“อิ๊งค์” แจงเหตุจีดีพีรั้งท้ายอาเซียน อย่าเพิ่งท้อ-เสียกำลังใจ เริ่มผงกหัวขึ้นแล้ว วิ่งสู้ฟัดหาตลาดสินค้าเกษตรเพิ่ม โอดมีท้อบ้างแต่ไม่นาน อ้อนขอกำลังใจเยอะๆ เลขาฯสภาชงประธานสภาบรรจุญัตติซักฟอก ปมพาดพิง “ทักษิณ” ให้เป็นดุลพินิจประธานฯฝ่ายค้านฉะใช้ลูกไม้สิ้นคิดปิดปาก “บรู๊ค” เผยพท.จ่อถกข้อ ก.ม.สกัดพาดพิง “นายใหญ่” รับวันเดียวน้อยไป แต่ขอเอาแค่พอดีๆ 5 วันโหดร้ายเกิน สว.สีน้ำเงินชงญัตติรอถล่มดีเอสไอ ลั่นไม่อยู่เฉยปล่อยของตามสเต็ป เสียงแข็งต่างคนต่างทำหน้าที่ไป บอร์ดดีเอสไอรับ 1,200 ชื่อโพยพยานฮั้วของจริง มีทั้งสว.-กลุ่มผู้สมัคร เชิญ กกต.แจงก่อนรับคดีพิเศษ โพลชี้คนไม่ค่อยพอใจผลงาน 6 เดือน “รัฐบาลนายกฯอิ๊งค์” ยกตัดไฟ-ตัดเน็ตแก๊งคอลผลงานเด่นว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบความถูกต้องญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ของพรรคร่วมฝ่ายค้านเสร็จแล้ว พร้อมเสนอให้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาบรรจุลงในระเบียบวาระนายกฯแจงจีดีพีรั้งท้ายอาเซียนเมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 2 มี.ค. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” ถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยว่าหลายฝ่ายรู้สึกกังวลว่าทำไมเศรษฐกิจของเราไม่โตหรือรั้งท้ายกลุ่มอาเซียน มีข้ออธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ปีที่แล้วไตรมาส 4 จีดีพีโตที่ 3.2% ทั้งปีอยู่ที่ 2.5% แค่ไตรมาส 4 ขึ้นเยอะ มากพอสมควรจากฟรีวีซ่า การลงทุนภาครัฐ การลงทุนทางบีโอไอ แต่ถามว่าทำไมจีดีพีเราโตขึ้นน้อย เทียบกับอาเซียนช่วง 10 กว่าปีมานี้เราไม่ค่อยมีการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมใหม่ๆ ทั้งที่คนไทยมีศักยภาพอีกมากรอแค่โอกาส รอแค่การลงทุน การพัฒนาทักษะ ทั้งเซมิคอนดักเตอร์ การผลิตรถอีวี ที่รัฐบาลนี้ลงทุนอย่างจริงจัง มีภาคเอกชนช่วย ทุกฝ่ายต้องดันจีดีพีขึ้นด้วยกัน เราก็อยากให้เอสเอ็มอีที่คิดเป็น 75% ของประเทศมีการลงทุนเพิ่มขึ้น จึงต้องอาศัยธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อ ซึ่งผลักดันจีดีพีแน่นอนอย่าท้อเสียกำลังใจไต่ระดับขึ้นน.ส.แพทองธารกล่าวว่า นั่งเป็นนายกฯ มาประมาณ 5-6 เดือน งบประมาณค่อนข้างมีจำกัด ส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้เป็นงบฯประจำ เราพยายามรัดเข็มขัด เพราะไม่อยากให้มีรายจ่ายเพิ่มเพราะงบรายปีถูกกำหนดไว้แล้ว อยากให้นำเงินในส่วนนี้เป็นการลงทุนภาครัฐมากกว่า แต่อย่าเพิ่งเสียกำลังใจที่จีดีพีเราโต 2.5% เพราะเป็นการขยับขึ้น คิดว่าภายใต้การนำของรัฐบาลนี้ จีดีพีมีโอกาสโตขึ้นสูงมากๆ อย่าเพิ่งท้อใจ นี่เพิ่งต้นปี เราต้องร่วมมือกัน ตัวเลขจากบีโอไอในปี 2567 มีต่างชาติมาลงทุนกว่า 1 ล้านล้านบาท สูงที่สุดในรอบ 10 ปี ล่าสุดที่เข้าร่วมประชุม World Economic Forum ปี 2025 หรือ WEF 2025 เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส มีการสอบถามจะมั่นคงอย่างไร ได้ให้ความมั่นใจไปว่าเราจะทำเรื่องนี้เต็มที่ รัฐบาลต้องอยู่ครบเทอมเพื่อผลักดันการลงทุน บอกให้เขามั่นใจว่าไม่ใช่เอะอะยุบสภา เกมการเมืองเป็นเรื่องหนึ่ง แต่คนที่ได้ผลกระทบคือประชาชนและประเทศ จึงต้องหนักแน่นในทุกเรื่องวิ่งสู้ฟัดหาตลาดสินค้าเกษตรเพิ่มนายกฯกล่าวอีกว่า เวลาบริษัทต่างชาติเอาเงินมาลงทุน ไม่ใช่แค่จีดีพีขยับ แต่ลงไปถึงรากเล็กๆ คนเล็กๆ ได้ทั้งระบบ เราต้องพร้อมพัฒนาทักษะคนด้วย จึงเน้นการศึกษาเพิ่มโอกาสให้เด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นทุนการศึกษา หนึ่งอำเภอ หนึ่งทุน (ODOS) การเรียนรู้ด้านอุตสาหกรรมในอนาคต สนับสนุนเด็กๆ เป็น Thailand Zero Dropout ไม่มีใครออกนอกระบบการศึกษา ส่วนราคาสินค้าเกษตร เช่น ข้าว ตอนนี้หลายประเทศส่งออกกันมากขึ้น ทำให้ราคาทั่วโลกตกลง ออกมาตรการไปแล้วเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวนา มั่นใจได้ว่าราคาจะเพิ่มขึ้น ที่ต้องทำต่อคือการวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าว พันธุ์พืชต่างๆ ให้ได้คุณภาพดีขึ้น นอกเหนือการส่งออก รัฐบาลต้องหาตลาดเพิ่มขึ้น ไทยเป็นผู้ส่งออกสำคัญของโลก ทั้งทุเรียน ลำไย มังคุด มะม่วง แต่ตอนนี้ทุกประเทศพยายามผลิตแข่งกับเรา เราตั้งใจเปลี่ยนผลไม้ไทยให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น เหมือนที่ทำไวน์ฝรั่งเศสขายขวดละเป็นแสนได้โอดมีท้อกันบ้างอ้อนขอกำลังใจน.ส.แพทองธารกล่าวว่า ทั้งหมดเป็นกำลังสำคัญผลักดันจีดีพี เพิ่งเริ่มต้นเดือนที่ 2 เอง รัฐบาลผลักดันต่อให้เพิ่มขึ้นแน่นอน อยากทำให้ขึ้นแบบก้าวกระโดด ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน คิดว่าเป็นไปได้ อยากให้ทุกคนรวยๆ จะได้จับจ่ายใช้สอยเกิดประโยชน์กับประเทศด้วย มาเป็นนายกฯ จะไม่เลือกว่าจังหวัดไหนคุณพ่อเคยทำหรือไม่ ไม่เกี่ยวกัน ทุกที่ทุกจังหวัดคือประเทศไทย นายกฯ ต้องดูแลประเทศไทยให้ดีที่สุด ไม่มีข้อต่อรอง “ท้ายนี้ขอกำลังใจเยอะๆ บางทีมีท้อบ้าง แต่ไม่ท้อนานแน่นอน สู้ค่ะ ยังไงก็ตามประเทศยังต้องการพัฒนา การผลักดันอีกเยอะ คนยังต้องการการสนับสนุนอีกเยอะ วันนี้มีโอกาสเป็นนายกฯ จะทำหน้าที่เต็มที่ที่สุด ฉะนั้นปีแห่งโอกาส ทุกคนต้องมีความหวัง และต้องได้รับโอกาสแน่นอน”ชงประธานสภาบรรจุญัตติซักฟอกวันเดียวกัน ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการตรวจสอบความถูกต้อง ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ของพรรคร่วมฝ่ายค้านว่า ตรวจสอบความถูกต้องของลายมือชื่อและเนื้อหาญัตติเสร็จแล้ว เสนอให้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาบรรจุในระเบียบวาระแล้ว เมื่อถามว่าในญัตติระบุชื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ถูกมองเป็นบุคคลภายนอก ตามข้อบังคับทำได้หรือไม่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ตอบว่า เป็นดุลพินิจของประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ จะพิจารณาการตรวจสอบไม่ได้เสนอให้ตัดข้อความใดในญัตติออก เป็นการเสนอให้ประธานสภาฯบรรจุญัตติในระเบียบวาระตามขั้นตอนปกติ ส่วนการพิจารณาถึงความเหมาะสมเป็นดุลพินิจของประธาน ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการอภิปรายบุคคลฝ่ายค้านฉะใช้ลูกไม้สิ้นคิดปิดปากนายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ รองโฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวถึงกรณี นายวิสิทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาล ยืนยันจะให้ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯเพียงวันเดียวว่า ทางเดียวที่เราจะอภิปรายแค่วันเดียว คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ต้องลาออกจากตำแหน่งหลังการอภิปรายวันแรกเท่านั้น ที่ฝ่ายค้านได้เสนอไป 5 วัน หากรัฐบาลมั่นใจว่า น.ส.แพทองธารทำงานตามที่โฆษณาไว้ ก็ไม่มีเหตุผลต้องกลัวเลย ควรพอได้แล้วกับการนำเสนอข้อมูลฝั่งเดียว แบบที่ทำในรายการโอกาสไทยกับนายกแพทองธาร เปลืองงบประมาณ การแสดงออกแบบนี้ยิ่งชัดเจนว่ารัฐบาลกลัวประชาชนจะรู้ว่านายกฯไม่มีความรู้ความสามารถ ความกลัวนี้สะท้อนให้เห็นตั้งแต่การหนีตอบกระทู้ฝ่ายค้าน ขนาดเปิดข้อสอบล่วงหน้าให้เตรียมมาตอบ นายกฯ ยังไม่กล้าตอบ ลุกหนีกลางสภาแทบไม่ทัน ตอกย้ำชัดว่าไม่มีภาวะผู้นำ จนรัฐมนตรีใต้บังคับบัญชา สส.รัฐบาล ต้องออกหน้ามาปกป้องใช้ลูกไม้สิ้นคิดแบบนี้ แม้แต่นายกฯยังยอมรับว่าต้องตั้งองครักษ์มาช่วยตอบโต้ฝ่ายค้าน ที่ตรวจสอบตามหน้าที่พท.เสียงแข็งอภิปรายวันเดียวพอนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า ยังยืนยันว่าจะให้เวลาฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจเพียงวันเดียวพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้มากกว่านั้น ไม่เคยมีเปิดอภิปรายคนเดียวแต่ใช้เวลา 5 วัน ให้เวลานายกฯ หรือรัฐมนตรีคนอื่นไปทำงานดีกว่า โดยมารยาทจะไม่พูดก่อน ต้องพูดคุยกันในวิป 3 ฝ่ายก่อน ยังไม่ได้พูดคุยกัน แต่ประโคมข่าวจะอภิปราย 5 วัน สุดท้ายยื่นอภิปรายคนเดียว ดังนั้น 1 วันเพียงพอแล้ว เมื่อถามว่ามีการนำไปเปรียบเทียบกับสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายวิสุทธิ์ตอบว่า เราให้เวลาอภิปรายตามจำนวนคน ถ้าจะเอา 5 วัน ก็รอให้คุณเป็นรัฐบาลก่อน แต่ตอนนี้เป็นฝ่ายค้านต้องฟังเราบ้าง จะเอาไม่เอาก็เรื่องของเขาไม่อภิปรายก็ได้พวกตนไม่ได้เดือดร้อน ส่วนการชี้แจง ตามข้อบังคับนายกฯจะให้ใครมาตอบแทนก็ได้ คงตอบคนเดียวไม่ไหว อาจให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องมาตอบ เชื่อว่าไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีอะไรน่ากังวลจ่อถกข้อ ก.ม.สกัดพาดพิง “นายใหญ่”ด้านนายดนุพร ปุณณกันต์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การอภิปรายนายกฯคนเดียวก็เท่ากับอภิปราย ครม.ทั้งคณะ ในเชิงลึกรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงจะทราบมากกว่านายกฯ ทุกคนพร้อมชี้แจง ต้องช่วยกัน เชื่อศักยภาพนายกฯชี้แจงได้อยู่แล้ว และในญัตติที่ฝ่ายค้านมุ่งไปที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พรรคต้องมาพิจารณากันว่าจะให้ฝ่ายค้านพาดพิงได้มากน้อยแค่ไหน เพราะนายทักษิณไม่ได้อยู่ใน ครม. ไม่มีโอกาสมาชี้แจง วันที่ 4 มี.ค. จะมีประชุมพรรคเพื่อไทยเพื่อคุยกันข้อกฎหมายว่าประเด็นอะไรบ้างที่ไม่ควรพูดในสภา เมื่อถามถึงกระแสข่าวนายทักษิณจะตั้งวอร์รูมอาจเป็นที่สภาในวันอภิปราย นายดนุพรตอบว่า ไม่จริง ไม่ได้ยินและเชื่อว่าไม่มา การตั้งวอร์รูมอาจเป็นตน และเลขาธิการพรรคมากกว่า ป้องกันไม่ให้ใครนำข้อมูลเท็จไปบิดเบือน ทำสังคมสับสนเอาแค่พอดีๆขอ 5 วันโหดร้ายเกินผู้สื่อข่าวถามว่า ฝ่ายค้านยังยืนยันอยากอภิปรายมากกว่า 1 วัน และมองว่ารัฐบาลใจแคบ นายดนุพร ตอบว่า ขึ้นอยู่กับว่ายื่นอภิปรายรัฐมนตรีกี่คนและเรื่องที่ยื่นมีอะไรบ้าง ครั้งนี้ยื่นอภิปรายเพียงนายกฯ คนเดียว ขอ 5 วันโหดร้ายเกินไป ต้องดูตามความพอดี เป็นหน้าที่วิป 2 ฝ่ายไปคุยกันว่าจะกี่วัน ไม่ให้ยืดเยื้อทำให้คนฟังเบื่อ เมื่อถามว่าถูกมองว่าต้องการปกป้องนายกฯ ไม่ให้ถูกถล่มจนบอบช้ำ นายดนุพรตอบว่า ต่อให้นายกฯไม่บอบช้ำในสภา ฝ่ายค้านก็สามารถแถลงด่านายกฯให้บอบช้ำรายวันได้อยู่แล้ว และโลกออนไลน์ไปเร็ว ในความรู้สึกตนเห็นว่า 1 วันน้อยไป อยากให้ฝ่ายค้านทำงานการตรวจสอบ ให้ประชาชนที่ฟังอยู่จะได้สิ้นข้อสงสัย ถ้า 1 วันก่อนเที่ยงคืนหากยังมีประเด็นสงสัยก็ไม่จบ และคนที่จะถูกตำหนิคือรัฐบาล ฉะนั้นมองว่าการมาตอบคำถามในสภาสง่างาม กว่าในฐานะคนเป็นนายกฯ คนเป็นรัฐมนตรี รวมถึงฝ่ายค้านด้วย ถ้าไปถามต่อนอกสภาคงดูไม่สง่างามสว.สีน้ำเงินชงญัตติถล่มดีเอสไอผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า การประชุมวุฒิสภา วันที่ 4 มี.ค. มีวาระพิจารณาที่น่าสนใจคือ ญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย เสนอโดย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว. และคณะ (กลุ่มสีน้ำเงิน) สาระของญัตติระบุว่า ที่ผ่านมาพบว่ากระบวนการยุติธรรมขาดประสิทธิภาพ มีการแทรกแซง ครอบงำจากฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะการดำเนินคดีพิเศษ ของกระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ล่าช้า ไม่สามารถทำให้ผู้ทำความผิดได้รับโทษอย่างแท้จริง ไม่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ เช่น การดำเนินคดีนายทุนชาวจีนสีเทา มีปัญหาการบังคับใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ เช่น การให้สิทธิผู้ต้องขังได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม เลือกปฏิบัติ ไม่บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัด ผู้ต้องขังบางคนได้รับสิทธิพิเศษกว่าผู้ต้องขังคนอื่น สมควรที่วุฒิสภาจะระดมความคิดเห็น เสนอไปยังรัฐบาลพิจารณาดำเนินการต่อไปลั่นไม่อยู่เฉยปล่อยของตามสเต็ปนายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร สว. เลขานุการวิปวุฒิสภา กล่าวว่า เรื่องคดีฮั้วเลือก สว. ยังพูดไม่ได้ เหตุคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) จะรับเป็นคดี พิเศษหรือไม่ ถ้ารับเราอาจสงสัยว่า กคพ.ใช้อำนาจหน้าที่เกินขอบเขตหรือไม่ สว.มีสิทธิ์ปกป้องสถาบันนิติบัญญัติ เมื่อถามว่าหาก กคพ.รับเป็นคดีพิเศษ มีโอกาสจุดชนวนวิกฤติทางการเมืองอย่างไร นายวุฒิชาติตอบว่า ไม่อยากคาดการณ์ในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น คงต้องมีมาตรการป้องกันสถาบันนิติบัญญัติ เพื่อพิสูจน์ให้สังคมเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น คงไม่อยู่เฉย ถ้า กคพ.รับ ก็ค่อยๆไปทีละสเต็ป ตั้งแต่ เชิญมาถามในประเด็นที่ข้องใจ เมื่อถามว่า สว. ส่วนใหญ่ถูกตั้งข้อสังเกตแนบชิดกับพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาลพยายามมาแซะ สว. นายวุฒิชาติตอบว่า ยืนยัน สว.ส่วนใหญ่แยกแยะได้ มีวุฒิภาวะ “ไม่ใช่คุณเกเรมา เกเรกลับ” สว.ไม่ได้สังกัดพรรคการเมือง สิ่งที่ สว.ทำไม่ได้ไปแตะต้องรัฐบาล พุ่งเป้าไปที่กระทรวงยุติธรรม รมว.ยุติธรรม อธิบดีดีเอสไอ ไม่ได้กระทบต่อพรรคร่วมรัฐบาล ใครเป็นคู่กรณีกับ สว.ก็ว่ากันไปตามนั้นต่างคนต่างทำหน้าที่ถึงเวลาจบนายวุฒิชาติกล่าวว่า ไม่อยากให้มองเป็นเรื่องของการเมือง วันนี้เราทำหน้าที่ของเรา คุณทำหน้าที่ของคุณ คุณอย่าล้ำเส้นเรา เราก็ไม่ไปล้ำเส้นคุณ เมื่อคุณใช้อำนาจเกินกว่ากฎหมายมากระทบเรา เราต้องปกครองสถาบันหลัก เสาหลัก 1 ใน 3 ของ ระบอบประชาธิปไตย เมื่อถามว่าทางออกที่ดีคดีฮั้วเลือก สว. ต้องปล่อยให้ กกต.เดินหน้าตรวจสอบไป นายวุฒิชาติตอบว่า ไม่ได้บอกว่าต้องปล่อย กกต. ต้องปล่อยให้หน่วยงานที่มีหน้าที่จริงๆดำเนินการ กกต.มีหน้าที่ก็ทำไป ดีเอสไอมั่นใจมีหน้าที่ก็ทำไป แต่ สว.มองว่าไม่มีหน้าที่ “ไม่เกิดวิกฤติหรอก ยกเว้นฝ่ายนั้นกับเราไม่ยอมจบ เราจบ ไม่ได้มีอะไร ไม่ต้องห่วงว่ามันจะเป็นรอยร้าวที่มองหน้ากันไม่ได้ ขอให้ใช้อำนาจหน้าที่อยู่ในขอบเขตของตัวเองแล้วกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ ถึงเวลาจบ”ดีเอสไอรับ 1,200 ชื่อพยานฮั้วของจริงผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังมีเอกสารรายชื่อบรรดาผู้สมัคร สว. และผู้ได้รับเลือกเป็น สว. รวมประมาณ 1,200 ราย ถูกนำเผยแพร่ในไลน์กลุ่มการเมืองของสมาชิกรัฐสภาบางกลุ่ม ระบุว่าเป็นเอกสารหลุดรายชื่อพยานที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เตรียมเรียกมาสอบปากคำในคดีฮั้วเลือก สว. ล่าสุดมีการยืนยันจากแหล่งข่าวระดับสูงของ คณะกรรมการคดีพิเศษ (บอร์ด กคพ.) ว่ารายชื่อกว่า 1,200 ราย ที่ปรากฏในเอกสาร มีความถูกต้อง 99.5% ที่ขาดอีก 0.5% ที่เป็นกลุ่มคนระดับหัวหน้าแก๊งกับทีมบริหาร หากวันที่ 6 มี.ค. ที่จะมีการประชุมหารือครั้งที่ 2 ว่าจะรับคดีฮั้วเลือก สว. เป็นคดีพิเศษหรือไม่ จะเชิญกรรมการ กกต.มาร่วมประชุมด้วย หากมติที่ประชุมขอให้รับไว้เป็นคดีพิเศษ ขั้นตอนต่อไปจะแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อสอบสวนและขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการในการกระทำ ความผิด และทยอยออกหมายเรียกพยานกว่า 1,200ราย เข้าให้ปากคำ หากพยานหลักฐานพบว่าบุคคลใดมีส่วนเกี่ยวข้องกระทำความผิด จะเปลี่ยนจากสถานะพยานเป็นผู้ต้องหาในคดี เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องกระทำความผิดในระดับเครือข่ายองค์กร มีผู้ร่วมขบวนการกว่า 10,000 ราย มีพยานหลักฐานการสมคบคิดชัดเจน มีการนัดหมายรวมตัวกัน มีนักคณิตศาสตร์ นักเทคโนโลยีและไอที ช่วยเซตระบบโพยพยานมีทั้ง สว.และผู้สมัครทั่ว ปท.สำหรับรายชื่อกว่า 1,200 ราย ที่ปรากฏในโพยพยานของดีเอสไอ มีทั้งในส่วนของผู้สมัคร สว. และผู้ได้รับเลือกเป็น สว. เช่นพื้นที่ จ.กระบี่ กทม. กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชัยนาท ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด นครนายก นครพนม นครปฐม นครราชสีมา นคร ศรีธรรมราช นครสวรรค์ นนทบุรี นราธิวาส น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พัทลุง พิจิตร เพชรบุรี แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ยะลา ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อำนาจเจริญ อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุบลราชธานี เป็นต้นเลื่อนถก ครม. “อิ๊งค์” ไปเยอรมนีนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายก รัฐมนตรี กล่าวว่า สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งเลื่อนประชุม ครม. จากเดิมวันที่ 4 มี.ค. มาเป็น วันที่ 3 มี.ค. เวลา 09.00 น. เนื่องจากระหว่างวันที่ 4-8 มี.ค. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ มีกำหนดการเดินทางไปร่วมประชุมหารือกับทีมไทยแลนด์ ส่งเสริมการท่องเที่ยว ITB Berlin 2025 ที่กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ร่วมกับกระทรวงการ ท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นำเสนอแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของไทยต่อสายตาโลก ส่วนวาระประชุม ครม.ที่น่าสนใจ เช่น การทบทวนมติ ครม. เกี่ยวกับระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน การ ขออนุมัติโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบ เพื่อจัดการทรัพยากรประมงทะเลอย่างยั่งยืน การขอรับสนับสนุนงบกลาง สำหรับโครงการจัดหาชุดเครื่องผลิตสารฝนหลวงสูตร 3 (น้ำแข็งแห้ง) รายการเงิน สำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนิน โครงการ Maha Songkran World Water Festival 2025เป็นต้นโพลชี้ไม่ค่อยพอใจผลงาน 6 เดือนอีกเรื่อง นิด้าโพลเปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน อายุ 18 ปีขึ้นไป รวม 1,310 หน่วยตัวอย่าง เรื่อง “6 เดือน รัฐบาลนายกฯอิ๊งค์” ระหว่างวันที่ 24-26 ก.พ. พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 34.58 ยังไม่ค่อยพอใจต่อการทำงานของรัฐบาล มีร้อยละ 32.60 ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20 ไม่พอใจเลย และร้อยละ 12.82 พอใจมาก ส่วนความพึงพอใจต่อการทำงานของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ร้อยละ 32.60 ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 31.76 ค่อนข้าง พอใจ ร้อยละ 22.28 ไม่พอใจเลย และร้อยละ 13.36 พอใจมาก ด้านความเชื่อมั่นต่อการทำงานของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหาประเทศ ร้อยละ 36.41 ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 26.26 ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 25.04 ค่อนข้างเชื่อมั่น และร้อยละ 12.29 เชื่อมั่นมาก ขณะที่ความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานในแต่ละกระทรวงของรัฐบาลชุดนี้ ในรอบ 6 เดือน พบว่า ความพึงพอใจ 5 อันดับแรก คือ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพลังงาน ส่วนกระทรวงที่ประชาชน ไม่พอใจการทำงาน 5 อันดับ คือ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงกลาโหมตัดไฟ-ตัดเน็ตแก๊งคอลผลงานเด่นด้านสวนดุสิตโพล เปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ 2,179 คน เรื่อง “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือน ก.พ.2568” ระหว่างวันที่ 24-28 ก.พ. พบว่า คะแนนภาพรวมดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือน ก.พ.2568 เฉลี่ย 5.02 คะแนน ลดลง จากเดือน ม.ค.2568 ที่ได้ 5.06 คะแนน ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนสูงสุด คือ ผลงานของฝ่ายค้านเฉลี่ย 5.42 คะแนน ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนต่ำสุด คือ การแก้ปัญหายาเสพติดและผู้มีอิทธิพล เฉลี่ย 4.59 คะแนน นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่มีบทบาทโดดเด่นประจำเดือน คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นักการเมืองฝ่ายค้านที่มีบทบาทโดดเด่นประจำเดือน คือ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส่วนผลงานฝ่ายรัฐบาลที่ชื่นชอบคือ ตัดไฟ-ตัดเน็ตแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ผลงานฝ่ายค้านที่ชื่นชอบคือ จี้ตัดไฟข้ามแดนอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่