่เคารพนับถือ ในสายตาตนนายทักษิณเป็นวีรบุรุษประชาธิปไตยคนหนึ่ง เมื่อถามว่าเรื่องนายทักษิณจะกระทบกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่า เป็นความรู้สึกต่างๆของผู้คน แต่เชื่อว่าคนที่เห็นใจและเข้าใจท่านมีเยอะอยู่ประกาศยกเครื่อง พท.สู่เลือกตั้งนายภูมิธรรมกล่าวอีกว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประกาศชัดเจนแล้วยังคงอยู่กับพรรค สมาชิกในพรรคคิดว่า น.ส.แพทองธารยังทำงานได้ พรรคเพื่อไทยยังคงอยู่ไม่ต้องกังวลจะมีงูเห่าไหลไป เส้นทางทางการเมืองทุกคนเลือกและตัดสินใจได้ ใครที่ยังอยู่ก็สู้กันไป ทำให้พรรคกลับมาเป็นที่นิยมเหมือนเดิม และให้มากยิ่งขึ้น ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยมีความพร้อมในหลายเรื่อง เพียงแต่ต้องทำให้เข้าระบบ ที่ผ่านมาตอนไปบริหารประเทศ หลายคนไม่มีโอกาสและไม่มีเวลาเข้าพรรค เป็นข้อบกพร่องที่เราสำนึกอยู่ว่าจะกลับไปทำงานชดเชย เราเตรียมตัวปรับปรุงพรรคและปฏิรูปพรรค กลับไปสร้างระบบให้ดี และเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งหวัง มท.1 ใหม่สานต่อเขากระโดงนายภูมิธรรมยังกล่าวถึงประเด็นคดีเขากระโดงว่า เจ้าหน้าที่ทำหน้าที่อยู่แล้ว หัวใจสำคัญคือเป็นที่หลวงชัดเจนเป็นอำนาจของอธิบดีกรมที่ดินที่จะสั่งให้ที่ดินเป็นของหลวงได้เลย แต่ต้องดำเนินการให้ถูกต้อง คาดว่าวันที่ 30 ก.ย.จะแล้วเสร็จว่ากันไปตามกฎหมาย ยืนยันทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมาย เมื่อถามว่า จะฝากอะไรถึง รมว.มหาดไทยคนใหม่หรือไม่ให้ดำเนินการต่อ นายภูมิธรรมตอบว่า ท่านรู้อยู่แล้ว สิ่งที่ตนทำก็แจ้งชัดต่อสาธารณะ เห็นท่านบอกว่าทุกอย่างให้เป็นไปตามกระบวนการ ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ขอให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าต่อไป รวมถึงฝากเรื่องปราบปรามยาเสพติดด้วย“เอม” ยก “คุณพ่อ” เป็นยอดวีรบุรุษผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ บุตรสาวนายทักษิณ โพสต์รูปภาพขณะหอมแก้มนายทักษิณผ่านอินสตา แกรมพร้อมข้อความสรุปว่า “ไม่ว่าใครจะเรียกท่านว่าอะไร (มียศหรือไม่มี หรือชื่อร้ายกาจแค่ไหน) คุณพ่อก็เป็นวีรบุรุษที่สุดยอดในใจพวกเรา ทุกเรื่องราวใดๆในโลกนี้ที่หลายๆคนมักมั่นใจว่าตัวรู้ทุกเรื่องทุกมุมละเอียด อยากบอกว่ามันไม่มีทางครบทุกมุม อย่างที่เราเชื่อ แต่สำหรับตัวเราและครอบครัวเชื่อว่าเราอยู่เคียงข้างกันมาทุกจังหวะของชีวิตทุกเรื่องราว คลื่นทุกลูก คนเคยรักกันที่หักหลังรวดเร็ว แต่ก็ยังมีกลุ่มคนมากมายที่ทุ่มเทใจให้เรา รักและอยู่เคียงข้างกันมาเสมออีกมากมาย และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ลูกสาวคนนี้ประทับใจ ภาคภูมิใจ ในความกล้าหาญ ความมุ่งมั่นและความเสียสละ ของผู้นำท่านนี้ เราร้องไห้ด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน และฮึดสู้ด้วยกัน เดี๋ยวมันก็ผ่านไปด้วยกัน”“อนุทิน” เชิญ “เอกนิติ–ศุภจี” หารือเมื่อเวลา 13.20 น. ที่พรรคภูมิใจไทย นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ที่ได้รับเสนอชื่อให้เป็น รมว.พาณิชย์ เดินทางเข้ามารอพบเพื่อหารือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายก รัฐมนตรี ต่อมาเวลา 14.35 น. นายอนุทินพร้อมนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ที่ได้รับเสนอชื่อให้เป็นรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เดินทางเข้าพรรคลั่นทำงานเป็นทีมไม่ขัดแข้งขัดขาต่อมาเวลา 15.20 น. นายอนุทินพร้อมด้วยนายเอกนิติและนางศุภจีให้สัมภาษณ์ร่วมกัน นายอนุทินกล่าวว่า ยืนยันว่ารัฐบาลนี้จะมีมืออาชีพอีกท่านหนึ่งเข้ามาช่วยงานด้านพาณิชย์ นายเอกนิติควบตำแหน่งรองนายกฯ เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เมื่อถามว่าทาบทามนางศุภจีมาร่วมงานได้อย่างไร นายอนุทินตอบว่า ใช้ความคาดหวังและผลประโยชน์ประชาชนของประเทศชาติไปจีบท่าน นางศุภจีไม่ใช่นักธุรกิจแต่เป็นนักบริหารมืออาชีพ ขอให้เชื่อมั่นว่านางศุภจีมีความเสียสละมากที่จะทิ้งเงินเดือน และรายได้จากการเป็นกรรมการหลายบริษัทในหลายที่ ยอมมาทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง ขอโอกาสและขอให้เชื่อมั่นว่าพวกเราจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อถามย้ำว่าจะให้ความมั่นใจกับบุคคลเหล่านี้ได้อย่างไรว่าเข้ามาวงการเมืองแล้วจะไม่เจ็บตัว นายอนุทินตอบว่า บุคคลเหล่านี้ถือว่าเป็นผู้มีประวัติดีงาม มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ มีความเสียสละทุ่มเท คิดว่าด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ท่านจะไม่ยอมทำอะไรที่ไม่ดีไม่งาม เราต้องมั่นใจว่าต้องทำทุกอย่างให้ดีที่สุดและต้องทำงานเป็นทีมไม่ขัดแข้งขัดขา“เอกนิติ” มุ่งมั่นฟื้นเศรษฐกิจยั่งยืนนายเอกนิติกล่าวถึงการดูแลระเบียบการเงิน การคลัง ในโครงการคนละครึ่งว่า เรื่องนี้เป็นนโยบายที่นายกฯประกาศไปแล้ว เตรียมความพร้อมในเรื่องต่างๆเอาไว้แล้ว ส่วนรายละเอียดขอให้มีการโปรดเกล้าฯ อย่างเป็นทางการก่อน เมื่อถามว่ารายละเอียดโครงการคนละครึ่ง 60 : 40 จริงหรือไม่ นายเอกนิติตอบว่า เป็นนโยบายของนายกฯ ต้องให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติ แม้มีเวลาจำกัดเราต้องฟื้นเศรษฐกิจประเทศในระยะยาวให้ได้ และให้เกิดความยั่งยืน เป็นหลักการที่นายกฯมอบไว้“ศุภจี” แม้มีเวลาสั้นแต่จะทำให้ได้ด้านนางศุภจีกล่าวว่า มีความตั้งใจเหมือนนายกฯพูดไปแล้ว ว่าระยะเวลาสั้นๆนี้เป็นระยะเวลาที่ท้าทายและมีความสำคัญมาก ประเทศเราต้องเดินไปข้างหน้าไม่ว่าระยะเวลาสั้นแค่ไหน ในฐานะที่มีโอกาสได้ทำงานมาหลากหลาย ตั้งใจจะนำประสบการณ์ ความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมดมาทุ่มเทให้ในระยะเวลาสั้นๆนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีธงเดียวกับนายกฯคือทำประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศชาติ เมื่อถามว่าสังคมชื่นชมและคาดหวังผลงานต่อจากนี้ นางศุภจีตอบว่า ขอบคุณที่ได้รับการชื่นชม และได้รับการคาดหวัง ถือเป็นกำลังใจที่ดียิ่ง จะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง จะประสานมือกับทีมงานทุกคนภายใต้นโยบายของนายกฯ เป็นความท้าทาย แต่เราตั้งใจที่จะทำให้ได้ คงทำไม่ได้ทุกอย่าง แต่เราจะเลือกสิ่งที่ทำแล้วเกิดผลดีที่สุดให้ได้มากที่สุดในระยะเวลาที่เรามีเร่งเครื่องตรวจประวัติรัฐมนตรีนายอนุทินให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงความคืบหน้าการตรวจสอบประวัติคณะรัฐมนตรีว่า เลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายชื่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการตอบกลับมาหลายคนแล้ว จะทยอยตอบกลับมา so far so good บางที่มีความล่าช้าเนื่องจากต้องไปถามหน่วยงานทุกจังหวัด มีทั้งหมด 77 จังหวัด เป็นเรื่องดีเอาให้มันจบทั้งหมด เมื่อทุกอย่างส่งกลับมาเรียบร้อยจะเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปให้มีความเห็นตรงกันอีกครั้งว่าข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ และจะเร่งนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป เมื่อถามว่าตอนนี้มีบุคคลที่ส่งชื่อไปแล้วถูกตีกลับมีปัญหา นายอนุทินยืนยันว่า ตอนนี้ยังไม่มี เมื่อส่งกลับมาเลขาธิการ ครม. จะรวบรวมและสรุปให้ทราบ ถ้าไม่ผ่านก็เสนอไม่ได้ เมื่อถามว่าจะสามารถสรุปรายชื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ เมื่อใด นายอนุทินตอบว่า ยังระบุไม่ได้ จะเร่งอย่างเต็มที่ เพราะเป็นเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินเอาแน่รื้อแต่งตั้งโยกย้าย มท.ใหม่นายอนุทินยังกล่าวถึงกรณีนั่งควบ รมว.มหาดไทย จะพิจารณาให้กีฬาโป๊กเกอร์กลับไปเป็นสิ่งผิดกฎหมายหรือไม่ว่า เคยพูดแล้วว่าหากจะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้การพนัน คงต้องรอนายกฯคนอื่น เพราะไม่เห็นด้วยทางนี้ ต้องขอทราบรายละเอียดก่อนเพราะหลังพ้นจากตำแหน่ง รมว.มหาดไทยไป 2 วัน ปรากฏว่าประกาศเรื่องนี้เข้ามาเลยไม่ได้มาบอก ตนเคยบอกแล้วว่าไม่ควรทำ แต่พอตนไม่อยู่ ก็ทำก็ต้องเชิญกรมการปกครองมาถาม เมื่อถามย้ำว่าจะโยกย้ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทย เพื่อคืนความเป็นธรรมหรือไม่ นายอนุทินตอบว่า ประเทศอยู่ได้ด้วยธรรมะและความยุติธรรม ที่ผ่านมาไม่มี ความยุติธรรม เราเอาธรรมะและความยุติธรรมกลับมา สู่ประเทศของเราอีกครั้ง เมื่อถามย้ำว่าจะทบทวนคนที่ถูกโยกย้ายใช่หรือไม่ นายอนุทินตอบว่า แน่นอน“สันติ” กั๊กชื่อหลุดโผส่งลูกประกบนายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกระแสข่าวชื่อหลุดจากโผ ครม.อนุทิน 1 ว่า ยังเป็นข่าวลืออยู่ เพิ่งส่งประวัติไปช่วงเย็นวันที่ 9 ก.ย. ยังไม่ได้รับแจ้งอะไร เมื่อถามว่าชื่อไม่ขัดคุณสมบัติอะไรใช่หรือไม่ นายสันติตอบว่า อาจมีปัญหาเรื่องเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว เป็นตอนเด็กๆ แต่เดี๋ยวนี้เรื่องจริยธรรมมันกว้างใหญ่กว่าทะเล ต้องไปดูว่าเขาตรวจสอบแล้วเป็นอย่างไร เคยเป็นรัฐมนตรีมาไม่รู้กี่กระทรวง ข่าวที่ออกมาตอนนี้ก็เป็นข่าวลือ เมื่อถามย้ำว่ามีปัญหาเรื่องของการศึกษาใช่หรือไม่ นายสันติตอบว่า เป็นเรื่องของการศึกษาสมัยก่อน แต่เราไม่ได้ผิดอะไรรอให้เขาส่งกลับมาก่อน เมื่อถามย้ำว่าจะส่งนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ บุตรชาย มานั่งแทนหรือไม่ นายสันติตอบว่า ลูกชายอายุ 40 กว่าแล้ว จบต่างประเทศ ทำงานมามากเก่งกว่าตนอีก เมื่อถามว่า แสดงว่าได้ส่งประวัติของนายพัฒนาให้ตรวจสอบด้วยใช่หรือไม่ นายสันติตอบว่า เขาอยากมาฝึกอยู่แล้ว อาจมาเป็นที่ปรึกษา ก็ต้องเช็กประวัติตัวเองก่อนดับฝันเลือก ส.ส.ร.โดยตรงที่ศาลรัฐธรรมนูญ ถนนแจ้งวัฒนะ องค์คณะ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยในคำร้องที่ประธานรัฐสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ตามที่ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เสนอให้รัฐสภาส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า ในประเด็นที่ 1 ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รัฐสภามีอำนาจริเริ่ม หรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่นั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (5 ต่อ 2) วินิจฉัยว่าภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รัฐสภามีอำนาจริเริ่ม หรือแสดงความต้องการเพื่อ จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อน โดยการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งรัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ได้โดยตรงสำหรับตุลาการฯเสียงข้างมาก 5 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายอุดม สิทธิวิวัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายนภดล เทพพิทักษ์ ตุลาการฯเสียงข้างน้อย 2 คน คือ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ เห็นว่าภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รัฐสภาไม่มีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เว้นแต่จัดให้มีการออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องจัดออกเสียงประชามติ 3 ครั้งประเด็นที่ 2 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมีการจัดให้มีการออกเสียงประชามติกี่ครั้งนั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก 6 ต่อ 1 วินิจฉัยว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องจัดให้ประชาชน ออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่ามีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร และครั้งที่ 3 ภายหลังรัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ อนึ่งการออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้ ทั้งนี้ ตุลาการฯเสียงข้างมาก 6 คน ได้แก่ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ นายนภดล เทพพิทักษ์ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ ตุลาการฯเสียงข้างน้อย 1 คน คือ นายอุดม สิทธิวิวัชธรรม ที่เห็นว่าการจัดการออกเสียงประชามติ ต้องจัด 2 ครั้ง คือในกระบวนการครั้งที่ 1 และ 3นายกฯรอหารือ สส.ปมแก้ รธน.นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ กล่าวว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเรื่องการจัดทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญออกมา ต้องปรึกษากับสมาชิกรัฐสภาว่ามีความเห็นอย่างไร เพิ่งได้รับข้อมูลจากข่าวศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่อ่านรายละเอียดขออ่านรายละเอียดและสอบถามข้อมูลก่อน เมื่อถามว่าระยะเวลา 4 เดือนจะเป็นเงื่อนไขให้ยืดเวลาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จตามที่ตกลงไว้หรือไม่ นายอนุทินตอบว่า เป็นคนละเรื่องกัน เมื่อถามว่าในการประชุม ครม.นัดแรก จะตั้งไข่เรื่องทำประชามติเลยหรือไม่ นายอนุทินตอบว่า ทุกอย่างมีไทม์ไลน์อยู่แล้ว“เท้ง” จี้ รบ.ยื่นแก้หมวด 15 ประกบนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรค ปชน. กล่าวว่า พรรค ปชน. มีข้อเสนอต่อรัฐบาลชุดใหม่ และเพื่อน สส. ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้ 1.ควรยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 เข้าสู่รัฐสภาโดยเร็ว ไม่ควรเกินสัปดาห์หน้า ขณะนี้ร่างฯที่ สส.พรรค ปชน. และ สส.พรรค พท.ยื่นไปถูกบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมรัฐสภาแล้ว พรรค ภท.ควรรวบรวมเสียง สส.รัฐบาลยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 เข้าสู่สภาโดยเร็ว และควรมีเนื้อหาเป็นการเสนอให้มี ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งตามข้อตกลง แม้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ารัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่เราเห็นว่าอาจยังไม่ได้ปิดประตูต่อการมี ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้ง 2.ควรร่วมกันผลักดัน ให้มีการเปิดประชุมรัฐสภา พิจารณาร่างแก้ไขหมวด 15 ในวาระที่ 1 ภายในเดือน ก.ย. โดยไม่จำเป็นต้องรอการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา กระบวนการของฝ่ายนิติบัญญัติเป็นจุดเริ่มต้นทําให้เป้าหมายในการจัดทำประชามติรอบที่ 1 พร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไป ที่จะเกิดขึ้นจากการยุบสภาภายใน 4 เดือนเป็นจริงได้ขู่บิดพลิ้วเอ็มโอเองัด 143 เสียงล้มเมื่อถามว่าหากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ ไม่เห็นด้วยกับการตีความของพรรค ปชน. ทั้งเรื่อง ส.ส.ร. และการจัดทำประชามติ จะทำอย่างไร นายณัฐพงษ์ตอบว่า ต้องรอพูดคุยแลกเปลี่ยนกันก่อน โดยสำนึกของวิญญูชน เราสามารถเห็นได้ว่าพรรคภท.มีความจริงใจมากน้อยแค่ไหน ในการเดินหน้าตามเจตนารมณ์ของข้อตกลง หากมีการบิดพลิ้วเราพร้อมใช้ 143 เสียงล้มรัฐบาลทันที และกำกับทิศทางรัฐบาลให้เป็นไปตามข้อตกลงแนะเลือก ส.ส.ร.ทางอ้อมแบบปี 40นายนิกร จำนง อดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ กล่าวว่า จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ต้องทำประชามติรวม 3 ครั้ง จำเป็นต้องสอบถามประชามติประชาชนเป็นครั้งแรกก่อนว่าจะให้แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับใหม่หรือไม่ ที่สำคัญคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญชี้ชัดต่อบทบัญญัติหมวด 15 รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง กรณีนี้เห็นว่าอาจจะมี ส.ส.ร.ได้ แต่ต้องมีการเลือกตั้งโดยอ้อม เหมือนการจัดทำรัฐธรรมนูญปี 2540 โดย ส.ส.ร.ที่ให้ประชาชนเลือกมาจำนวนหนึ่งก่อน แล้วรัฐสภามาคัดเลือกภายหลังอีกครั้ง เป็นโดยอ้อม แต่ต้องรอไปกำหนดรายละเอียด และตั้งคำถามในช่วงที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะเป็นการถามประชามติเป็นครั้งที่ 2 ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ หาก ครม.หรือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังฝืนตั้งคำถามประชามติเกี่ยวกับการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับใหม่โดยให้มี ส.ส.ร. ลงไปในคำถามประชามติ อาจถูกร้องว่าเป็นการกระทำที่มีพฤติการณ์อันเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงได้อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่