ภารกิจ “SEE TRUE” ทีมข่าวสืบสวนสอบสวน “ไทยรัฐทีวี 32” สาวไส้ทุจริต ปมตึกใหม่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มราบเป็นหน้ากลอง หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 จุดศูนย์กลางอยู่ที่รอยเลื่อนสะกาย เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568แม้ระยะทางอยู่ห่างจากไทยนับพันกิโลเมตร แต่ยังสามารถสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างโดยเฉพาะกับตึกสร้างใหม่ สตง. ที่สูงระฟ้า 30 ชั้น มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท ถล่มลงมาด้วยเวลาเพียง 1 นาทีหลังจากผู้อยู่ในเหตุการณ์สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของแผ่นดินไหว ตึกที่สูงเสียดฟ้านี้ทรุดฮวบลงมาทับร่างคนงานนับร้อย ทั้งแรงงานไทย เมียนมา กัมพูชา และลาว เศษปูน เศษเหล็กต่างๆ ทับถมร่างเหยื่อแบบไม่รู้ชะตากรรม ตัวเลขผู้สูญหายมากถึง 113 คน...คำถามสำคัญมีว่า...เป็นไปได้อย่างไร ที่ตึกใหม่กำลังก่อสร้างแห่งนี้เป็นเพียงตึกเดียวในกรุงเทพมหานครที่ทรุดตัวถล่มหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว?แม้กฎหมายควบคุมอาคารในกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2550 ตราไว้ชัดเจนว่า “อาคารสูงมากกว่า 15 เมตร หรือ 5 ชั้นขึ้นไป ต้องออกแบบและก่อสร้างให้สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้”ย้อนเหตุการณ์ “คนจีนส่อพิรุธ รีบขนเอกสารหนี” หลังเฝ้าติดตามสถานการณ์โดยรอบหลังเกิดเหตุ ทีมงาน SEE TRUE นำโดย จุ๊ สันติวิธี พบกลุ่ม “คนจีน” ต้องสงสัยจำนวน 4 คน กำลังเคลื่อนย้ายเอกสารลับ-พิมพ์เขียว ขนข้ามรั้วหลบหนีไปยังพื้นที่สถานีกลางบางซื่อเพื่อหลีกเลี่ยงการพบเจ้าหน้าที่ เมื่อทีมงาน SEE TRUE ลองเข้าไปสอบถาม คนกลุ่มนี้ก็แสดงอาการไม่พอใจทันที โดยภายหลังอ้างว่าที่รีบขนย้ายเอกสารเพราะต้องดำเนินการเคลมประกัน ซึ่งใช้เอกสารประกอบ อีกทั้งนายหลิว หยาง ผู้อำนวยการไซต์งานก่อสร้างตึก สตง. ยืนยันไม่มีเจตนาทำลายหลักฐานจากนั้น...ทางตำรวจยึดเอกสารทั้งหมดเอาไว้ที่ สน.บางซื่อ โดยคนจีนทั้ง 4 คน ถูกดำเนินคดี ฝ่าฝืนเข้าพื้นที่สาธารณภัย ซึ่งต่อมาทั้งหมดให้การรับสารภาพ จึงคงโทษจำคุกคนละ 1 เดือน ปรับคนละ 3 พันบาท ให้รอลงอาญา 1 ปี เมื่อสืบสวนสาวลึกลงไปพบข้อมูลน่าสนใจหลายประการ “ตึกแห่งนี้มีทุนจีนร่วมสร้าง”...ทีมงาน SEE TRUE ขุดคุ้ยต่อจนพบข้อมูลว่าตึกนี้ดำเนินการสร้างโดย 3 บริษัท คือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัดซึ่งไชน่า เรลเวย์ เป็นบริษัทสัญชาติจีน ทั้ง 3 บริษัทมีชื่อคนไทย 3 คน วนเวียนเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นไชน่าเรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) ...อิตาเลียนไทยเป็นบริษัทก่อสร้างสัญชาติไทย มีกรรมการบริษัทเป็นที่รู้จักกันดีคือนายเปรมชัย กรรณสูตส่วนไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ประเทศไทย เป็นบริษัทก่อสร้างสัญชาติจีน มีกรรมการ 2 คน คือนายชวนหลิน จาง และนายโสภณ มีชัย โดยบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป คัมปะนี ถือหุ้นใหญ่สุด 49 เปอร์เซ็นต์ ส่วนหุ้น 51 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือถือโดยคนไทย 3 คน คือ...นายโสภณ มีชัย 40.8 เปอร์เซ็นต์ (407,997 หุ้น) นายประจวบ ศิริเขตร 10.2 เปอร์เซ็นต์ (102,000 หุ้น) และนายมานัส ศรีอนันท์ ถือเพียง 3 หุ้น น่าสนใจว่าทั้ง 3 คนนี้อาจเป็นนอมินีให้ทุนจีนหรือไม่ประเด็นสำคัญต่อมา...สร้างตึกด้วย “เหล็ก” ไม่ได้มาตรฐานหรือไม่?ข้อนี้พบความผิดปกติหลายอย่างในการสร้างตึก สตง. ราคากว่า 2 พันล้านบาท ทั้งปัญหาทางโครงสร้าง...ข้อสงสัยในการประมูลงานที่อาจไม่ชอบมาพากล โดยเฉพาะเรื่อง “เหล็ก” ที่ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อความแข็งแรงของตึก จากการเก็บตัวอย่างเหล็กที่ซากตึกถล่ม พบว่า...มีบางส่วนไม่ได้มาตรฐานตามค่าความสามารถในการต้านแรงดึงโดยเหล็กมีสัญลักษณ์ “SKY” ที่มาจาก บริษัทจีน ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ข้อสังเกต คือบริษัทนี้เปิดกิจการในไทย ได้เพียง 5 ปี ก็สามารถทะยานสู่ผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดเหล็กไทย ปี 2567 ได้ แต่เคยถูกกระทรวงอุตสาหกรรมสั่งปิดชั่วคราวไปตั้งแต่เดือน ธ.ค.2567 ที่ผ่านมาและ...ได้อายัดเหล็กจำนวนหนึ่ง เนื่องจากไม่ผ่านมาตรฐานทั้งนี้สาเหตุที่แท้จริงของการที่ตึกถล่ม ด้วยกรณีนี้มีความซับซ้อน คาดว่าประมาณ 3-4 เดือน จะสรุปสาเหตุเบื้องต้นได้ส่วนใครจะต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์นี้บ้าง ต้องดูว่าสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากอะไรและในกระบวนการหรือขั้นตอนนั้น มีใครเกี่ยวข้องบ้าง ชะตากรรมต่อไป หลังพบรับสร้างอีกหลายโครงการ... ทีมงาน SEE TRUE ระบุว่าปัจจุบันพบข้อมูลว่าบริษัทจีนอย่าง ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) รับงานก่อสร้างโครงการภาครัฐในประเทศไทยถึง 29 โครงการ กระจายอยู่หลายพื้นที่ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงานภาครัฐและโรงพยาบาลคงต้องจับตาดูกันต่อว่า “ไทย” เราจะยังเชื่อใจบริษัทก่อสร้างและผลิตเหล็กจาก “จีน” ได้อีกหรือไม่ เพราะนี่ไม่ใช่ความสูญเสียที่เกิดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเท่านั้น แต่เป็นผลพวงการทุจริตสอดไส้สัมปทาน? ความย่อหย่อนการตรวจสอบคุณภาพวัสดุก่อสร้าง?ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนนับสิบ และมีผู้สูญหายอยู่ระหว่างการค้นหาอีกร้อยกว่าชีวิต ฉะนั้นถึงเวลาแล้วหรือยังที่ประเทศไทยควรยกระดับการบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวดอย่าปล่อยให้ประเทศกลายเป็นสนามการค้าของ “แก๊งโจร” ในคราบ “นักธุรกิจ”.