ตลอดทศวรรษสังคมตื่นตัวกับ “ปัญหาเมาไม่ขับมากขึ้น” แต่ตัวเลขผู้บาดเจ็บ–เสียชีวิตในอุบัติเหตุยังน่ากังวลจากปัจจัยขับรถเร็วขึ้นมาเป็นเพชฌฆาตภัยเงียบอันดับ 1 ที่คร่าชีวิตคนไทยบนถนนนั้นถ้าดูตามข้อมูลจาก “ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน” ระบุชัดการขับรถเร็วเป็นสาเหตุอันดับ 1 ของอุบัติเหตุในช่วงหลายปีมานี้ “ก่อเกิดการสูญเสียชีวิตสูงมากขึ้น” อย่างในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 7 วันอันตราย ตั้งแต่วันที่ 11-17 เม.ย.2568 เกิดอุบัติเหตุ 1,538 ครั้ง ผู้บาดเจ็บรวม 1,495 คน ผู้เสียชีวิตรวม 253 รายสาเหตุเกิดอุบัติเหตุสูงสุด “ขับรถเร็วเกินกำหนด 41.68% ดื่มแล้วขับ 23.86%” แม้จะมีสถิติขับรถเร็วเป็นสาเหตุหลักแต่สื่อกลับเน้นมาที่เมาไม่ขับทำให้ข่าวมุ่งเรื่องเกี่ยวกับแอลกอฮอล์อันเป็นพฤติกรรมสื่อสารจับต้องได้ กลายเป็นคนทั่วไปไม่มองว่า “ขับรถเร็วเป็นเรื่องอันตรายเท่ากับเมาแล้วขับ” แถมยังเป็นเรื่องปกติในสังคมไทยโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น และวัยทำงานนั้น นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ มองว่า คนไทยเริ่มตระหนักเรื่องเมาไม่ขับมากขึ้น “แต่ขับรถเร็วกลับเป็นตัวแปรอันตรายสูงขึ้น” เพราะไม่ค่อยถูกพูดถึงมากพอ “จนพฤติกรรมเสี่ยงไม่อยู่ระดับเดียวกับดื่มแล้วขับ” การบังคับใช้กฎหมายก็ไม่ลงโทษจริงจัง ยิ่งกว่านั้น “กล้องจับความเร็วในเส้นทางหลัก” เจ้าหน้าที่ส่งใบสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนก็ไม่มีการบังคับให้ชำระค่าปรับก่อนต่อภาษีได้จริง ตามที่กรมการขนส่งทางบกเคยประกาศจะงดต่อภาษีหากไม่จ่ายค่าปรับ เพราะด้วยประชาชนจำนวนหนึ่งฟ้องศาลปกครองกรณีใบสั่งจราจรจากกล้องตรวจจับความเร็วกับการต่อภาษีไม่เกี่ยวข้องกันเช่นนี้ทำให้ยังคงสามารถต่อภาษีรถประจำปีได้ปกติ “ผู้ฝ่าฝืนก็เพิกเฉยต่อกฎหมาย” สะท้อนถึงการเชื่อมโยงของการบังคับใช้กฎหมายจราจรไม่ชัดเจน “มาตรการควบคุมความเร็วไม่อาจสร้างแรงจูงใจให้คนเคารพกฎหมาย” ท้ายที่สุดก็เพิ่มความเสี่ยงอุบัติเหตุบนถนน เพราะยิ่งขับรถเร็วมากก็ยิ่งเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้นเช่นกันถ้ามองเชิงเปรียบเทียบสมัยก่อน ขับรถเร็ว มีลักษณะคล้ายกรณีเมาแล้วขับที่ไม่มีการลงโทษจริงจัง แม้แต่การตรวจวัดแอลกอฮอล์ก็ไม่แพร่หลาย “บทลงโทษไม่ชัดเอาผิดไม่ถึงที่สุด” ทำให้สังคมมองเป็นเรื่องเข้าใจได้แต่ปัจจุบัน “กฎหมายเมาแล้วขับชัดเจน บังคับใช้เข้มงวดขึ้นมาก” ถ้าเกิดอุบัติเหตุต้องเป่าวัดแอลกอฮอล์เสมอ มีโทษทั้งอาญา ทางปกครอง แต่กรณีมีผู้บาดเจ็บ-เสียชีวิตโทษจะสูงขึ้น เช่น จำคุกไม่รอลงอาญา ปัจจัยช่วยเร่งให้ “การบังคับใช้กฎหมายเรื่องเมาแล้วขับจริงจังในช่วงหลัง” ก็เกิดจากพลังสังคมออนไลน์เป็นแรงกดดันทางสังคม ด้วยการถ่ายคลิปผู้เมาแล้วขับถูกนำมาแชร์คลิปภาพหรือพฤติกรรมดื่มแล้วขับต่างๆ กลายเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ “เมาแล้วขับต้องรับโทษ” อย่างกรณีดาราท่านหนึ่งขับรถเฉี่ยวชน จยย.เสียชีวิตบนสะพานข้ามถนนเทพรักษ์ และผลการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่ากฎหมายกำหนด หรือ ผอ.โรงพยาบาลเมาแล้วขับมีค่าวัดแอลกอฮอล์ 119 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ชนนักข่าวเจ็บ 2 คนความจริงแล้ว “คดีเมาแล้วขับมีข่าวกับผู้มีชื่อเสียงอยู่บ่อยนั้น” ถ้าเปรียบเทียบในอดีตก็เกิดขึ้นบ่อยไม่แตกต่างกัน “เพียงแต่สมัยก่อนข่าวคดีเมาแล้วขับ” โดยเฉพาะคนมีชื่อเสียงจะถูกจัดการ หรือถูกดำเนินคดีแบบเงียบๆ หากไม่มีเหตุรุนแรง หรือไม่มีสื่อหลักรายงานคนทั่วไปก็อาจไม่เคยรู้เรื่องเลยด้วยซ้ำแต่ปัจจุบันนี้ “ทุกคนมีโทรศัพท์และมีกล้องหน้ารถ” เมื่อคนมีชื่อเสียงเมาแล้วขับมักถูกเสนอผ่านสื่อโซเชียลฯ ช่วยให้ข่าวกระจายทั้งพยาน คนใกล้เหตุการณ์ หรือเจ้าหน้าที่บางคนก็เป็นผู้นำข้อมูลออกสู่สาธารณะก็มี เช่นนี้มีคำถามต่อว่า “ทำไมยังมีคนเมาแล้วขับเกิดอยู่ตลอด” เรื่องนี้ส่วนหนึ่งเพราะคนบางกลุ่มมักเข้าสังคมร่วมงานต่างๆ “มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร่วมอยู่ด้วย” เมื่อไม่มีการวางแผนการเดินทางกลับบ้านก็เสี่ยงเมาแล้วขับ เพราะมีความมั่นใจรู้สึกว่าตนเองเอาอยู่ หรือบางคนคิดว่าควบคุมสถานการณ์ได้จนมองเป็นเรื่องเล็กน้อยถ้าในอดีตมักจะมีข่าวลือเสมอว่า “เคลียร์หลังไมค์” ที่บางคนมีเส้นสายความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่บางระดับ เช่น รู้จักตำรวจ หรือนักการเมือง ทำให้เรื่องไปไม่ถึงชั้นกระบวนการยุติธรรมจนคนไม่เกรงกลัวกฎหมาย แล้วปัจจุบันแม้การเคลียร์หลังไมค์ยากขึ้น ด้วยกล้องวงจรปิด กล้องหน้ารถ สื่อคอยตรวจสอบเปิดโปง สิ่งที่เป็นปัญหาคือผู้ทำผิดถูกดำเนินคดีมักลงโทษให้รอลงอาญาทำให้คนเมาไม่กลัว รู้ว่าโอกาสติดคุกจริงมีน้อยแม้แต่ในกรณี “ขับรถชนคนบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต” ก็มักปรากฏเป็นข่าวหลายครั้ง มีการยินยอมเสียค่าชดเชยแล้วเรื่องก็จบลงที่ “รอลงอาญา บำเพ็ญประโยชน์ หรือพักใช้ใบขับขี่ชั่วคราว” ทำให้ไม่เพียงพอต่อการสร้างแรงยับยั้งให้ผู้กระทำผิดรู้สึกถึงความร้ายแรงของการเมาแล้วขับ ก่อเกิดไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายอย่างแท้จริง ตอกย้ำว่า ตัวเลขคดีเมาแล้วขับค่อนข้างลดลงเมื่อเทียบกับอดีต แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในเชิงมาตรการ และการบังคับใช้กฎหมาย แต่การรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงโทษ และผลกระทบของการเมาแล้วขับยังถือว่า “ได้ผลไม่เป็นที่พอใจ” เพราะยังคงมีคนฝ่าฝืนกฎหมายจราจรเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องให้เห็นอยู่ตลอดเช่นนี้มูลนิธิเมาไม่ขับจึงพยายามผลักดันแก้ไขกฎหมายเสนอให้ “กรณีเมาแล้วขับจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตต้องได้รับโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 10 ปี” เพื่อให้บทลงโทษมีน้ำหนักเพียงพอในการยับยั้งพฤติกรรมเสี่ยง หากผู้กระทำผิดเป็นบุคคลที่ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมมาก่อนอาจได้รับการลดโทษกึ่งหนึ่งตามกฎหมายทำให้ยังเหลือโทษจำคุกมากกว่า5 ปี อยู่ในเกณฑ์มีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่รอลงอาญา เพราะระยะเวลาการรอลงอาญาขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลแต่ต้องไม่เกิน 5 ปี ดังนั้นการเสนอแก้ไขลักษณะนี้จึงมุ่งหวังให้เกิดการจำคุกจริง เพื่อสร้างบรรทัดฐานใหม่ทางสังคม และทำให้ผู้ขับขี่เกรงกลัวต่อผลของการกระทำอย่างแท้จริง ทั้งพยายามดันให้ออกกฎหมายเพิ่มเติม “กำหนดให้ทุกกรณีเกิดอุบัติเหตุมีผู้บาดเจ็บ–เสียชีวิต” ต้องถูกตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่ทุกฝ่าย หากตำรวจละเว้นการปฏิบัติดังกล่าวโดยไม่มีเหตุอันสมควรอาจเข้าข่ายความผิดตาม ป.อาญา ม.157 เป็นการเพิ่มความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังฉะนั้นการลดอุบัติเหตุบนถนนต้องอาศัยการแก้ไขรอบด้าน “การมุ่งเพียงเมาไม่ขับ” แม้มีความคืบหน้าแต่ยังไม่พอตราบใดที่ “ขับรถเร็ว” ยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตหลัก ดังนั้นการสร้างความตระหนักรู้คู่กับบังคับใช้กฎหมายจะนำไปสู่ความปลอดภัยบนถนนที่ยั่งยืนก่อนสถิติการสูญเสียจะเพิ่มสูงขึ้นไปกว่านี้­­­­­­­­­.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม