ภูมิภาคตะวันออกกลางระอุ “อิสราเอล-อิหร่าน เปิดหน้าทำสงครามโดยตรง” นับแต่ 2 เดือนก่อน สหรัฐอเมริกาได้ยื่นคำขาดต่ออิหร่านเข้าเจรจาฟื้นฟูข้อตกลงนิวเคลียร์มิเช่นนั้นจะปฏิบัติการทางทหารแต่สุดท้าย “อิหร่านตัดสินใจเข้าเจรจากับสหรัฐฯ” โดยมีประเทศโอมานทำหน้าที่คนกลางไกล่เกลี่ย 5 รอบแต่ติดข้อจุดยืน 2 ฝ่ายแตกต่างกัน “สหรัฐฯ” ต้องการให้ยุติโครงการนิวเคลียร์เสริมสมรรถนะยูเรเนียม “อิหร่าน” ยืนยันตัวเองมีสิทธิ์ทำตามกรอบกฎหมายสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (Non-Pro liferationTreaty)ก่อนกำหนดเจรจารอบที่ 6 ในวันที่ 16 มิ.ย.2568 “อิสราเอลก็เปิดฉากโจมตีหลายจุดในอิหร่าน” ส่งผลให้บุคคลระดับสูงเสียชีวิตหลายราย จนนำไปสู่การตอบโต้ด้วยขีปนาวุธทางอากาศตลอด 1-2 สัปดาห์แล้วต่อมาอิสราเอลกดดันสหรัฐฯเข้าร่วมปฏิบัติการทำลายโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน เพราะจุดตั้งอยู่ใต้ภูเขาลึกยากต่อการโจมตี จากนั้นสหรัฐฯกำหนดเวลา 15 วันให้อิหร่านแสดงท่าทีว่าจะกลับเข้าสู่กระบวนการเจรจาหรือไม่ และผ่านไปแค่ 2 วันก็ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B-2 โจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน 3 แห่ง นับเป็นจุดเริ่มต้นความขัดแย้งทางทหารในภูมิภาคตะวันออกกลางนี้ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผอ.ศูนย์มุสลิมศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่าความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่านยืดเยื้อมากว่า 40 ปี ในอดีตมักเกิดขึ้นในรูปแบบสงครามตัวแทน สงครามลับผ่านกลุ่มติดอาวุธในภูมิภาค “ก่อนยกระดับเปิดฉากเผชิญหน้ากันโดยตรงอย่างเต็มรูปแบบ” ด้วยการใช้ปฏิบัติการทางอากาศตอบโต้กันอย่างต่อเนื่อง สร้างความเสียหายทั้งทางทหาร และพลเรือนกระทั่งกลายมาเป็นการทำสงคราม “ทั้งแบบเปิดเผย และนอกแบบ” แม้ตอนนี้ 2 ประเทศสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกันได้ในระดับหนึ่ง แต่สงครามลับ และสงครามตัวแทน 2 ฝ่ายก็คงดำเนินต่อไปเช่นเดิม ไม่เท่านั้นยังลุกลามกลายเป็นความขัดแย้ง “ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน” เพราะเดิมทีสหรัฐฯก็พยายามทำลายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านและปฏิบัติการไปแล้ว จากนั้นก็เรียกร้องให้อิหร่านกลับมาเข้าสู่โต๊ะเจรจาอีกครั้ง “เพียงแต่อิหร่านยังปฏิเสธ” ด้วยจากการสูญเสียเกียรติยศศักดิ์ศรีที่ถูกโจมตีโรงงานนิวเคลียร์นั้นอีกส่วนหนึ่งมาจาก “การเป็นพันธมิตรกับจีน-รัสเซีย” โดยทั้ง 2 ประเทศก็ได้แสดงท่าทีประณามการกระทำของสหรัฐฯ แต่ในอีกด้านก็เสนอบทบาทของคนกลางในการไกล่เกลี่ย เพื่อเปิดเวทีพูดคุยระหว่างทุกฝ่ายประเด็นมีอยู่ว่าล่าสุด “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ” โพสต์ข้อความสนับสนุนแนวคิด regime change หรือเปลี่ยนระบอบการปกครองอิหร่านอันเป็นแนวทางสอดรับจุดยืนของอิสราเอล ดังนั้นหากสหรัฐฯ และอิสราเอลยังคงมีเป้าหมายร่วมกันแบบนี้ก็มีแนวโน้มสูงที่สถานการณ์จะยกระดับลุกลามบานปลายมากกว่าเดิมเพราะอิหร่านจะไม่ยอมอ่อนข้อกับเรื่องนี้แน่ๆ ทำให้อาจใช้ทุกทางเลือกที่มีรวมถึงการปิดช่องแคบฮอร์มุซซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทะเลสำคัญในเส้นทางขนส่งน้ำมันหลักของโลก แล้วล่าสุดอิหร่านก็เสนอการอนุมัติจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ และได้รับความเห็นชอบจากผู้นำสูงสุดก่อนที่จะมีผลบังคับใช้แล้วอีกทั้งอิหร่านอาจใช้เครือข่ายกองกำลังตัวแทนในหลายพื้นที่เป็นเครื่องมือตอบโต้ รวมถึงการยิงขีปนาวุธถล่มฐานทัพสหรัฐฯ ที่ตั้งในตะวันออกกลาง “สถานการณ์ยิ่งจะทำให้ความขัดแย้งลุกลามไปสู่สงครามขนาดใหญ่” นำไปสู่ความไร้เสถียรภาพในภูมิภาค ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของโลกในวงกว้างตามมาก็ได้ ยิ่งถ้าสถานการณ์ลุกลามสู่สงครามยืดเยื้อก็เป็นไปได้ต่อการเกิดตัวแสดงใหม่เข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้นในสมรภูมิอย่างจีน-รัสเซียอาจเข้ามาหนุนอิหร่าน ส่วนสหรัฐฯ-พันธมิตรก็สนับสนุนอิสราเอล ทำให้ขยายไปสู่การเผชิญหน้าของมหาอำนาจโลกส่งผลกระทบทั้งด้านพลังงาน ความมั่นคง และเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หากมาดูบทบาท “จีน” แม้จะออกมาประณามการกระทำของสหรัฐฯ และอิสราเอลในการโจมตีทางทหารต่ออิหร่าน ขณะเดียวกันจีนก็ยังคงยึดมั่นในหลักไม่แทรกแซงทางการเมือง และความมั่นคงภายในภูมิภาคตะวันออกกลาง “จีน” เน้นความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาผลประโยชน์ทางด้านพลังงานเป็นหลักเพราะจีนไม่ต้องการเผชิญหน้ากับสหรัฐฯโดยตรง จึงพยายามวางตัวเป็นคนกลางในบทบาทเชิงสร้างสรรค์เพื่อแก้ไขความขัดแย้งระหว่างอิหร่าน-อิสราเอล โดยอาศัยบทบาทผู้ไกล่เกลี่ย ซึ่งจีนเคยประสบความสำเร็จมาแล้วจากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบียกับอิหร่าน ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งสำคัญในภูมิภาคมายาวนานดังนั้น สถานการณ์ขณะนี้ “คงต้องดูท่าทีของสหรัฐฯ และอิสราเอล” หากทั้ง 2 ฝ่ายยังคงมุ่งเป้าต่อการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของอิหร่าน “ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าอิหร่านจะตอบโต้กลับอย่างรุนแรง” เพราะระบอบการปกครองถือเป็นหลักความอยู่รอดของรัฐที่ไม่สามารถยอมอ่อนข้อให้ใครได้“แบบนี้เชื่อว่าอิหร่านจะนำทุกกลไกที่มีมาเผชิญหน้ากับอิสราเอล และสหรัฐฯ ท้ายที่สุดก็จะนำไปสู่ความไม่มั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางอันเป็นแหล่งพลังงานสำคัญทั้งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ แล้วความปั่นป่วนในพื้นที่นี้ย่อมกระทบในวงกว้างต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และพลังงานระดับโลกตามมา” ดร.ศราวุฒิว่าทว่าในส่วนผลกระทบต่อ “ประเทศไทย” ก็มีหลายเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างเช่นประเด็นแรก...“ความปลอดภัยของคนไทย” ปัจจุบันมีแรงงานไทยในอิสราเอลมากกว่า 30,000-40,000 คน กำลังเผชิญกับการโจมตีด้วยจรวด และขีปนาวุธแทบทุกวัน ขณะที่ในอิหร่านก็มีนักเรียนไทยจำนวนไม่น้อยที่พำนักอยู่ในประเทศประการถัดมา “หากความขัดแย้งลุกลามในระดับภูมิภาค” โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอ่าวเปอร์เซียที่มีบทบาทด้านพลังงานของโลก “แถมเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจไทย” ถ้าลุกลามเข้าสู่ภูมิภาคนี้อาจส่งผลทั้งราคาพลังงาน การค้า การลงทุน และเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลก ทำให้ไทยไม่อาจจะมองข้ามตรงไปได้ท้ายที่สุดความขัดแย้งอิหร่าน-อิสราเอล “แนวโน้มต้องยุติในการหยุดยิง” ด้วยข้อจำกัดการทำสงครามจากพรมแดนไม่ได้ติดกันมีระยะห่างระหว่างประเทศ 2,000 กม.จนไม่อาจดำเนินยุทธการเชิงทหารได้ต่อเนื่องฉะนั้น การเจรจาเป็นทางออกที่ดีที่สุด “แต่การเจรจาคงไม่จำกัดแค่ 2 ฝ่ายนี้” เพราะด้วยสหรัฐฯมีบทบาทเป็นพันธมิตรของอิสราเอล ขณะที่จีน–รัสเซียก็เป็นมิตรมีอิทธิพลกับอิหร่าน ถ้าหากมหาอำนาจเหล่านี้เปิดช่องทางหาทางออกร่วมกันได้สถานการณ์ก็จะคลี่คลายลง...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม