วัตรปฏิบัติปกติของพระ ท่านมักไม่ขัดศรัทธาญาติโยมนี่จึงเป็นจุดอ่อนหนึ่ง ที่ทำให้แผนนารีพิฆาตของสีกาได้ผล วงการพระที่กำลังหาทางป้องกันเหยื่อพระเปรียญเก้า ควรเตือนๆ พระที่มักเผลอเดิน “สะพาน” นี้ไว้ด้วยเรื่องพระขัดศรัทธาโยม เรื่องต่อไปนี้ ผมเอามาจากหนังสือชวนม่วนชื่น ประสบการณ์ตรงของพระอาจารย์พรหม ศิษย์หลวงปู่ชา ปัจจุบันเป็นสมภารวัดพุทธ เมืองเพิร์ธ ออสเตรเลีย ไม่เกี่ยวกับเรื่องนารีพิฆาต แต่ก็เรื่องที่ชาวบ้านควรรู้ ชาววัดควรเอาอย่างพระอาจารย์พรหมเริ่มต้นว่า...เขาจะไม่รับ ไม่จับ ไม่เป็นเจ้าของเงิน เราอยู่ได้อย่างประหยัดที่สุด จากปัจจัยสี่ เท่าที่ญาติโยมทำบุญให้ โดยที่เราไม่ได้ร้องขอแต่...เราอาจได้รับของพิเศษๆจากญาติโยมนานๆครั้งครั้งนั้น พระอาจารย์ ได้ช่วยแก้ปัญหาส่วนตัว ให้ชายไทยคนหนึ่ง ด้วยความกตัญญูรู้คุณ เขาบอกว่า“ท่านครับ กระผมอยากถวายของอะไรสักอย่างให้ท่านใช้ส่วนตัว กระผมมีปัจจัยห้าร้อย ท่านกรุณาบอกกระผมว่าต้องการอะไร?”พระอาจารย์ไม่สามารถคิดได้ในทันที จำเป็นต้องใช้อะไรบ้าง และเขาจำเป็นต้องรีบไป เราจึงตกลงกันว่า “อาตมาจะบอกเขาในวันรุ่งขึ้น เมื่อเขากลับมาที่วัด”ก่อนหน้าที่จะมีคนใจบุญจะถวายปัจจัยห้าร้อย พระอาจารย์สารภาพ เป็นพระผู้น้อยที่มีความสุข จิตใจปลอดโปร่ง จะคิดจะพูดอะไร ก็คิดก็ทำได้ทันทีแต่เมื่อพระอาจารย์เริ่มไตร่ตรองว่าต้องการอะไร ก็เริ่มเขียนรายการ แล้วรายการนั้นก็เริ่มยาว และยาวขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้า! ปัจจัยห้าร้อยบาท ก็ไม่เพียงพอแต่มันก็ช่างเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกิน ที่จะตัดสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกจากรายการสิ่งของที่ต้องการถึงเวลานั้น ความต้องการผุดขึ้นมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ มันกลายเป็นความจำเป็นสุดๆไปเสียทุกอย่างขณะรายการของที่ต้องการยาวขึ้นๆ ถึงเวลานั้น อย่าว่าแต่ปัจจัยห้าร้อยบาท ให้เป็นปัจจัยห้าพันบาทก็ไม่เพียงพอซะแล้วเมื่อรู้ชัด!อะไรกำลังจะเกิดขึ้น สิ่งที่พระอาจารย์ทำ ก็คือโยนรายการสิ่งของที่ต้องการทิ้งวันรุ่งขึ้น เมื่อโยมผู้ปวารณามา พระอาจารย์ก็บอกว่า ให้เอาปัจจัยห้าร้อยบาทไปทำบุญสำหรับการก่อสร้างของวัด หรืออะไรก็ได้ที่เป็นประโยชน์แก่วัด“อาตมาไม่ต้องการอะไร” พระอาจารย์ชี้แจง เมื่อเห็นสีหน้าไม่เข้าใจ“สิ่งที่อาตมาต้องการยิ่งกว่าสิ่งใดในวันนี้ ก็คือ ความสันโดษพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ เมื่อวาน...เมื่อใด อาตมาไม่มีเงิน และไม่มีโอกาสที่จะได้อะไร เมื่อนั้นแหละ! เป็นช่วงเวลาที่ความปรารถนาทั้งหมดของอาตมาเต็มอิ่ม”ห้าบรรทัดท้ายของเรื่องนี้ พระอาจารย์พรหมเขียนว่า ความต้องการย่อมไม่มีวันสิ้นสุด เงินสักพันล้านบาทหรือแม้แต่พันล้านดอลลาร์ ก็ยังไม่พอแต่การเป็นอิสระจากความต้องการนั้นมีจุดสิ้นสุด เมื่อใดเมื่อเรารู้ตัวว่า เราไม่ขาดอะไรสักอย่าง เมื่อเรามีความต้องการกับสิ่งที่เรามีอยู่ และเมื่อนั้นนั่นเอง ที่เรารู้จักคำว่าพอผมอ่านเรื่องนี้จบ ย้อนไปอ่านบรรทัดเริ่มต้น พระอาจารย์พรหมเขียนว่า พระป่า ไม่รับ ไม่จับ ไม่เป็นเจ้าของเงิน เด็กวัดเก่ารุ่นผม ก็เกือบจะลืมๆไปแล้ว พระของเราแยกนิกายกันตรง รับเงิน หรือรับซอง ยังไง?แต่เพิ่งมารู้ชัดเจนว่า พระที่ยึดปฏิปทา ไม่รับ ไม่จับ ไม่เป็นเจ้าของ อย่างพระอาจารย์พรหม ท่านไม่แค่เป็นพระที่อยู่รอดปลอดจากภัยเงิน ท่านยังรอดจากภัยสีกา มาเป็นพระผู้นำกลุ่มวัดพุทธในออสเตรเลียได้ในวันนี้ อย่างมั่นคงและสงบงาม.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม