ในที่สุดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ก็ปลิวลอยเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ในการประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยนายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ได้หยิบยกประเด็นมลพิษทางอากาศในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ เป็นหัวข้อหนึ่งในการอภิปรายการทำงานแก้ปัญหาของรัฐบาล และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีโดยมีการวิพากษ์วิจารณ์นายกฯไม่มีภาวะผู้นำ ไม่สรุปบทเรียนเป็นการบ้าน เพียงสั่งการลอยๆแต่ไม่ติดตาม ทำให้มาตรการต่างๆไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งคุมไฟป่า ตรวจควันดำ แก้ฝุ่นควันข้ามประเทศ ควบคุมการซื้อพืชสวนพืชไร่จากแปลงที่มีการเผา จึงขอให้นายกฯเร่งคืนปอด คืนลมหายใจ คืนสุขภาพที่ดีให้ประชาชนขณะที่ น.ส.แพทองธารได้ลุกขึ้นชี้แจงเรื่องนี้ โดยยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญ ได้ขับเคลื่อนมาตรการแก้ปัญหาฝุ่น โดยบูรณาการหน่วยงานต่างๆทั้งการยกระดับการห้ามเผา ป้องกันการเผาในพื้นที่การเกษตร งดรับซื้อผลผลิตจากแปลงเผา จัดงบฯเฝ้าระวังไฟป่า ชุดปฏิบัติการลาดตระเวนดับไฟป่า ปฏิบัติการฝนหลวงลดฝุ่น และได้แจ้งเตือนให้ความรู้ประชาชน เฝ้าระวังดูแลสุขภาพ จัดทำห้องปลอดฝุ่นทั่วประเทศ เข้มงวดกับการตรวจจับรถควันดำทั่วประเทศมากขึ้น ทั้งหมดคือผลงานแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรม สถิติต่างๆดีขึ้นชัดเจนกว่าปีก่อน จึงขอยืนยันว่าเดินมาถูกทางแล้ว รวมทั้งยังได้ผลักดันปัญหานี้เป็นวาระแห่งชาติยกเป็นวาระอาเซียนด้านนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ชี้แจงว่ารัฐบาลร่วมกับหน่วยงานผลักดันแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหา หมอกควันข้ามแดนภายใต้ “ยุทธศาสตร์ฟ้าใส” ระหว่างประเทศไทย สปป.ลาว และเมียนมา ตั้งแต่เดือน ต.ค.2567 ในความร่วมมือกรอบอาเซียน รวมทั้งความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาอาเซียนอย่างเข้มข้นโดยภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใสดังกล่าว ได้มีแผนปฏิบัติแก้ไข PM 2.5 ข้ามแดนยั่งยืน เช่น จัดทำแผนที่พื้นที่เสี่ยงไฟป่า เปิดสายด่วนมีกลไกเฝ้าระวังและติดตาม รวมถึงความร่วมมือด้านนวัตกรรม และเทคโนโลยีกับประเทศผู้เชี่ยวชาญ โดยเดือน เม.ย.นี้ ประเทศไทยจะจัดประชุม Joint Task Force เพื่อระดมความร่วมมือ เอาเป็นว่า แม้นายกรัฐมนตรีจะยืนยันรัฐบาลได้ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาแล้ว แต่จากสถานการณ์มลพิษทางอากาศที่ยังรุนแรง ชนิดที่กรุงเทพฯและเชียงใหม่ยังมีดัชนีชี้วัดสีแดง ติดอันดับโลกเมืองมลพิษ ฉะนั้นการแก้ปัญหามาตรการต่างๆ ยังต้องเข้มข้น ส่วนในระยะยาวการแก้ปัญหา อย่างยั่งยืนก็ต้องรีบคิดและทำให้ไวที่สุด.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม