กรรมเวรของกฎหมายไทยคือ...ความไม่ชัดเจน เพราะภาษาไทยดิ้นได้แถได้หลายทิศหลายทาง แม้ตีความแล้วแต่คำตอบยังไม่เคลียร์ ก็ต้องตีความซ้ำใหม่กันชุลมุนวุ่นวายนี่คือลักษณะพิเศษของประเทศไทยที่ทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก เรื่องสั้นกลายเป็นเรื่องยาว“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าประเด็นที่ต้องตีความล่าสุด คือกรณีพรรคพลังประชารัฐ ยืนยันว่า “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” แคนดิเดตนายกฯหนึ่งเดียวของพรรค ยังมีสิทธิได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแม้รัฐธรรมนูญมาตรา 159 กำหนดว่าแคนดิเดตนายกฯของพรรคการเมืองที่จะเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องมี สส.ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของจำนวน สส.ทั้งสภาฯหรือต้องมี สส.ไม่ต่ำกว่า 25 คน จาก สส.ทั้งหมด 500 คนแม้ปัจจุบันพรรคพลังประชารัฐของ “ลุงป้อม” จะเหลือ สส.ติดขอบกระด้งเพียง 19 คน ไม่ถึง 25 คน ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแต่ฝ่ายกฎหมายพรรคพลังประชารัฐอ้างว่าการเลือกตั้งใหญ่ปี 2566 พรรคพลังประชารัฐมี สส.ในสังกัด 40 คนจึงต้องนับจำนวน สส.จากการเลือกตั้งเป็นหลักสำคัญฉะนั้น “ลุงป้อม” ในฐานะแคนดิเดตนายกฯพรรคพลังประชารัฐ จึงมีสิทธิเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญแต่ “ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร” ยืนยันว่าพรรคการเมืองที่จะมีสิทธิเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯในสภาฯต้องมี สส.ที่ยังสังกัดพรรคไม่น้อยกว่า 25 คนเมื่อปัจจุบันพรรคพลังประชารัฐมี สส.สังกัดพรรคเพียง 19 คนพล.อ.ประวิตรจึงไม่มีสิทธิได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีการไล่ตามความฝันของลุงป้อมจึงต้องปิดฉากลงอย่างสิ้นเชิง“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่าคำชี้แจงจากเลขาธิการสภาฯจะไม่ทำให้ “ลุงป้อม” และพรรคพลังประชารัฐต้องยอมจำนนเพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ต้องนับจำนวน สส.หลัง กกต.ประกาศผลเลือกตั้ง?หรือต้องนับจำนวน สส.ในปัจจุบัน?เมื่อรัฐธรรมนูญเขียนไม่ชัดเจน การจะฟันธงว่า “ลุงป้อม” หมดสิทธิฝันถึงเก้าอี้นายกฯจึงไม่ใช่คำตอบที่แท้จริงงานนี้ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอย่างแน่นอนฉันใดก็ฉันเพล การที่ “นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการกฤษฎีกา” ทิ่มพรวดว่า นายกฯรักษาการ หรือผู้รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี ไม่มีอำนาจยุบสภา ไม่มีอำนาจแต่งตั้งรัฐมนตรีเพราะทั้ง 2 ประเด็นนี้เป็นอำนาจของนายกฯตัวจริงแต่ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า นายกฯรักษาการมีอำนาจยุบสภาได้ ปรับ ครม.ได้ เท่ากับนายกฯตัวจริงรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดไว้ชัดๆว่า การยุบสภาและการตั้งรัฐมนตรีต้องเป็นอำนาจของนายกฯตัวจริงแต่ผู้เดียวข้อสำคัญ เลขาฯกฤษฎีกาไม่ใช่ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่ควรแย่งตีความแทนศาลรัฐธรรมนูญแถมรัฐบาลยังไม่ได้ถามความเห็นของกฤษฎีกาเลขาธิการกฤษฎีกาจึงไม่ควรถามเองตอบเองประเด็นนี้ต้องไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญอีกแล้วโยม."แม่ลูกจันทร์"คลิกอ่านคอลัมน์ “สำนักข่าวหัวเขียว” เพิ่มเติม