ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้ การเดินทางไปเยือนแดนมังกรในช่วงที่ความสัมพันธ์ครบรอบ 50 ปี ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเพราะรัฐบาลจีนมองว่าไทย-จีนนั้นเหมือนญาติสนิท เนื่องจากประวัติความเป็นมาผูกพันกันหลายมิติ“แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีจึงชื่นมื่นมากกว่าการเดินทางไปประเทศอื่นๆยิ่ง “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดี ได้กล่าวชื่นชมที่ไทยตัดสินใจตัดไฟเมียนมา ซึ่งเป็นที่ตั้งศูนย์คอลเซ็นเตอร์ก็ยิ่งแฮปปี้มากขึ้นไปอีกนอกจากนั้นได้มีการลงนามเอ็มโอยู 14 ฉบับ และเรื่องอื่นๆที่ไทยได้ประโยชน์ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะที่ไม่ปกติเนื่องจาก “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ ได้สร้างความสั่นไหวให้โลกแทบทุกวันอย่างนี้ หากตั้งหลักไม่ดีก็วุ่นวายแน่แน่นอนว่าการเดินทางไปเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีไทยครั้งนี้ย่อมถูกจับตามองอย่างไม่วางตา เพราะจีนคือเป้าหมายที่ประกาศว่าจะเปิดสงครามเศรษฐกิจตั้งกำแพงภาษีสูงถึง 60%อีกทั้งไทยก็อยู่ในข่ายด้วยเนื่องจากสหรัฐฯเสียเปรียบดุลการค้า สหรัฐฯจะใช้เรื่องนี้เป็นเงื่อนไขก็คงจะดูว่าไทยกับจีนจะมีอะไรที่เกี่ยวพันกันไปด้วยสำคัญยิ่งก็คือไทยเป็นประเทศที่อยู่ในจุดศูนย์กลางอาเซียนที่สหรัฐฯพร้อมที่จะเป็นมิตรและศัตรู ซึ่งอยู่ที่ท่าทีของไทยต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆด้านหนึ่งก็ต้องการดึงไทยเป็นพวกเต็มตัว!อีกด้านหนึ่งก็จะดูว่าไทยแนบชิดกับจีนมากน้อยแค่ไหน?ที่ผ่านมาไทยได้แสดงบทบาทด้วยการวางตัวเป็นกลางไม่เข้าข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดยืนที่ทุกประเทศต่างรู้กันดีทั้งจีน-สหรัฐฯต่างก็ต้องการให้ไทยอยู่ข้างเขาการแสดงบทบาทของไทยในมุมต่างๆ จึงต้องวางตัวให้เหมาะสม เพราะถ้าทำได้ดีก็จะไม่มีปัญหา และสามารถใช้เป็นข้อต่อรองได้ดังนั้นในสถานการณ์อย่างนี้ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์จะต้องเคลื่อนไหวในเชิงรุกมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการค้าและการลงทุนรัฐมนตรีต่างประเทศก็ต้องทำงานหนักขึ้น เพราะมีปัญหาเกี่ยวพันกับประเทศต่างๆหลายเรื่องในเวลานี้ โดยให้ทูตไทยติดตามประสานงานอย่างเป็นระบบอย่างเรื่องคอลเซ็นเตอร์ที่ต้องประสานงานและทำความเข้าใจ เพราะเกี่ยวพันกับเมียนมา ลาว และกัมพูชาเพื่อจะได้แก้ไขปัญหารวดเร็วขึ้น!ด้านสหรัฐฯ ทั้งต่างประเทศและพาณิชย์จะต้องถึงลูกถึงคนมากขึ้นหลังเดินทางกลับจากจีน นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ต้องทำงานในการเมือง โดยเฉพาะเรื่องที่จะไล่เบี้ยลูกพรรคที่มีปัญหา ทำให้การเลือกตั้งนายก อบจ.ไม่ได้ตามเป้าก็ว่ากันไป...แต่ปัญหาอย่างหนึ่งในพรรคนั่นก็คือความสามัคคีกลมเกลียวกันภายในนั้น เกิดช่องว่างแบบว่าพวกใครพวกมันไม่ค่อยพูดคุยสุงสิงกันรุ่นใหญ่ก็ไปทาง รุ่นหนุ่มสาวก็ไปทางเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานานแล้ว!นายกรัฐมนตรีที่อาศัยบารมี “พ่อ” ก็คงไม่ได้คิดว่าเป็นปัญหา“สรวงศ์ เทียนทอง” เลขาธิการพรรคก็อาศัยบารมี “พ่อ” นายเสนาะ เทียนทอง และยังเป็นคนรุ่นใหม่หัดขับไม่ต่างกับหัวหน้าพรรคการทำงานจึงยังไม่มีประสิทธิภาพพอทำให้เกิดปัญหา แม้เงียบแต่ก็กินลึกนี่ยังไม่รวมความเป็นเนื้อเดียวกันของ สส.ในแต่ละพื้นที่ต่างคนต่างก็มีกลุ่มมีก๊วน ต่างคนต่างอยู่ เพียงอาศัยสีเสื้อ (แดง) เท่านั้นการเลือกตั้งนายก อบจ.คือตัวอย่างที่ชัดเจนวันนี้จึงอาศัยบารมี “ทักษิณ” และความเป็น “เสื้อแดง” ทำให้อยู่กันไปได้แต่การเลือกตั้งครั้งหน้าอาจจะเป็นแบบทางใครทางมันก็ได้ค่าย “สีนํ้าเงิน” นั้น พร้อมจะดูดอยู่แล้ว!“ลิขิต จงสกุล”สับรางวันอาทิตย์,ลิขิต จงสกุล คลิกอ่านคอลัมน์ “สับรางวันอาทิตย์” เพิ่มเติม