หลังทำพิธีรับพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ระบุว่า เนื่องในโอกาสที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นับเป็นเกียรติยศ และเป็นความภาคภูมิใจ สูงสุดแก่ชีวิตดิฉัน ครอบครัว และพรรคเพื่อไทย สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณฯเป็นล้นพ้น ทั้งจะมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังด้วยความจงรักภักดี ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน สนองพระราชปณิธานตามพระปฐมบรมราชโองการ และตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญทุกประการทั้งนี้ น.ส.แพทองธาร ยังได้กล่าวให้คำมั่นสัญญาจะนำพาประเทศไทยเดินหน้า ฝ่าฟันทุกอุปสรรค แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน โดยจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด พร้อมทั้งขอบคุณนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ทำเพื่อประเทศชาติตลอด 1 ปีที่ผ่านมาถึงแม้ตนเองจะไม่ได้วางแพลนในการเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งนี้มาก่อน แต่ขอให้มั่นใจว่าพร้อมและเต็มใจที่จะรับใช้ประชาชนอย่างสุดความสามารถในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นำพาประเทศชาติผ่านอุปสรรคปัญหาต่างๆ เพราะยังมีปัญหาเรื่องปากท้องที่รอการแก้ไข โดยมีความมุ่งมั่นในการทำให้ปากท้องของประชาชนดีขึ้นเมื่อผู้สื่อข่าวซักถามว่า มาเป็นนายกฯ กลัวจะโดนคดีแบบเดียวกับคุณพ่อ และคุณอาหรือไม่ น.ส.แพทองธารบอกไม่มีใครอยากโดน กับคุณพ่อและคุณอาก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ จึงมีความตั้งใจจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด มองที่เป้าหมาย เพราะถ้าไปมองความกังวลจะไปไม่ถึงเป้าหมาย โดยจะทำให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้โดนคดีที่แน่ๆ นายกฯ แพทองธารได้ประเดิมการทำหน้าที่เพื่อให้เกิดความถูกต้องให้เห็นเป็นลำดับแรก โดยให้ตรวจสอบกลั่นกรองคุณสมบัติประวัติความประพฤติผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีเข้มข้นเป็นพิเศษ โดยให้คณะกรรมการกฤษฎีการ่วมตรวจสอบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยเหมือนที่อดีตนายกฯเศรษฐาโดนมาหมาดๆถือว่าเริ่มต้นด้วยความรอบคอบไม่เสี่ยงปมความผิดขัดจริยธรรมอย่างร้ายแรง แต่ที่สำคัญในฐานะผู้นำรัฐบาลต้องไม่ลืมว่าจริยธรรมผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ได้มีแค่เรื่องการแต่งตั้งบุคคลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการใช้อำนาจที่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ฉะนั้นต้องระมัดระวังการใช้อำนาจบริหารในทุกขั้นตอน.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม