การขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีน “ในภูมิภาคอาเซียน” เติบโตอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะประเทศไทยที่ตั้งในทำเลทางยุทธศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เสมือนเป็นประตูเชื่อมสู่หลายประเทศจนเป็นประเด็นถูกพูดมากเนื่องจากจีนใช้หลายกลยุทธ์ขยายอำนาจ และผลประโยชน์ในช่วงที่ผ่านมานี้สังเกตจากช่วงไม่กี่ปีนี้ทุนจีนเข้ามาซื้อที่ดินลงทุนพัฒนาโครงการใหญ่ๆ “แทบเป็นทุนใหญ่ในไทย” กลายเป็นความเสี่ยงการพึ่งพิงจะนำไปสู่การครอบงำทางเศรษฐกิจที่อาจมีผลระยะยาวหรือไม่ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัย และประเมินค่าอสังหา ริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส บอกว่าปีนี้ต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยน้อยลงเมื่อเทียบกับปีก่อนนี้ “แต่มิใช่ว่าไทยหมดเสน่ห์” เพียงแต่หลายประเทศต้องเจอกับเศรษฐกิจตกต่ำอย่าง “จีน” จนรัฐบาลไม่อยากให้นำเงินออกนอกประเทศ “เมียนมา” แม้ช่วงแรกอพยพหนีสงครามแต่สถานการณ์ในประเทศทรงตัวอัตราเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทยก็ลดลงแต่ว่า “อสังหาริมทรัพย์ในไทยยังเนื้อหอม” ด้วยประเทศไทยเปิดให้ต่างชาติสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์แทบไร้เงื่อนไขแตกต่างจากหลายประเทศอย่าง “สิงคโปร์ และฮ่องกง” เก็บภาษีการซื้อคนต่างชาติ 30-60% “มาเลเซีย” กำหนดให้ต่างชาติซื้อได้ 15 ล้านบาทขึ้นไป “อินโดนีเซีย” กำหนดให้ซื้อ 10 ล้านบาทขึ้นไป ขณะที่ประเทศไทย “แทบไม่เก็บภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง” โดยต่างชาติซื้อบ้านในไทยเราเก็บภาษีล้านละ 200 บาท “จนไม่มีความหมายอะไร” ต่างจากอารยประเทศอย่างสหรัฐฯ เก็บล้าน 1-3% ของราคาซื้อขายจริง เช่นนี้ต่างชาติจึงมักมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทยโดยเฉพาะคนจีนเบนเข็มมาจนติดอันดับหนึ่งผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์แน่นอนการที่ “จีนเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย” ส่วนหนึ่งรัฐบาลจีนสนับสนุนให้ออกมาอาศัยในประเทศอื่น “เป็นกลยุทธ์มาตั้งแต่โบราณ” เพื่อเปิดโอกาสให้คนจีนได้ออกมาทำธุรกิจนอกประเทศเสมือนขยายอิทธิพลลักษณะกึ่งตั้งอาณานิคมใหม่ เพราะไม่ใช่มีแค่ในไทยแต่อย่าง “ศรีลังกา” ก็มีคนจีนเข้าไปอยู่อาศัย 2 แสนคนเช่นเดียวกับ “ปากีสถาน” คนจีนเข้าไปอยู่อาศัยไม่น้อยกว่า 2 แสนคน “กัมพูชา” สวนใหญ่ทำห้องชุดขายให้คนจีนก็เข้าไปอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากเหมือนกัน สิ่งนี้เป็นเหมือนแผ่ขยายอิทธิพลของจีนในกลุ่มประเทศอาเซียนที่เรียกได้ว่า “การล่าอาณานิคมรูปแบบใหม่” ผ่านการช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจเป็นตัวนำอย่างกรณี “ลาว” จีนก็มาช่วยพัฒนาทางรถไฟลาว-จีน ตั้งแต่เวียงจันทน์-บ่อเต็น “กัมพูชา” ก็กำลังสร้างสนามบินขนาดใหญ่ในดาราสาครจนถูกมองว่า “สร้างฐานทัพเรือ” เพียงแต่กัมพูชายังปฏิเสธไม่ได้เป็นเช่นนั้น “ศรีลังกา” ก็เข้าไปพัฒนาท่าเรือ สุดท้ายรัฐบาลชำระหนี้ไม่ได้ และแล้วท่าเรือนั้นก็กลายมาเป็นของจีนแม้แต่ “ประเทศจิบูตี” ตั้งบนจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญจากปลายแหลมสุดที่เชื่อมต่อทะเลแดง อ่าวเอเดน ครอบครองช่องแคบ บาบเอล มันเดบ “จีนเข้าไปตั้งฐานทัพ” แถมมีบริษัทโรงงานอุตสาหกรรมสัญชาติจีนและคนงานเข้าไปปักหลักจนเชื่อว่ากำลังจะเป็นฐานที่มั่นทั้งด้านการทหาร เศรษฐกิจ และสังคมของจีนในอนาคตด้วยซ้ำย้อนกลับมาประเทศไทยสำหรับทำเล “คนจีนนิยม” ในเขตกรุงเทพฯ มีตั้งแต่ใจกลางเมือง ย่านรัชดาฯ-ลาดพร้าว (ไชน่าทาวน์ 2) อ่อนนุช-บางนา-เทพารักษ์, อ่อนนุช-สุวรรณภูมิ ทำให้ราคาที่ดินแพงขึ้นมากอย่างชิดลม เพลินจิตราคา 3.6 ล้านบาท/ตร.ว. ถนนวิทยุราคา 2.95 ล้านบาท/ตร.ว. สุขุมวิท-ไทม์สแควร์ 2.8 ล้านบาท/ตร.ว.ในส่วน “ต่างจังหวัด” มีตั้งแต่ จ.เชียงใหม่ ภูเก็ต โดยเฉพาะจังหวัด EEC ที่เปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาซื้อบ้าน หรือที่ดิน “เพื่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม” แล้วยิ่งถ้าได้รับการส่งเสริม BOI จะสามารถซื้อที่ดินได้ไม่เกิน 5 ไร่ เพื่อการประกอบกิจการ รวมถึงซื้อที่ดินเป็นที่อยู่อาศัยไม่เกิน 10 ไร่ และซื้อที่ดินสร้างทำเป็นที่พักคนงานได้ 20 ไร่ประเด็นสาเหตุ “จีนอยากมาอยู่ในไทย” เรื่องนี้หากมองภูมิประเทศตั้งอยู่ในจุดกึ่งกลางบนภาคพื้นแผ่นดินใหญ่อาเซียนสามารถเชื่อม “ลาว กัมพูชา อินเดีย เมียนมา มาเลเซีย สิงคโปร์” ถ้ามองในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ “หากจีนสามารถครอบครองไทย” ก็เปรียบเสมือนยึดหัวหาดทางการขนส่งทางเศรษฐกิจในอาเซียนได้ เพราะด้วย “กลุ่มจีนใหม่เข้าในไทย” ล้วนมาแสวงหาโอกาสทำธุรกิจและการลงทุนทั้งเปิดล้งสินค้าเกษตร กิจการโรงแรม หรือธุรกิจบริการอื่น “กลายเป็นตั้งกิจการทำแข่งคนไทย” โดยมีการทำกันอย่างเป็นระบบสังเกตจาก “นักธุรกิจชั้นนำ หรือนักวิชาการคนไทยเชื้อสายจีน” ต่างพากันออกมาเชียร์สนับสนุนคนจีนลักษณะการสะท้อนภาพลักษณ์เชิงบวกต่อ “การสร้างความร่วมมือการลงทุนธุรกิจกับจีน” จนนำไปสู่ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดกันมาตลอด และกำลังพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้นเรื่อยๆลักษณะเป็นการสร้างภาพให้คนไทยเชื้อสายจีนบางกลุ่มรู้สึกว่า “ตัวเองเป็นคนจีนต้องรักชาติ” อันเป็นการลดกระแสต่อต้านของนายทุนจีนที่กำลังจะเข้ามาทำธุรกิจในเมืองไทยในอนาคต แต่สุดท้ายก็กลายเป็นการเข้ามาครอบงำประเทศเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในหลายประเทศหรือไม่แต่ความจริง “บุคคลสนับสนุนล้วนมีผลประโยชน์ทางธุรกิจกับจีนทั้งสิ้น” ดังนั้นจึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่การเชียร์สนับสนุนคนจีนอย่างเดียว “เพราะเป็นคนเชื้อชาติเดียวกันเท่านั้น” แต่ถ้าสังเกตจากนักธุรกิจชั้นนำของประเทศหลายคนต่างก็ไปทำธุรกิจในประเทศจีนจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมีชื่อเสียงอยู่มากมายในขณะนี้“เชื่อว่ามีคนจีนอาศัยอยู่ในไทยกว่า 1 ล้านคนแล้ว สิ่งนี้เสี่ยงความมั่นคงแห่งชาติจากการเปิดให้ต่างชาติเข้ามาแบบไม่มีประเทศใดทำ อันจะนำมาซึ่งจีนเทาแฝงเข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมายด้วย” ดร.โสภณ ว่า ตอกย้ำปัญหา “กลุ่มจีนเทาในไทย” เข้ามาสร้างฐานการทำผิดกฎหมายอย่างกรณีซื้อหมู่บ้านหรูในนามของบริษัท หรือผ่านนอมินี มีพฤติกรรมสงสัยเป็นที่พักอาศัยแหล่งมั่วสุมทำผิดเกี่ยวกับขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ชอบเข้ามามั่วสุมเล่นไพ่ จัดงานเลี้ยงสังสรรค์เสียงดังในเวลากลางคืน จนตำรวจเคยเข้าตรวจสอบเมื่อปี 2565กระทั่งจีนเทากล้าขึ้นป้ายโฆษณาซื้อขายสัญชาติขนาดใหญ่แถวถนนรัชดา ทั้งยังไลฟ์สดเชิญชวนให้ผู้ประกอบการมาซื้อที่ดิน “ตั้งเป็นโรงงานอุตสาหกรรม” สะท้อนให้เห็นว่าคนจีนเข้ามาครอบงำในไทยมากขึ้นเรื่อยๆนี่เป็นสถานการณ์ “จีนแผ่อิทธิพลเข้ามาในไทย” ส่วนหนึ่งก็มาเอาเปรียบคนไทย และทำธุรกิจผิดกฎหมาย “รัฐบาล” ต้องมีมาตรการรองรับมิเช่นนั้นประเทศไทยอาจถูกจีนครอบงำเลยก็ได้.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม