ช็อกกันทั้งโลกกับเหตุการณ์คนร้าย ซุ่มอยู่บนหลังคาลอบสังหาร “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้สมัครชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกันในระหว่างขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงที่เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย “โชคดีคมกระสุนเจาะเข้าที่ปลายหูด้านบนข้างขวา” ก่อนถูกช่วยเหลือนำตัวส่งโรงพยาบาลอาการปลอดภัยขณะที่ทางด้าน “มือปืนวัย 20 ปี” ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยวิสามัญฆาตกรรมในที่เกิดเหตุ ท่ามกลางการหาเสียงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังเข้มข้นในช่วงโค้งสุดท้าย ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน และโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัวแทนจากพรรคเดโมแครตเหตุการณ์นี้ส่งผลให้ทิศทางการเมืองสหรัฐฯจะมีผลต่อคะแนนเสียง 2 พรรคอย่างไรนั้น รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ บอกว่า การลอบสังหารผู้นำสหรัฐฯ “ไม่ใช่เรื่องใหม่” เพราะเคยมีการลอบสังหารประธานาธิบดี อดีตประธานาธิบดี ผู้สมัครชิงประธานาธิบดีมาแล้วหลายคน ทว่าในส่วนที่ “คนร้ายลอบสังหารได้สำเร็จมี 4 คน” ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น, เจมส์ เอ การ์ฟิลด์, วิลเลียม แมคคินลีย์, จอห์น เอฟ เคนเนดี และการลอบสังหารไม่สำเร็จมีอีกมากอย่างกรณีประธานาธิบดีเจอรัลด์ ฟอร์ด เคยถูกลอบสังหาร 2 ครั้งในปี 1975 ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ถูกลอบสังหารในปี 1981แม้แต่ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ก็เคยถูกคนร้ายพยายามลอบสังหารยิงปืน ในทำเนียบขาวปี 2011 ส่วนผู้ก่อเหตุก็มีทั้งแบบองค์กรหรือบุคคลที่มีความคิดสุดโต่งซ้ายสุด หรือขวาสุดอันเป็นกลุ่มพวกหัวรุนแรงสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นโดยพื้นฐาน “ความรุนแรงในสหรัฐฯไม่ใช่เรื่องใหม่” แต่คงเกิดขึ้นมาอยู่ตลอด โดยเฉพาะช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ฐานคะแนนเสียงสูสีมักส่งผลให้การหาเสียงเข้มข้นรุนแรงจากผู้สนับสนุน 2 ฝ่ายออกมาพยายามใช้กำลังอย่างเช่น “กลุ่มแนวคิดซ้ายสุดโต่ง” ที่ต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ สีผิว ต่อต้านชาตินิยมทั้งยังมี “กลุ่มขวาสุดโต่ง” ที่ต้องการสงครามกลางเมืองฉวยโอกาสใช้ความรุนแรง นอกจากนี้ยังมี “กลุ่มไม่มีส่วนเกี่ยวข้องการเมืองโดยตรง” แต่ต้องการลอบสังหารประธานาธิบดีอันมีจุดประสงค์เรียกร้องความสนใจ เพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน ความมีชื่อเสียงที่สร้างความกังวลในการก่อความไม่สงบ และความวุ่นวายอยู่เสมอทว่าปัจจัยหนึ่งในการลอบสังหารครั้งนี้ก็อาจเกิดจากก่อนหน้านี้ “ไบเดน” เคยออกมาหาเสียงโจมตี “ทรัมป์” เป็นผู้สนับสนุนหัวรุนแรงสุดโต่งว่าเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตยสหรัฐฯ เป็นภัยต่อรากฐาน และความมั่นคงของประเทศ เรื่องนี้ก็ทำให้กลุ่มมีแนวคิดสุดโต่งต่างพยายามออกมาใช้กำลังกำจัดบุคคลเหล่านี้ด้วยเช่นกัน ด้วยพื้นฐานสหรัฐฯมีความรุนแรงนี้ก็พยายามสนับสนุนให้ติดอาวุธและส่งเสริมคนอเมริกาใช้กำลังทางอ้อมด้วยการสร้างภาพยนตร์ใช้ความรุนแรง เช่น จับตัวประกันบุกเข้าในโรงเรียนสิ่งนี้เป็นพื้นฐานความเปราะบางแทบทั้งสิ้นดังนั้น เมื่อการเมืองแข่งขันกันรุนแรงย่อมทำให้มีโอกาสของการลอบสังหารสูงขึ้นอย่างกรณี “ทรัมป์” เพราะเขาก็เป็นบุคคลค่อนข้างมีความหมิ่นเหม่ มีทั้งคนรักสนับสนุน และคนเกลียดชังจ้องทำร้ายอยู่จำนวนมากประการต่อมา “ขบวนการการแทรกแซงจากภายนอก” เรื่องนี้ต้องเข้าใจว่า สหรัฐฯเป็นผู้นำของฝ่ายประชาธิปไตย “มักเผชิญกับฝ่ายขั้วเห็นต่างอยู่เสมอ” อย่างกรณีจอห์น เอฟ เคนเนดี อดีตผู้นำสหรัฐฯ ก็เคยมีความเกี่ยวข้องกับสหภาพโซเวียต และเรื่องอื่นนอกจากมาเฟียเข้ามาเป็นมูลเหตุในการลอบสังหารเช่นกันแต่สำหรับการลอบสังหาร “ทรัมป์” คงยังสรุปได้ยากต้องรอผลการสอบสวนว่าคนร้ายมีประวัติเชื่อมโยงกับกลุ่มสมาชิกใดในประเทศ หรือต่างประเทศหรือไม่ อย่างไรก็ดี สำหรับรัฐเพนซิลเวเนียก็เป็นหนึ่งในสวิงสเตท (Swing State) อันสำคัญที่จะตัดสินว่าใครจะเป็นผู้นำคนใหม่ของประเทศในสมรภูมิเลือกตั้งครั้งนี้ด้วยแล้วค่อนข้าง “มีกลุ่มหัวรุนแรง” ทำให้สถานการณ์สลับซับซ้อน และมีการแข่งขันกันดุเดือดมากทว่าสำหรับ “การสืบสวนประเด็นลอบสังหารนั้น” เรื่องนี้ค่อนข้างล่าช้ากว่าที่คาดโดยเฉพาะกรณีปล่อยให้คนร้ายถือปืนไรเฟิลขึ้นไปบนหลังคาห่างจุดที่ทรัมป์ยืนบนเวทีหาเสียงไม่ถึง 200 เมตร “เป็นรัศมีลอบยิงหวังผล” อันอยู่ไม่ไกลจากเวทีปราศรัยหาเสียง ทำให้ตั้งข้อสงสัยถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดจริงหรือไม่ในส่วน “คนร้าย” ก็เชื่อว่ามีความชำนาญในพื้นที่ และวางแผนเตรียมการมาก่อนลงมืออย่างดี เพราะตามหลักก่อนหน้าที่ทรัมป์ลงพื้นที่จะมีหน่วยรักษาความปลอดภัยมาตะเวนตรวจตราล้อมเวทีปราศรัยหาเสียงหลายครั้งหลายวัน สามารถสังเกตจากการวางกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยค่อนข้างหนาแน่นเต็มพื้นที่มาก แต่กลับปล่อยให้คนร้ายสามารถนำปืนไรเฟิลยาวเล็ดลอดผ่านเข้ามาง่ายดาย “สะท้อนให้เห็นว่าคนร้ายไม่ธรรมดาต้องมีความชำนาญพอตัว” แถมยังสามารถเข้าไปยิงในระยะใกล้กระชั้นชิดขนาดนั้นได้ด้วยสิ่งสำคัญ “คนร้ายใช้เวลายิงหลายนัดไปยังเวที” โดยเสียงปืนชุดแรกมุ่งเป้าไปยังทรัมป์ในจังหวะหันใบหน้าส่งผลให้กระสุนเฉียดหูใกล้ศีรษะจุดเสี่ยงอันตราย “ถ้าเรื่องนี้มองว่าสมคบคิดกันคงไม่มีใครยอมเสี่ยงให้ยิงเฉียดหูจุดอันตรายขนาดนี้” แต่ก็โชคดีทรัมป์ได้รับบาดเจ็บนำตัวส่งโรงพยาบาลช่วยเหลือได้อย่างปลอดภัยส่วนกระสุนชุดที่ 2-3 โดนผู้ร่วมงานเสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บสาหัส 2 คน จำนวนนี้เป็นหลาน สส.รัฐเท็กซัสจากพรรครีพับลิกันถูกกระสุนเจาะเข้าที่คอระหว่างอยู่กับเพื่อน และครอบครัวทางด้านล่างขวาของทรัมป์แน่นอนว่า “การรักษาความปลอดภัยค่อนข้างหละหลวม” เพราะปล่อยให้คนร้ายสามารถเข้ามาอยู่ในตำแหน่งยิงสังหารได้อย่างประชิดเวทีขนาดนี้ได้ สะท้อนให้เห็นการสำรวจเคลียร์พื้นที่ไม่หมดไม่เรียบร้อย อาจเป็นเพราะตรวจสอบระยะพื้นที่สั้นจนเกินไป แม้ภายหลังเจ้าหน้าที่จะสามารถหยุดยั้งคนร้ายได้ในที่เกิดเหตุก็ตามส่วนที่ว่า “คนร้าย” เป็นผู้ก่อการร้าย หรืออยู่กลุ่มใดคงต้องรอผลข้อสรุปจากหน่วยงานที่รับผิดชอบในการสืบสวนระยะหนึ่งก่อน เพราะเหตุการณ์เพิ่งเกิดไม่มีข้อมูลพอจะนำมาวิเคราะห์สรุปได้ แต่เท่าที่รับฟังข้อความจากลูกชายทรัมป์ ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงของคนในครอบครัวมองว่า “น่าจะเป็นกลุ่มคนหัวรุนแรงซ้ายจัด”มีข้อสังเกตอีกประการว่า “นายกเทศมนตรีเจ้าของพื้นที่โดยตรง” ที่ออกมาเพียงแค่การประณามคนร้ายกลับไม่พูดถึงรายละเอียดที่เกิดขึ้น เรื่องนี้ค่อนข้างแปลกใจเหมือนกันเพราะเขาเป็นบุคคลที่น่าจะรู้ข้อมูลดีที่สุดประเด็นหลังจากนี้ “การหาเสียงเลือกตั้งจะเปลี่ยนไป” ตอนนี้ไบเดนถอนการออกหาเสียงทั้งหมดชั่วคราวโดยเฉพาะรัฐเพนซิลเวเนียแถมสั่งมิให้สัมภาษณ์เหตุลอบสังหารด้วย เพราะกลัวจะกระทบฐานคะแนนเสียงสำหรับ “ทรัมป์” ต้องติดตามหลังประชุมพรรครีพับลิกันว่าจะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสครั้งนี้อย่างไร เพราะหลายคนเริ่มคิดว่าทรัมป์กำลังได้คะแนนความน่าสงสาร มีโอกาสชนะการเลือกตั้งจนมีผู้สนับสนุนเพิ่มมากขึ้น เหตุลอบสังหารครั้งนี้ “ส่งผลให้เกมการเมืองในสหรัฐฯเปลี่ยนไป” โดยเฉพาะการหาเสียงพรรคเดโมแครตต้องวุ่นวายในรัฐที่ไม่มีฐานคะแนนเสียงชัดเจน ยกเว้นว่าทรัมป์มีการใช้ประโยชน์จากการลอบสังหารมากเกินไป หรืออาจสมคบคิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นก็จะทำให้คะแนนนิยมเขาลดลงจึงต้องติดตามเกมการเมืองสหรัฐฯกันต่อไปเพราะการชี้ชะตาว่า “ใครจะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไปนั้น” อาจอยู่พื้นที่ที่ไม่ได้มีฐานคะแนนเสียงชัดเจน 4 รัฐ แล้วนับแต่นี้ในการปราศรัยหาเสียงแต่ละพรรคต้องถูกควบคุมเป็นเวทีปิดเข้มงวดมากขึ้น ทั้งยังต้องควบคุมเนื้อหา หรือวาทะในการหาเสียง เพื่อลดความร้อนแรงลง ป้องกันไม่ให้นำไปจุดประกายเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมข้อสำคัญ “ลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีระหว่างปราศรัยหาเสียง” กำลังส่งสัญญาณความไม่เสถียรภาพทั้งตัวผู้สมัครชิงประธานาธิบดี และประชาชนที่จะไปเลือกตั้ง ทำให้หลายประเทศกังวลอันจะนำมาสู่ความพยายามหาทางทำอะไรบ้าง เช่น รัสเซีย หรือจีน อาจฉวยโอกาสในช่วงที่สหรัฐฯแปรปรวนกระสับกระส่ายนี้ก็ได้นี่คือสถานการณ์ “การเมืองอันร้อนแรงในสหรัฐฯ” หลังจากนี้แต่ละพรรคคงต้องปรับกลยุทธ์เดินเกมหาเสียงใหม่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่จะชี้ชะตา “ใคร” จะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม