กัมพูชายอมเจรจา "ฮุน มาเนต" นัดเจอ "ภูมิธรรม" ที่มาเลเซีย หลัง "ทรัมป์-อันวาร์" พยายามช่วยไกล่เกลี่ยมาสองครั้ง แต่กลับพลิกลิ้นเปิดฉากถล่มบ้านเรือนประชาชนใน จ.สุรินทร์ ก่อนฟ้าสาง ต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 รวมถึงพุ่งเป้าโจมตีโรงพยาบาลและชุมชน ส่งผลกองทัพระดมรถถัง-F-16 อีก 2 หมู่ ลุยทิ้งบอมบ์ฐานที่ตั้งทหารบริเวณ “ปราสาทตาเมือนธม-ตาควาย” ขณะที่ฝั่งตราดคุมสถานการณ์ได้แล้ว ภาพรวมการสู้รบยังตึงเครียดหลายจุด ด้าน กต.ไทยเตรียมจัดเต็มออกหนังสือประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำของกัมพูชา ไม่เพียงละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศเพียบ ยังกระทำการที่ไร้มนุษยธรรมและเลวร้ายต่อเนื่องสารพัดสถานการณ์การสู้รบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ยังระอุต่อเนื่อง เมื่อทหารกัมพูชายังเปิดฉากยิงไทยก่อนอีกเป็นวันที่ 4 ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดวันที่ 27 ก.ค.ในหลายพื้นที่ของ จ.สุรินทร์กัมพูชายิงใส่คนไทยแต่เช้าผู้สื่อข่าวรายงานว่าเวลา 04.45 น. เกิดเสียงระเบิดดังถึงตัวเมืองสุรินทร์ ต่อมาได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าเกิดเหตุจรวด BM-21 ตกลงที่บ้านประชาชน บริเวณบ้านตาโสร์ ต.บ้านพลวง อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ อยู่ห่างจากแนวชายแดนประมาณ 40 กิโลเมตร โดยลูกระเบิดตกใส่ข้างบ้านของนายคูณ พรหมนัดส์ อายุ 80 กว่าปี เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้สะเก็ดระเบิดถูกตัวบ้านไม้สองชั้นเสียหายและไฟไหม้ทั้งหลัง ระหว่างเกิดเหตุเจ้าของบ้านไม่อยู่ในตัวบ้าน เจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างจรรยาธรรม จุด อ.ปราสาท รีบเข้าไปตรวจสอบพบเพียงหม้อที่กำลังตั้งไฟไว้ร้อนระอุ ทราบว่าลูกชายเจ้าของบ้านเข้ามาที่บ้านเพื่อทำกับข้าว ได้ยินเสียงปืนใหญ่ รีบออกไปจากตัวบ้านก่อน ทำให้รอดตายหวุดหวิดบ้านพังเสียหายวัวตาย 6 ตัวจากการตรวจสอบพบร่องรอยระเบิดจากจรวด BM-21 ตกที่พื้นดินข้างบ้านเป็นหลุมขนาดใหญ่ กว้าง 2 เมตร ต้นไม้ขาดหัก ห่างกันประมาณ 1 กม. ตรงข้ามถนน เป็นคอกวัวของนายกิตติชัย เพ็งพิศ พบว่าคอกวัวหลังคาปลิวเป็นรู สังกะสีกระจัดกระจาย พร้อมกันนี้ยังพบว่าวัวแม่พันธุ์วากิวภายในคอกได้ตายจำนวน 6 ตัว จากทั้งหมด 22 ตัว จากนั้นห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร พบบ้านไม่มีเลขที่ ถูกตกใส่บ้านไฟได้ลุกไหม้ทั้งหลัง สังกะสีกระจัดกระจาย ทรัพย์สินภายในบ้านเสียหายหมด โชคดีที่ไม่มีผู้อาศัยอยู่ในบ้านเพราะอพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว และยังพบร้านก๋วยเตี๋ยวยายสุ ในหมู่บ้านเดียวกันถูกระเบิกตกใส่เช่นกันถล่มบ้านกรวด บุรีรัมย์เช่นเดียวกับที่จุดผ่อนปรนช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงกระสุนปืนใหญ่เข้ามาตั้งแต่ช่วงเช้าและมีการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ทหารกัมพูชายังยิงปืน BM-21 เข้ามายังบ้านเรือนชาวบ้านหลายจุด ลูกปืนใหญ่ยังไปโดนวัวของชาวบ้านตายอีกหลายตัว กระทั่งช่วงเที่ยง มีการสู้รบปะทะกันเกิดขึ้นอย่างดุเดือดที่บริเวณช่องสายตะกู เป็นเวลานานกว่าชั่วโมงครึ่ง เสียงปืนสงบเงียบลงชาวบ้านดีใจไทยถล่มบ่อนเวลาต่อมา มีคลิปเผยแพร่ออกมา เป็นคลิปที่ทหารไทยเป็นคนถ่ายบ่อนกาสิโน ติดกับช่องสายตะกู เป็นการตั้งกล้องถ่ายรอ ไม่กี่วินาทีมีควันพุ่งออกจากหลังคาของกาสิโน มีเสียงของทหารฝั่งไทยพูดว่า “เต็มเกิบ” และคาดว่าจะมีอีกหลายลูกที่จะถล่มกาสิโน คาดเป็นปืนใหญ่ของฝั่งไทยยิงไป เพราะไม่พอใจที่กัมพูชายิงไม่เลิก นายนิจจรินทร์ ข่วยสง อายุ 48 ปี ชาวอำเภอบ้านกรวด กล่าวว่า จุดนี้มีการปะทะกันตลอดเวลา ทหารกัมพูชายิงไม่เลิก ทหารกัมพูชาจะเปิดก่อนทุกครั้ง ส่วนคลิปที่บ่อนถูกถล่มได้แพร่ออกไปเป็นวงกว้างชาว อ.บ้านกรวด ต่างดีใจถ้าถล่มกาสิโนให้พังราบไปยิ่งดี เพราะเป็นของมอมเมาประชาชน โดยเฉพาะภายในบ่อนจะเป็นคนไทยแทบทั้งสิ้นใส่ รพ.สต.พังยับทั้งหลังนอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) บ้านชำเม็ง ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ หลังมีรายงานว่าถูกลูกระสุนปืนใหญ่ตกใส่บริเวณข้างอาคาร สะเก็ดระเบิดถูกอาคารพังเสียหาย โชคดีที่ไม่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เนื่องจากเจ้าหน้าที่มีการอพยพผู้ป่วย และประชาชนออกนอกพื้นที่แล้ว แต่พบว่ายังคงได้ยินเสียงการยิงปะทะดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ ชรบ.ที่คอยเฝ้าระวังร่วมกับฝ่ายปกครอง ได้พาไปดูจุดเกิดเหตุ พบว่าอาคาร รพ.สต.พังเสียหายอย่างหนัก กระสุนทะลุเข้ามาด้านในตัวอาคาร กระจก ประตู อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ยังไม่ได้ขนย้ายออกไป พังเสียหายใช้การแทบไม่ได้ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นประมาณ 15.30 น. วันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่ากัมพูชายิงปืนใหญ่โดยไม่สนใจพื้นที่ ทั้งบ้านเรือนประชาชน และโรงพยาบาลต่อมาช่วงเย็นวันที่ 27 ก.ค. กระสุนปืนใหญ่จากทหารกัมพูชาถูกยิงมาตกใส่บ้านเรือนประชาชนที่บ้านหนองเม็ก หมู่ 4 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ มีชายวัย 60 ปี เสียชีวิต 1 คน และมีผู้บาดเจ็บสาหัส 1 คนโฆษก ทบ.ยันยังไม่หยุดยิงจากนั้นไม่นาน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในวันที่ 27 ก.ค.ว่า ฝ่ายกัมพูชายังไม่หยุดยิง และยังตอบโต้มาฝั่งไทยต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเช้า มีจรวดตกนอกเขตปฏิบัติการทางทหารเหมือนเดิม ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์อีกด้วย ขณะที่ พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ทหารในสมรภูมิยังยืนยันทำตามยุทธวิธี จะมีการหยุดยิงเมื่อกัมพูชาเป็นฝ่ายมาขอเจรจาเท่านั้น ส่วนเพจกองทัพบกทันกระแส ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า ไหน? ใครบอกหยุด กัมพูชายิงจรวด BM-21 ใส่ปราสาทตาเมือนธม ทำลายโบราณสถาน “ฮุนเซนคิด ฮุน มาเนตทำ”พุ่งเป้ายิงโจมตี รพ.ต่อมา พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ว่า กัมพูชายังมีการเคลื่อนไหวด้วยการใช้อาวุธยิงสนับสนุนระยะไกลยิงเข้ามาในฝั่งไทย บริเวณหน้าแนวมีการปะทะในหลายๆจุดอย่างต่อเนื่อง พบมีอาวุธยิงสนับสนุนระยะไกลไปตกนอกเขตพื้นที่เป้าหมายทางทหารจำนวนมากใน จ.สุรินทร์ ฝ่ายไทยเรามีความจำเป็นต้องใช้ปฏิบัติการทางทหาร ดำเนินการตอบโต้ต่ออาวุธยิงสนับสนุนระยะไกลอย่างเช่น จรวดและปืนใหญ่ที่ยังคงยิงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบ หรือมีการสูญเสีย และเมื่อวันที่ 26 ก.ค.เวลาประมาณ 15.30 น. กระสุนปืนใหญ่ของกัมพูชายังคงพุ่งเป้าใส่ รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบล บ้านซำเม็ง ม.3 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เสียหายอย่างหนักที่ตัวอาคาร แต่ไม่มีผู้เสียชีวิต หรือบาดเจ็บ เพราะเจ้าหน้าที่เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกไปก่อนแล้วลั่นสถานการณ์ยังไม่น่าวางใจพล.ต.วินธัยกล่าวอีกว่า ทั้งยังปรากฏข่าวสารความเคลื่อนไหวว่า อาจมีอาวุธที่มีประสิทธิภาพ เช่น PHL-03 RM-70 BM-21 ที่อาจมีแนวโน้มที่จะเข้ามาสนับสนุนเพิ่มเติมให้กับฝ่ายกัมพูชา นั่นอาจแสดงถึงท่าทีของกัมพูชา ที่ฝ่ายไทยยังไม่สามารถไว้วางใจได้ สถานการณ์ล่าสุดฝ่ายกัมพูชายังไม่หยุดโจมตี ด้วยอาวุธทุกรูปแบบต่อฝ่ายไทย กองทัพบกจะดำเนินการเต็มขีดความสามารถ เพื่อตอบโต้การรุกราน และยืนยันยังคงมุ่งเน้นต่อเป้าหมายทางทหารที่ส่งผลต่อภัยคุกคามทางทหารและชีวิตทรัพย์สินพี่น้องประชาชนเท่านั้น เพื่อปกป้องรักษาอธิปไตยให้ได้อย่างดีที่สุด“เสธ.เบิร์ด” จี้ “ฮุน มาเนต” หยุดยิงด้าน พล.ต.วันชนะ สวัสดี ผู้อำนวยการสำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงกับ กอ.รมน. กรมยุทธการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย เผยจุดยืนด้านความมั่นคงของชาติว่า 1.จุดเริ่มต้นของการใช้กำลังในครั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เริ่ม ดังนี้ 1.1 แสดงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์บนปราสาท 1.2 เผาศาลาตมุข 1.3 ล้ำอธิปไตยไทยขุดสนามเพาะ 1.4 วางระเบิดสังหารบุคคลเริ่มวิกฤติ 1.5 ทหารไทยเหยียบระเบิด 2.ความชอบธรรมในการปฏิบัติการทางลึกกัมพูชาเคลื่อนกำลังจำนวนมากเข้าประชิดชายแดน 2.1 กัมพูชาใช้อาวุธยิงระยะไกลทำลายโรงพยาบาล โรงเรียนและประชาชนชาวไทยได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต 2.2 การเคลื่อนอาวุธจรวด PHL-03 2.3 ไทยต้องการจบสถานการณ์ให้เร็ว 2.4 เราทำลายเป้าหมายทางทหาร 3.ความไม่จริงใจของกัมพูชา 3.1 ในขณะที่สื่อสารต่อชาวโลกว่าต้องการจะพูดคุยและหยุดยิงตอนตีสอง แต่ตอนตีสี่ กัมพูชาเปิดฉากยิงไทยก่อน 3.2 หรือว่าจะสร้างความชอบธรรมในการใช้จรวด ด้วยการแสดงออกว่าจะพูดคุยต่อชาวโลก เสนอภาพการปะทะวันนี้ อ้างว่าจำเป็นต้องใช้ PHL-03 4.เรียกร้องให้ “ฮุน มาเนต” แถลงอย่างเป็นทางการในการหยุดยิง และเจรจากับไทยกองทัพส่งรถถัง F–16 ถล่มฐาน ต่อมาผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊กของกองทัพบกได้โพสต์ข้อความว่า รถถัง VT-4 ออกแล้ว! ขยี้ข้าศึกบุกไม่ถอย ตัดเส้นทางเติมกำลัง พร้อมกันนี้ มีรายงานว่ากองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน2หมู่ 4 ลำ ออกไปปฏิบัติภารกิจ ยุทธบริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ภารกิจสำเร็จลุล่วง พร้อมกับฐานปฏิบัติ อย่างปลอดภัย หลังจากทหารกัมพูชายิงจรวด BM-21 ใส่ปราสาทตาเมือนธม พื้นที่อธิปไตยของไทยไม่สนยิงถล่มบ้านคนไทยทั้งนี้ มีรายงานจากหน่วยงานความมั่นคงเกี่ยวกับสถานการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา วันที่ 4 ระบุว่า เมื่อเวลา 04.30 น. ทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงทหารไทยด้วยเครื่องยิงจรวด BM-21 เป้าหมายไม่ใช่พื้นที่ทางทหาร แต่บ้านเรือนประชาชน สถานพยาบาลและชุมชน เป็นเวลา 06.30 น.กระสุนปืนใหญ่ตกบริเวณพื้นที่บ้านตาโสร์ ม.10 ต.บ้านพลวง อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ บ้านเรือนราษฎรไฟไหม้ เวลา 06.40 น. กัมพูชายิงปืนใหญ่เข้ามาตกใส่บ้านคนทำให้ไฟไหม้บ้านทั้งหลังในพื้นที่ จ.สุรินทร์ เวลา 07.45 น. มีกระสุนปืนใหญ่ 3 ลูก ตกบริเวณพื้นที่บ้านหนองจูบ ม.2 ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ เวลา 07.50 น. ทหารกัมพูชายังยิงจรวด BM-21 ลงมาในพื้นที่ อ.ช่องจอม จ.สุรินทร์ บ้านเรือนประชาชนเสียหาย ส่วนชาวบ้านอพยพไปยังสถานที่ปลอดภัยแล้วไม่ชัวร์ทหารไทยสอย PHL–03นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. ได้ออกมาชี้แจงกรณีที่มีกระแสข่าวเรื่องจรวดหลายลำกล้อง PHL-03 ของกัมพูชา ถูกทำลายแล้ว 1 ระบบ เหลืออีก 5 ระบบนั้น เบื้องต้นยังไม่ได้รับข้อมูลเรื่องการทำลายไป 1 ระบบ พร้อมระบุว่า กองทัพบกเพียงแต่ให้ข้อมูลว่าจากข่าวสารทางด้านการข่าว อาจมีการนำอาวุธชนิดนี้มาใช้ แต่ยังไม่ระบุว่าจะตั้งตรงไหนอย่างไร ขออย่าเพิ่งวิตก ขณะเดียวกันมีรายงานจากแหล่งข่าวกองทัพภาคที่ 2 ยอมรับยิงทำลาย PHL-03 จริงในพื้นที่เป้าหมาย แต่เข้าไปตรวจสอบไม่ได้ว่าสำเร็จหรือไม่ “ภูมิธรรม” เผย “ทรัมป์” เสนอหยุดยิงสำหรับแนวทางการยุติการสู้รบนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 00.40 น. วันที่ 27 ก.ค. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กและแอปพลิเคชันเอ็กซ์ ระบุว่า ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเสนอให้ประเทศไทยและกัมพูชาดำเนินการหยุดยิงทันทีและได้ขอบคุณต่อความห่วงใยและความ ปรารถนาดีของฝ่ายสหรัฐฯ และยืนยันว่าในหลักการ ฝ่ายไทยเห็นชอบต่อการหยุดยิง อย่างไรก็ดี ฝ่ายไทยประสงค์ที่จะเห็นความตั้งใจจริงของฝ่ายกัมพูชาในเรื่องดังกล่าว ด้วยการหารือแบบทวิภาคีโดยเร็วที่สุด กัมพูชาต้องแสดงความจริงจังและจริงใจให้มั่นใจ เพื่อร่วมกันกำหนดมาตรการและกระบวนการที่ชัดเจนสำหรับการหยุดยิง และนำไปสู่การยุติข้อพิพาทอย่างสันติและยั่งยืนต่อไป พร้อมระบุด้วยว่าทุกฝ่ายอยากให้เกิดสันติภาพและหยุดยิง ไม่ต้องการประเทศที่ 3 แทรกแซงนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรียังกล่าวที่สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ในช่วงสาย ถึงการสนทนาทางโทรศัพท์กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธา นาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่เสนอให้ไทยและกัมพูชาหยุดยิงโดยทันที ไม่เช่นนั้นจะไม่เจรจาการค้ากับประเทศที่กำลังรบกันอยู่ว่าคาดการณ์ว่าสหรัฐฯ จะพูดเรื่องนี้ ได้หารือกับส่วนที่เกี่ยวข้องไม่ว่ารักษาการ รมว.กลาโหมและได้สอบถามเหล่าทัพ นายโดนัลด์ ทรัมป์ บอกว่าถ้ายังไม่สามารถหยุดยิงได้เขาก็ไม่พร้อมที่จะเจรจาทางการค้ากับทั้ง 2 ประเทศ เราบอกว่าไม่มีปัญหา เพราะเป็นหลักการอยู่แล้ว เงื่อนไขของเราคือต้องให้กัมพูชาสร้างความมั่นใจ จากนั้นเขาจะโทรศัพท์ไปหา พล.อ.ฮุน มาเนต นายกฯกัมพูชา ตอนนี้เราไม่ได้ต้องการให้ประเทศที่ 3 เข้ามาแทรกแซง ขอบคุณที่เขาห่วงใยและสนับสนุน เราเสนอให้มีการพูดคุยกันระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศทั้ง 2 ประเทศ คุยให้จบว่าจะมีเงื่อนไขอย่างไรที่จะเป็นมาตรการในการหยุดยิงจริง ถอยกำลังทหารและยุทโธปกรณ์วิถีไกลออกไปต้องมั่นใจจะไม่พลิกลิ้นนายภูมิธรรม ยังกล่าวถึงการไว้ใจกัมพูชาได้หรือไม่ด้วยว่า ได้บอกนายโดนัลด์ ทรัมป์ ไปแล้วว่าต้องทำให้มั่นใจว่ากัมพูชาจะไม่มีการพลิก เพราะฉะนั้นการเจรจาสันติภาพกับการขอให้หยุดยิงและนำยุทโธปกรณ์ออกจากพื้นที่ เป็นหลักประกันว่ามีความจริงใจที่อยากหยุดยิง ส่วนเรื่องภาษีของสหรัฐฯ ไม่มีปัญหา ถ้าหยุดยิงเมื่อไหร่ จะแจ้งทั้ง 2 ประเทศ ตนยังไม่สามารถพูดว่าเรื่องนี้จะยุติภายในวันที่ 1 ส.ค.นี้ ได้หรือไม่ เพราะต้องดูฝ่ายกัมพูชาตราดคุมสถานการณ์ได้แล้วจากนั้น นายภูมิธรรมเป็นประธานประชุมติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ศาลากลางจังหวัดตราด รับทราบรายงานจากหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด ว่า ปัจจุบันสามารถควบคุมสถานการณ์การใช้อาวุธได้แล้ว และทางกัมพูชาถอยร่นไปยังพื้นที่ของตน ทั้ง 2 ฝั่งยังตรึงกำลังเพื่อป้องกันสถานการณ์ในส่วนของการอพยพประชาชนเข้ายังศูนย์พักพิงใน 3 อำเภอ รวม 16 แห่ง ประชาชนผู้อพยพ จำนวน 4,754 คน มีแผนเตรียมสถานที่เพื่อรองรับผู้อพยพไว้ได้ราว 20,000 คนย้ำฝ่ายปกครองดูแลแนวหลังนายภูมิธรรมกล่าวต่อที่ประชุมว่า ได้ให้นโยบายแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนกัมพูชาทั้ง 7 จังหวัดไว้ว่า ต้องรับผิดชอบในการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ปกป้องประชาชนจากการรุกรานของกัมพูชาที่ละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับ ที่ผ่านมายังมีการใช้อาวุธหนักเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทย การตอบโต้ของไทยคือการปกป้องความปลอดภัยของคนไทย ประเทศไทยไม่ใช่ฝ่ายเข้าไปรุกรานทางกัมพูชาก่อน แนวหน้าเป็นเรื่องของทหาร ขอให้เจ้าหน้าที่ปกครองดูแลแนวหลังให้เต็มที่ รัฐบาลได้ขยายวงเงินทดรองจ่ายให้ผู้ว่าฯทุกจังหวัดที่เกิดสถานการณ์แล้ว เพื่อแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการได้เต็มที่ และได้ประสานตำรวจช่วยเข้าดูความปลอดภัยของบ้านเรือนประชาชนที่ต้องอพยพออกมา และฝากสื่อมวลชนให้ระมัดระวังเรื่องการสื่อสารที่เป็นการเปิดเผยพื้นที่ปลอดภัย เพราะอาจมีผลต่อทางยุทธการให้กำลังใจ ปชช.ไม่ต้องห่วงบ้านต่อมา นายภูมิธรรมเดินทางไปยังศูนย์พักพิงวัดห้วงพัฒนา ต.แสนตุ้ง อ.เขาสมิง และศูนย์พักพิงชั่วคราว โรงเรียนอนุบาลตราด อ.เมืองตราด ให้กำลังใจผู้อพยพออกจากบ้านเรือนของตัวเอง และพูดคุยสอบถามความเป็นอยู่และอาหารการกิน ซึ่งแต่ละคนต่างบอกได้รับการดูแลอย่างดี และอยากให้สถานการณ์ยุติโดยเร็ว เพราะเป็นห่วงบ้าน ซึ่งนายภูมิธรรมย้ำว่าให้เจ้าหน้าที่ดูแลบ้านเรือนของประชาชนให้แล้วไม่ต้องเป็นห่วง และร่วมรับประทานอาหารกลางวันในศูนย์อพยพกัมพูชาผวาอยู่ไทยแห่กลับบ้านขณะที่บรรยากาศบริเวณด่านชายแดนไทยกัมพูชาต่างๆหลายแห่งยังเงียบเหงาเพราะไม่มีการเปิดด่าน แต่ที่ด่านชายแดนบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ที่ตลาดชายแดนกลับหนาแน่นไปด้วยแรงงานกัมพูชาที่เดินทางมาจากทุกจังหวัด บางกลุ่มเดินทางมาพักค้างรอตั้งแต่คืนวันที่ 26 ก.ค. เพื่อรอด่านเปิด หลังจากเกิดกระแสข่าวในโลกโซเชียลว่ามีคนไทยบางกลุ่มตระเวนทำร้ายคนกัมพูชาที่อาศัยและทำงานในไทย ทำให้กลุ่มแรงงานกัมพูชาหวาดกลัว รวมถึงญาติที่อยู่กัมพูชา ที่ดูข่าวต่างเรียกร้องให้ลูกหลานกลับบ้านเกิดเพื่อความปลอดภัย ทำให้มีแรงงานกัมพูชาแห่เดินทางหวังออกทางด่านบ้านแหลมกว่าหมื่นคนโวย ตม.กัมพูชาเรียกเก็บเงินคนไทยเช่นเดียวกับที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว มีชาวกัมพูชาที่ทำงานอยู่ในไทยราว 1,000 คน พร้อมสัมภาระที่อ้างว่ากลัวสงครามและกลัวถูกคนไทยทำร้าย มารอกลับประเทศจนเนืองแน่น ทั้งนี้ พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ตม.จ.สระแก้ว เผยว่า ได้รับการร้องเรียนจากคนไทยที่เดินทางกลับมาจากกัมพูชาว่าถูก เจ้าหน้าที่ ตม.กัมพูชาเรียกรับเงินแทบทุกคน บางคนถูกเรียกรับเงินเป็นพัน บางคนถูกเรียกรับเงินเป็นหมื่น อ้างว่าอยู่เกินวีซ่าบ้าง หรือใครไม่มีหนังสือเดินทาง จะถูกเรียกเก็บเงินเป็นหมื่น อ้างว่าเป็นค่าปรับ แต่ไม่มีใบเสร็จรับเงินใดๆ คนไทยทุกคนล้วนเป็นผู้ที่เดือดร้อนอพยพหนีภัยกลับประเทศยังถูก จนท.กัมพูชาเรียกรับเงินแบบไม่มีใบเสร็จอีก เป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม ขณะที่ชาวกัมพูชาที่อพยพกลับประเทศเป็นหมื่นๆคน จะมีหนังสือเดินทางหรือไม่มี เราก็ไม่มีการเรียกเก็บเงินใดๆทั้งสิ้น เพราะ เรารู้ว่าเขาก็ลำบาก ซึ่งขณะนี้ได้แจ้งไปยัง ผวจ.บันเตียเมียนเจย ของกัมพูชา ผ่านทาง จนท.สน.ปกท. หวังให้ ผวจ.บันเตียเมียนเจย มาดูแลเรื่องนี้ให้ด้วย“บิ๊กเล็ก” ชี้ รบ.ฟังประชาชนวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) และประธานการประชุม ศบ.ทก. ถึงกรณีประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาพูดคุยกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกฯ เรื่องการหยุดยิง แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการหยุดยิงแต่อย่างใดว่า ฝ่ายรัฐบาลไทยต้องฟังเสียงประชาชน เรามีกลไก ไม่สามารถที่จะตอบได้ในทันที และตนได้อยู่ใน วงพูดคุยดังกล่าวด้วยร่วมกับนายภูมิธรรม เลขาธิการนายกฯ รมว.ต่างประเทศ เลขาฯ สมช. เราบอกไปว่ารับดำเนินการ แต่ขอให้เป็นไปตามกลไก เพราะไทยปกครองระบอบประชาธิปไตย เราฟังเสียงประชาชน มีกลไกรัฐบาล แตกต่างจากทางกัมพูชาที่ปกครองโดยคนสองคนหรือสามคน สามารถตอบได้ทันทีว่าเยสหรือโน แต่เราต้องหารือในรัฐบาล ที่สำคัญต้องฟังเสียงประชาชนด้วย ศบ.ทก.คือกลไกของรัฐบาลและตนอยู่ในกลไกของกลาโหมด้วย เชื่อมระหว่างกองทัพกับรัฐบาล ปัจจุบันรัฐบาลมีเพียงนโยบายเดียวคือ ปกป้องอธิปไตยและพร้อมสนับสนุนกองทัพเต็มที่ ยืนยันว่าเรื่องนี้จะไม่นาน เพราะสังคมโลกดูเราอยู่ว่าเรามีความจริงใจที่จะพูดคุยเพื่อจะหยุดยิง แต่ขอใช้กลไกรัฐบาลหารือให้รอบคอบและฟังเสียงประชาชนด้วยชี้เป็นหน้าที่ กต.ฟ้อง ICCพล.อ.ณัฐพลยังกล่าวด้วยว่า ตนที่เป็น ส่วนหนึ่งในซีกของกองทัพก็ไม่สบายใจ นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่เขายิงก่อน ครั้งแรกคือการวางกับระเบิด เราไม่คิดว่ารัฐบาลกัมพูชาจะไม่ปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ อนุสัญญาเจนีวา อนุสัญญาออตตาวา และขาดหลักมนุษยธรรม เราไม่เคยคิดว่าในปี 2025 ยังมีกองทัพประเทศในโลกปฏิบัติการลักษณะนี้ ยืนยันทุกคนไม่ต้องกังวล รัฐบาลจะดำเนินการด้วยการรอบคอบ ส่วนการยื่นฟ้องฮุน เซน ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) ขอให้เป็นเรื่องกระทรวงการต่างประเทศที่ต้องสนับสนุนและดำเนินการ เพราะกองทัพและ ศบ.ทก.ไม่ชำนาญในด้านนี้ พร้อมย้ำว่าสิ่งที่ยืนยันถึงความไม่จริงใจของกัมพูชาในการเจราจาหยุดยิง การทหารมองถ้าเขาหยุดยิงเป็นเวลาสักระยะ แต่นี่ไม่ใช่ เขาคุยกับประธานาธิบดีทรัมป์ เวลาประมาณ 23.00 น. วันที่ 26 ก.ค. แต่พอถึงเวลา 02.00 น. วันที่ 27 ก.ค. เขาก็เริ่มยิง อย่างนี้ทหารมองว่าไม่จริงใจ ทั้งที่กำลังคุยกันอยู่เรื่องหยุดยิง และจริงๆแล้ว รมว.ต่างประเทศของไทย ก็จะคุยกับ รมว.ต่างประเทศกัมพูชา ซึ่งตนรายงานกับ รมว.ต่างประเทศไปแล้วว่ากัมพูชาตีเราตลอดแนวอีกแล้ว สิ่งที่กองทัพเสียใจคือเขาโจมตีเป้าหมายพลเรือนศบ.ทก.ฉะกัมพูชาไม่จริงใจหยุดยิงขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดแถลงผลการประชุม ศบ.ทก. ประจำวันที่ 27 ก.ค.ระบุถึงกรณีที่มีบางประเทศเรียกร้องให้ไทยกับกัมพูชาหยุดยิงว่า ฝ่ายไทยเห็นด้วยในหลักการ แต่จะกระทำได้ต่อเมื่อฝ่ายกัมพูชาแสดงความจริงใจหารือในรายละเอียดต่างๆ รวมทั้งหยุดยิงเป็นที่ประจักษ์ ฝ่ายกัมพูชายังคงมีการส่งกำลังทหารเข้าปะทะบริเวณใกล้เคียงพื้นที่เขาพระวิหารในเวลา 02.10 น. การยิงจรวด BM-21 ในเวลา 06.10 น. มายังฝ่ายไทย ตกบริเวณบ้านตาโสร์ หมู่ 10 ต.บ้านพลวง อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นเป้าหมายของพลเรือน ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 26 ก.ค.เวลา 15.30 น.กระสุนปืนใหญ่ของกัมพูชาได้พุ่งเป้าใส่โรงพยาบาลในพื้นที่ ได้แก่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลศรีสะเกษ โรงพยาบาลบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ รวมทั้งใช้ประชาชนเป็นโล่กำบังในการตั้งอาวุธยิง ถือเป็นการใช้ประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างไร้หลักมนุษยธรรม ทั้งหมดนี้ถือเป็นการละเมิดต่ออนุสัญญาเจนีวาอย่างชัดเจน เราขอประณามความไม่จริงใจในการพูดคุยของฝ่ายกัมพูชาเลื่อนเจรจาทวิภาคีมาตลอดโฆษก ศบ.ทบ.กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาปฏิเสธและเลื่อนการเจรจาในเวทีทวิภาคีอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเจบีซี จีบีซี หรืออาร์บีซี และที่ผ่านมาสังเกตได้ว่าฝ่ายกัมพูชามีการเสริมกำลังทางทหารบริเวณชายแดน วางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา แสดงท่าทียั่วยุปลุกระดมมวลชนเข้าสู่พื้นที่ความตึงเครียดใช้กระแสชาตินิยมมาปลุกปั่น หวังยกระดับให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ และกล่าวหาประเทศไทยอย่างไร้หลักฐานที่เป็นชนวนของความไม่พอใจและนำไปสู่การใช้ความรุนแรงต่อกันในเวลาต่อมาจวกต้นตอปัญหามาจาก รบ.กัมพูชาพล.ร.ต.สุรสันต์กล่าวว่า สรุปยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ เวลา 09.00 น. วันที่ 27 ก.ค. สำหรับผู้เสียชีวิตที่เป็นพลเรือนมีจำนวน 13 ราย บาดเจ็บสาหัส 11 ราย บาดเจ็บปานกลาง 12 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 13 ราย ยอดรวมทั้งหมด 49 ราย จะสังเกตได้ว่าถึงแม้ตัวเลขอาจจะไม่ได้มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ต้องชื่นชมหน่วยงานในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข ในการช่วยเหลือประชาชนอพยพออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วนให้อยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว และได้รับการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องความขัดแย้งในปัจจุบัน เป็นปัญหาที่เกิดจากนโยบายและรัฐบาลกัมพูชาล้วนๆ ไม่ใช่เกิดจากประชาชนผู้บริสุทธิ์ของทั้งสองประเทศ จึงขอวิงวอนให้ชาวไทยหลีกเลี่ยงการแสดงความรุนแรงด้วยการใช้คำหรือใช้กำลัง ดูหมิ่นเหยียด หยามพี่น้องกัมพูชาที่เข้ามาพำนักหรือทำงานในไทย อย่างสุจริต เว้นในกรณีที่ชาวกัมพูชานั้นแสดงกิริยาก้าวร้าว ขอให้ใช้สติและเหตุผลในการพูดจาตักเตือน หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง ถ้าเหตุสุดวิสัยจริงขอแจ้ง ให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองในการดำเนินตามกฎหมายย้ำนานาชาติเข้าใจไทยด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 26 ก.ค.มีการประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) แบบปิด เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมี 15 รัฐสมาชิกยูเอ็นเอสซี รวมถึงคู่กรณีคือ ไทยกับกัมพูชาเข้าร่วมประชุม เป็นโอกาสให้ฝ่ายไทยย้ำจุดยืนต่อประชาคมโลกด้วยหลักฐานที่หนักแน่นและข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายริเริ่มและเปิดฉากยิงก่อน โดยโจมตีเป้าหมายพลเรือนไทย มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ต้องอพยพหลักแสนคน อีกทั้งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักการมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งการหารือของประเทศสมาชิกยูเอ็นเอสซี ได้กล่าวถึงหลักการกว้างๆ ไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ได้มีมติ หรือการออกเอกสารผลลัพธ์ใดๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แสดงว่าสมาชิกต่างๆมีความเข้าใจในจุดยืนและการดำเนินการของฝ่ายไทยเตรียมจัดเต็มประณามกัมพูชารองโฆษก กต.กล่าวอีกว่า เรื่องการโจมตีเป้าหมายพลเรือนโดยฝ่ายกัมพูชา ขัดต่ออนุสัญญาเจนีวา ที่เกี่ยวกับคุ้มครองหน่วยแพทย์และสถานพยาบาล และเกี่ยวกับภารกิจคุ้มครองโรงพยาบาลฝ่ายพลเรือน กระทรวงการต่างประเทศจะมีหนังสือถึงประธานคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ไอซีอาร์ซี) แสดงการประณามอย่างรุนแรงต่อการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงเหล่านี้ และจะพบกับสำนักงานไอซีอาร์ซี ที่ประจำในประเทศไทย ในวันที่ 29 ก.ค.นี้ เพื่อชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีความสำคัญที่กระทรวงการต่างประเทศต้องเดินหน้าในลักษณะนี้ เพราะไทยต้องการสื่อสารไปยังประชาคมโลกว่า การกระทำอย่างไร้มนุษยธรรมต่อเนื่องของฝ่ายกัมพูชาเป็นสิ่งที่ประชาคมระหว่างประเทศจะต้องร่วมกันประณาม ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะออกแถลงการณ์ชี้แจงต่อสื่อต่างประเทศและประณามกรณีกองกำลังกัมพูชาใช้อาวุธร้ายแรงโจมตีบ้านเรือนประชาชนใน จ.สุรินทร์ พร้อมตอบโต้การเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนโดยฝ่ายกัมพูชาที่กล่าวหาว่าฝ่ายไทยเป็นฝ่ายริเริ่มปิด รพ.เพิ่มอีก 4 แห่งด้าน นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ข้อมูล ณ วันที่ 27 ก.ค.2568 เวลา 11.30 น. ตัวเลขพลเรือนเสียชีวิตยังอยู่ที่ 13 ราย ส่วนผู้บาดเจ็บ 36 ราย มีประชาชนได้รับบาดเจ็บอาการหนักเพิ่ม 1 ราย แบ่งเป็นบาดเจ็บสาหัส 11 ราย บาดเจ็บปานกลาง 12 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 13 ราย ปัจจุบันนอนรักษาตัวใน รพ.15 ราย ส่วน รพ.ได้รับผลกระทบ 19 แห่ง วันที่ 27 ก.ค. มี รพ.ที่ปิดบริการเพิ่มอีก 4 แห่ง ได้แก่ รพ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี รพ.บัวเชด และ รพ.สังขะ จ.สุรินทร์ รพ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ก่อนหน้านี้ รพ.ที่ปิดให้บริการไปแล้ว 7 แห่ง ได้แก่ รพ.น้ำขุ่นและ รพ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี รพ.กันทรลักษ์ และ รพ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ รพ.กาบเชิง และ รพ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ รพ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ รวม รพ.ปิดให้บริการแล้ว 11 แห่ง ลดบริการเหลือเฉพาะฉุกเฉิน (ER) เพิ่มอีก 1 แห่ง คือ รพ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ รวมเปิดบริการเฉพาะฉุกเฉิน 8 แห่ง ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วย 617 ราย มีการเปิดศูนย์อพยพเพิ่มเป็น 433 แห่ง มีผู้เข้าพัก 138,152 คน เป็นกลุ่มเปราะบาง 21,076 คน ส่งต่อผู้อพยพไปรักษาในโรงพยาบาล 139 รายประณามกัมพูชาใช้อาวุธหนักจากนั้นกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) แถลงการณ์ว่า ตามที่เมื่อช่วงเช้า วันที่ 27 ก.ค.2568 เวลาประมาณ 04.30 น. กองกำลังกัมพูชาได้ใช้อาวุธร้ายแรงยิงเข้าใส่บ้านเรือนของประชาชนในดินแดนไทยที่ จ.สุรินทร์ ทั้งยังมีการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนและข้อมูลเท็จ กล่าวหาฝ่ายไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน กต.ขอชี้แจงดังต่อไปนี้ 1. ประเทศไทยขอประณามการกระทำอันร้ายแรงและเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างรุนแรงที่สุด ขอเรียกร้องให้กัมพูชาหยุดโจมตีเป้าหมายพลเรือนในทันที การยุติการสู้รบไม่อาจเกิดขึ้นได้ ตราบใดที่กัมพูชายังคงขาดความสุจริตใจอย่างร้ายแรงและละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน หลักการพื้นฐานของกฎหมายมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยขอสงวนสิทธิในการป้องกันตนเองตามที่บัญญัติไว้ในข้อ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ โดยได้ดำเนินการตอบโต้ในลักษณะที่จำกัดเฉพาะเป้าหมายทางทหาร เพื่อขจัดภัยคุกคามต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และ 2.ประเทศไทยขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศประณามการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมและเลวร้ายเหล่านี้ของกัมพูชาที่ไม่อาจยอมรับได้ในระเบียบโลกที่ยึดถือกติกาและหลักนิติธรรมทภ.2 แจงข่าวลือกัมพูชายิงขีปนาวุธขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อความว่า จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลทางโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการยิงขีปนาวุธเข้าสู่ประเทศไทย ขอเรียนว่าข้อมูลดังกล่าวยังไม่มีการยืนยันจากหน่วยงานราชการหรือกองทัพ เพื่อความถูกต้องในการรับข้อมูลข่าวสาร ขอให้ประชาชนติดตามข่าวจากช่องทางทางการ โดยเฉพาะเพจเฟซบุ๊ก “กองทัพบก Royal Thai Army” หรือ “กองทัพภาคที่ 2” ขอความร่วมมือหลีกเลี่ยงการแชร์หรือส่งต่อข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ เพื่อป้องกันความตื่นตระหนกชายแดนยังระอุ 7 พื้นที่ต่อมาในช่วงเย็น ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 27 ก.ค. ณ เวลา 12.00 น. ดังนี้ ภาพรวมสถานการณ์ในช่วงบ่าย จนถึงช่วงกลางคืนของวันที่ 26 ก.ค. มีการปฏิบัติที่สำคัญจำนวน 7 พื้นที่ประกอบด้วย 1.พื้นที่ช่องบก ทั้ง 2 ฝ่ายตรึงกำลัง และปรากฏข่าวสารว่ามีการเคลื่อนย้ายกำลังบางส่วนมาช่วยในพื้นที่ภูมะเขือ พื้นที่ช่องอานม้า ฝ่ายเราดำเนินการเข้าควบคุมพื้นที่ตามเส้นปฏิบัติการ 1 : 50,000 ขณะที่กำลังประเทศกัมพูชาได้เคลื่อนย้ายลงไปทางทิศใต้ 2.พื้นที่ภูผี-ปราสาทโดนตวล และช่องตาเฒ่า ยังตรึงกำลังกันอยู่ ฝ่ายประเทศกัมพูชาน่าจะมีการสูญเสียอย่างหนัก สำหรับผู้บัญชาการกองพลของประเทศกัมพูชาที่ปรากฏข่าวสารว่าเสียชีวิตเป็นผู้รับผิดชอบพื้นที่นี้ อย่างไร ก็ตามในการปฏิบัติการทางทหารแล้ว ยังไม่สามารถยืนยันข่าวสารนี้ได้ซุ่มยิงจากปราสาทพระวิหาร3.พื้นที่ด้านหน้าเขาพระวิหารยังคงมีการสู้รบกันอยู่ อาวุธหลักของประเทศกัมพูชา คือการใช้พลซุ่มยิงจากพื้นที่ปราสาทพระวิหารมุ่งทำร้ายกำลังพลของเรา ขณะที่พื้นที่ภูมะเขือ ฝ่ายเรายังคงควบคุมพื้นที่ตามเส้นปฏิบัติการ 1 : 50,000 เอาไว้ได้ 4. พื้นที่ช่องจอม มีการใช้อาวุธยิงสนับสนุน โจมตี บ้านเรือนประชาชนไทย และพื้นที่ปราสาทตาควาย และฝ่ายประเทศกัมพูชามีความพยายามในการส่งรถถังขึ้นมายังพื้นที่ช่องกร่าง ทางทิศตะวันตกปราสาทตาควาย 2 กิโลเมตร 5.พื้นที่ปราสาทตาเมือนธม มีการปรับรูปขบวนเข้าตีทางทิศตะวันออกปราสาทตาเมือนตลอดทั้งวัน จนฝ่ายเราต้องถอนตัวออกจากพื้นที่และใช้ปืนใหญ่โจมตีทำให้ฝ่ายประเทศกัมพูชาต้องถอนตัวออกไปภาพรวมสถานการณ์ตึงเครียดสูง สำหรับการปฏิบัติการ ในวันที่ 27 ก.ค.ช่วงเช้าเวลาประมาณ 06.30 น. ฝ่ายกัมพูชาได้ใช้จรวดไม่ทราบชนิด จากที่ตั้งสนามบินกรุงสำโรง จำนวน 4 นัด ทำให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเรือนประชาชนไทย 2 หลัง สัตว์เลี้ยง 5 ตัว การปฏิบัติของฝ่ายไทยที่สำคัญ ได้แก่ การเข้าควบคุมพื้นที่ตามแนวเส้นปฏิบัติการ 1:50,000 บริเวณช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี พื้นที่ที่กัมพูชายังคงมีความพยายามเข้าพื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ช่องตาเฒ่า ด้านหน้าเขาพระวิหาร และภูมะเขือ พื้นที่ช่องจอม ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือน ซึ่งการรุกรานดังกล่าว อาจสร้างผลกระทบต่อประชาชนตามแนวชายแดน จากการยิงอาวุธที่ไม่มีรูปแบบ ไม่เป็นไปตามกฎการปะทะของฝ่ายกัมพูชาก็เป็นได้ ภาพรวมของสถานการณ์ยังมีความตึงเครียดสูง และฝ่ายกัมพูชาอาจกำลังเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการทางทหาร เพื่อสร้างความเสียหายให้กับฝ่ายเราให้มากที่สุดในช่วงสุดท้ายก่อนการเจรจา โดยปัจจุบันได้มีประเทศเป็นกลางเสนอแนวทางในการยุติความขัดแย้งออกมาแล้วหลายประเทศโดยเฉพาะความเห็นของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกายอดอพยพขยับพุ่งเกินแสน ส่วนการอพยพประชาชน สนับสนุนส่วนราชการจังหวัดในการอพยพประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงภัย ไปยังพื้นที่รวบรวมพลเรือน พื้นที่ตอนในทั้ง 4 จังหวัด ดังนี้ จ.บุรีรัมย์ 1 จุด 10,173 คน จ.สุรินทร์ 71 จุด 40,736 คน, จ.ศรีสะเกษ 135 จุด 39,580 คน และ จ.อุบลราชธานี อพยพเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือน 76 จุด 16,588 คน ปัจจุบันดำเนินการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือนแล้ว 107,077 คน (เพิ่มขึ้น 9,646 คน) สำหรับผลกระทบต่อประชาชน พื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ มีกระสุนปืนใหญ่ตกในพื้นที่ 3 ลูก ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ มีกระสุนปืนใหญ่ตกในพื้นที่ 16 ลูก บ.ตาโสร์ ต.บ้านพลวง อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ มีกระสุนปืนใหญ่ ตกในพื้นที่ 9 ลูก บ้านเรือนเสียหาย 3 หลัง (ประชาชน ไม่มีรายงานการสูญเสียต่อชีวิต)พระราชทานกระเช้าครอบครัวทหารนอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วงสายวันที่ 27 ก.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร จังหวัดอำนาจเจริญ และจังหวัดร้อยเอ็ด เชิญตะกร้าสิ่งของพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระ นางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปมอบแก่ญาติของทหารที่เสียชีวิตจากการสู้รบบริเวณชายแดนไทย กัมพูชา ประกอบด้วยครอบครัว จ่าสิบเอก ธวัชชัย บุสภา ที่บ้านในตำบลบ้านซ่ง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ครอบครัวสิบเอก กฤษฎา น้อยโคตร ใน ต.ลือ อ.ปทุมราชวงศา จ.อำนาจเจริญ และครอบครัวสิบเอก จิรายุ สิงห์อ้น ที่บ้านใน ต.หัวช้าง อ.จตุรพักตรพิมาน จ.ร้อยเอ็ด ยังความปลื้มปีติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแก่ครอบครัวทั้งหมดอย่างหาที่สุดมิได้ และมีรายงานว่า ในวันที่ 29 ก.ค.นี้ จะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ จ.ส.อ.ธวัชชัย บุสภา หรือจ่าโต๋ วัดเจริญธรรมาราม ต.บ้านซ่ง อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร ส่วนในวันที่ 30 ก.ค.นี้ จะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ ส.อ.นพพล บุญเลิศ ที่วัดป่าสุสานไตรลักษณ์ บ้านหินลาด ต.กุดชมภู อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี และพลทหารวรัญชิต ยวงสุวรรณ ณ เมรุวัดสว่างอารมณ์ บ้านดอนศาลา ต.เหล่าพัฒนา อ.นาหว้า จ.นครพนมผบ.ตร.เยี่ยมเจ้าหน้าที่บาดเจ็บขณะเดียวกัน มีรายงานว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. เดินทางไปที่ จ.อุบลราชธานี และ จ.ศรีสะเกษ ตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหาร ที่รักษาตัวในโรงพยาบาลจากเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดน เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมทั้งร่วมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยและพระราชทานความช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน โดย ผบ.ตร.เยี่ยมเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหาร ที่ได้รับบาดเจ็บ รักษาตัวที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อ.เมือง อุบลราชธานี และเยี่ยมเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ได้รับบาดเจ็บ รักษาตัวที่โรงพยาบาลศรีสะเกษ พร้อมกับมอบเงินช่วยเหลือเพื่อสนับสนุนกิจกรรมด้านการแพทย์และการรักษาพยาบาล พร้อมกล่าวยกย่องความเสียสละของเจ้าหน้าที่ทหารในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และขอส่งกำลังใจให้หายเป็นปกติโดยเร็ววัน เพื่อกลับมาปฏิบัติหน้าที่อันทรงเกียรติเพื่อประเทศชาติอีกครั้ง จากนั้นได้ตรวจเยี่ยมศูนย์อพยพ วัดพยุห์ อ.พยุห์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งมีจำนวนผู้อพยพประมาณ 400 คน และศูนย์อพยพจุดวัดสำโรง อ.พยุห์ ผู้อพยพประมาณ 430 คนสื่อนอกจับตาข้อเสนอ “ทรัมป์”วันเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศยังคงเกาะติดสถานการณ์การปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา ระบุว่า ในวันเดียวกันนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ต่อสายโทรศัพท์ถึงผู้นำไทยและกัมพูชา ก่อนประกาศในโซเชียลมีเดียว่า ทั้งสองฝ่ายพยายามหาทางหยุดยิงและบรรลุสันติภาพ พร้อมหวังเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ สหรัฐฯมองว่าไม่เหมาะสมที่จะเจรจาจนกว่าการต่อสู้จะยุติลง นายทรัมป์ยังเปรียบเทียบสถานการณ์ครั้งนี้กับความขัดแย้งอินเดีย-ปากีสถานว่า ตอนนั้นก็บอกไปลักษณะเดียวกันว่า หากหยุดต่อสู้จะทำการค้าด้วยชี้กัมพูชายังถล่มไทยไม่หยุดทั้งนี้ สำนักข่าวต่างประเทศยังระบุว่า การสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 33 คน ชาวบ้านพลัดถิ่นกว่า 200,000 คน และถึงการเข้าแทรกแซงสถานการณ์ของประธานาธิบดีทรัมป์จะสร้างความหวังเรื่องการหยุดยิง แต่การปะทะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องตามแนวพรมแดน ขณะที่ รัฐบาลกัมพูชายังกล่าวหาอย่างต่อเนื่องว่า กองทัพไทยยังคงละเมิดอธิปไตยของกัมพูชา พร้อมยิงถล่มปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ส่วนสื่อเอเอฟพีรายงานว่า หน่วยปืนใหญ่กัมพูชาที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่บ้านสำโรง จังหวัดอุดรมีชัย ห่างจากพรมแดน 20 กิโลเมตร ยังคงยิงกระหน่ำไปยังฝั่งไทยอย่างหนักหน่วง แรงสั่นสะเทือนทำให้กระจกในที่พักเขย่าตลอดเวลาดึง รมว.กต.สหรัฐฯ มาช่วย นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชายังเปิดเผยว่า นายปรัก สุคน รมว.ต่างประเทศกัมพูชา ได้รับคำสั่งจากนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้ประสานงานไปทางนายมาร์โค รูบิโอ รมว.ต่างประเทศ สหรัฐฯ ขอความช่วยเหลือให้มาทำหน้าที่หารือกับฝ่ายไทยในเรื่องการหยุดยิง แต่ผู้นำกัมพูชาได้กำชับว่า ให้ระวังฝ่ายไทยบิดพลิ้วข้อตกลงใดๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น“ภูมิธรรม” เตรียมพบ “ฮุน มาเนต”เย็นวันเดียวกัน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายโมฮาเหม็ด ฮาซาน รมว.ต่างประเทศมาเลเซีย ได้เปิดเผยกับสำนักข่าวเบอร์นามาของมาเลเซียว่า นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีไทย มีกำหนดเดินทางมาที่มาเลเซียในวันที่ 28 ก.ค. แสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายมีความมั่นใจต่อมาเลเซีย และได้ขอให้ช่วยเป็นตัวกลางเจรจาไกล่เกลี่ย นายฮาซานยังกล่าวว่า ก่อนหน้านี้เคยคุยกับกระทรวงต่างประเทศ ไทยและกัมพูชาแล้ว ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องตรงกันว่า เรื่องนี้ไม่ควรมีประเทศอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง สื่อรอยเตอร์ ยังรายงานอีกว่า การหารือในมาเลเซียมีขึ้นหลังนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ยื่นข้อเสนอให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงเมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา ตามด้วยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันที่ 26 ก.ค.ว่าผู้นำไทย-กัมพูชา ตกลงที่จะหาทางหยุดยิงนำคณะบินไปมาเลย์แต่เช้าจากนั้นในช่วงค่ำ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และกรรมการ ศบ.ทก.เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยได้รับคำเชิญจากนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ให้เดินทางไปร่วมหารือแนวทางสันติภาพในภูมิภาคนี้ในวันที่ 28 ก.ค. ที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยคณะจะออกเดินทางจากกองทัพอากาศ เวลาประมาณ 10.30 น. และเข้าหารือเวลา 15.00 น. ตามเวลาประเทศมาเลเซีย ซึ่งคณะของทีมไทยแลนด์ นำโดยนายภูมิธรรมเวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์รมว.ต่างประเทศ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และตน ส่วนผู้แทนรัฐบาลกัมพูชา นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เดินทางมาด้วยตนเองยันไทยยึดแผนที่ 1 ต่อ 5 หมื่นนายจิรายุกล่าวชี้แจงกรณีสื่อไทยบางสื่อนำเสนออ้างแหล่งข่าวว่าการไปเจรจาครั้งนี้ ไทยจะยอมใช้แผนที่ 1:200,000 ตามกัมพูชาเพื่อหยุดยิง ไม่เป็นความจริง และเป็นไปไม่ได้แม้แต่น้อย รัฐบาลไทยยึดแผนที่ 1:50,000 มาตลอด ไม่มีรัฐบาลไหน หรือใครจะยอมขายชาติ การเสนอข้อมูลเช่นนี้ต้องระมัดระวังอย่างมากในขณะที่ชาติมีภัยคุกคาม ทั้งนี้การเจรจาจะรับฟังแนวทางเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจและการนำสันติภาพกลับคืนมา รัฐบาลไทยยืนยันปกป้องอธิปไตย บูรณภาพของดินแดนไทยทุกตารางนิ้วกต.แจ้งยูนิเซฟ–ข้าหลวงใหญ่ฯด้านนายนิกรเดช พลางกูล อธิบดีกรมสารนิเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงในเวลาต่อมาว่า รมว.ต่างประเทศ ได้ส่งหนังสือถึงหน่วยงานสหประชาชาติอีก 2 ฉบับ ได้แก่ องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) และข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติแล้ว เพื่อแจ้งถึงการโจมตีตามแนวชายแดนที่ฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.68 ที่ผ่านมา ที่โจมตีอย่างรุนแรงไม่เลือกเป้าหมายและละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศของกัมพูชา โดยเฉพาะด้านสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ส่วนข้อเรียกร้องที่ส่งถึงองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ เพื่อเรียกร้องให้กัมพูชายุติการใช้กำลังที่ทำให้สูญเสียชีวิตและทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะเด็กตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงและเปราะบางโดยทันที ส่วนฉบับที่ส่งถึงข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเพื่อแจ้งการละเมิดสัญญาต่างๆด้านมนุษยชน โดยขอให้พิจารณาใช้อำนาจเรียกร้องให้กัมพูชายุติการกระทำดังกล่าวซัดตั้งใจใช้โล่มนุษย์นายนิกรเดชยังกล่าวถึงการบิดเบือนข่าวอย่างเป็นกระบวนการของกัมพูชาว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างไม่หยุดหย่อน เพื่อเป็นการปกปิดข้อเท็จจริง มุ่งหวังบ่อนทำลายเสถียรภาพความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ รวมถึงข้อกล่าวหาว่ากองทัพไทยสร้างความเสียหายให้ตัวปราสาทพระวิหาร ขอชี้แจงข้อเท็จจริงอีกครั้งว่าเป็นการกล่าวหาไร้หลักฐานและเป็นข้อมูลปลอมแปลงที่สร้างขึ้นเอง ไม่เป็นความจริงอย่างสิ้นเชิง ขอย้ำว่าความไม่สุจริตของกัมพูชาสามารถเห็นได้จากการปล่อยข่าวที่เป็นเท็จ การปลอมแปลงข้อมูล และนอกจากยุทธวิธีการใช้สถานที่พลเรือนเป็นโล่กำบังแล้ว ยังรวมถึงการตั้งใจใช้โบราณสถานเป็นโล่กำบังเพื่อโจมตีฝ่ายไทยด้วย ไทยจำเป็นต้องดำเนินมาตรการตอบโต้กัมพูชา ถือเป็นสิทธิที่ชอบธรรมของไทยภายใต้กฎบัตรระหว่างประเทศ ภายใต้กฎบัตรสหประชาชาติ โดยเฉพาะสิทธิในการป้องกันตนเองจากการรุกรานของกัมพูชา การตอบโต้ของไทยเป็นไปอย่างมีสัดส่วน และอยู่จำกัดเฉพาะการโจมตีทางทหารที่จำเป็นเท่านั้นไทยส่งมอบ 12 ศพทหารกัมพูชากลับกระทั่งเวลา 19.09 น. พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยเมื่อเวลา 16.30 น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้ดำเนินการส่งมอบศพทหารกัมพูชาจำนวน 12 นาย เสียชีวิตจากการสู้รบในพื้นที่ภูมะเขือ ให้แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายกัมพูชา ณ จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อนำศพกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาในภูมิลำเนาต่อไป การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามหลักมนุษยธรรมสากล และถือเป็นการให้เกียรติแก่ทหารที่เสียชีวิตในสมรภูมิ ไม่ว่าจะสังกัดฝ่ายใด สะท้อนถึงจิตวิญญาณของความเป็นทหารที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี เข้าใจถึงหัวอกของผู้ปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์ความขัดแย้ง ซึ่งล้วนปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทเพื่อประเทศของตน สำหรับทหารกล้าของกองทัพบกไทย ผู้ที่สละชีพเพื่อปกป้องแผ่นดินไทยจะไม่ถูกลืม ความเสียสละของพวกเขาจะถูกจารึกไว้ในความทรงจำของประชาชนชาวไทย และจะมีผู้สานต่อภารกิจอันทรงเกียรตินี้เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติไทยต่อไปอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่